เวลานี้ประเทศชาติและบ้านเมืองกำลังต้องการความสงบสุข สร้างความเชื่อมั่น แต่ก็ยังมีผู้ไม่หวังดี ไม่ว่าจะด้วยความเชื่อโดยสุจริต หรือว่ามีสิ่งแอบแฝงอยู่ก็ตามที ได้พยายามสร้างข่าว สร้างกระแสความเกลียดชังอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกครั้ง ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่า "ข่าวไหนจริง" "ข่าวไหนเท็จ" กันแน่
อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่ชาวบ้านโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงขั้นขึ้นป้ายประกาศไม่เอา EEC (ในนามกลุ่มโยธะการักษ์ถิ่น ประมาณ 100 กว่าราย ได้รวมตัวกันอ่านคำประกาศยืนยันว่าพวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมในฐานะผู้บุกเบิก แผ้วถาง หว่านไถ พลิกฟื้นผืนดินจากป่าปรืออันรกทึบให้กลายเป็นผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ และประกาศปกป้องแผ่นดินบรรพบุรุษ ไม่อพยพ และไม่ย้ายออกไปไหน ทั้งนี้ยังประกาศให้โยธะกาเป็นเขตปลอดอีอีซี)
ไม่ว่าจะมีเหตุผลซ่อนกลใดอยู่ใต้การประท้วงดังกล่าว หรือมีกลุ่ม NGO หรือนักวิชาการ หรือนักข่าวบางสำนัก ที่ไปให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือว่าให้ข้อมูลเพียงบางส่วน จนทำให้ชาวบ้านที่เคยเช่าพื้นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ออกมต่อต้านอย่างรุนแรงกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ซึ่งปัญหาของชาวบ้านตำบลโยธะกาย้อนกลับไปตั้งแต่กลางปี 2557 (วันที่ 31 กรกฏาคม 2557) ก่อนที่โครงการอีอีซีจะได้ถือกำเนิดขึ้นมาซะอีก จากกรณีที่ทางสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ฉะเชิงเทราได้ออกหนังสือขอยกเลิกสัญญาเช่า และการเก็บค่าตอบแทนในการใช้ประโยชน์ที่ดินราชพัสดุ และขอให้ส่งมอบที่ดินคืนให้กับทหารเรือภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2557
โดยในขณะนั้นกองทัพเรือมีแผนเพื่อใช้ประโยชน์พื้นที่ทางการทหาร จึงได้ขอให้สำนักงานธนารักษ์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ กองทัพเรือซึ่งเป็นผู้จัดเช่า ได้ใช้พื้นที่เพื่อทำศูนย์เกษตรกรรมทหารเรือโยธะกา และประโยชน์ทางการทหาร แต่ตอนนั้นทางกองทัพเรือยังไม่มีแผนในการพัฒนาพื้นที่ได้เต็มพื้นที่ จึงได้ให้ชาวบ้านที่สนใจมาเช่าเป็นพื้นที่พักอาศัย และเป็นพื้นที่ทำการเกษตร โดยการปล่อยให้เช่าพื้นที่ในอายุสัญญาเช่าครั้งละ 1 ปี ในราคาค่าเช่าไร่ละ 75 บาทต่อปี
แต่เมื่อทางทหารเรือมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ จึงได้ขอให้ทางกรมธนารักษ์ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ขอให้เลิกสัญญาเช่าแบบรายปีกับชาวบ้าน และให้เลิกเก็บค่าเช่าที่ดิน โดยให้สิ้นสุดสัญญาในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 และขอให้ชาวบ้านรื้อถอน ขนย้ายสิ่งของออกจากพื้นที่ภายใน 30 วัน หลังสิ้นสุดสัญญาเช่า แต่ชาวบ้านก็ยังคงไม่ส่งมอบที่ดิน หรือย้ายออกแต่อย่างใด
จนทำให้กลางปี 2560 (วันที่ 19 กันยายน 2560) ทางกรมทหารเรือ จึงได้ทำหนังสือแจ้งอีกครั้ง ว่าจะดำเนินคดีหากชาวบ้านยังไม่ยอมส่งมอบพื้นที่คืนใน 7 วัน และหากเพิกเฉยทางราชการมีความจำเป็นต้องดำเนินคดีทางกฏหมาย
โดยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจำนวนร้อยกว่าหลังคาเรือน 600กว่าชีวิต หลังจากที่กรมธนารักษ์ยกเลิกให้เช่าพื้นที่ ก็ร้องขอมาตรการชดเชย และเยียวยาให้กับผู้เช่าที่มีที่พักอาศัย และที่ดินทำกินในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (วันที่ 23 มีนาคม 2561) ได้วินิจฉัย และชี้แจงข้อเท็จจริงว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
"ที่ดินราชพัสดุบริเวณที่มีการร้องเรียนอยู่ในความครอบครองของทหารเรือ ประกอบด้วยที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นพื้นที่แห่งเดียวที่มีความเหมาะสมในการตั้งสถานีวิทยุหาทิศ (DF) (การดักรับการติดต่อสื่อสารของข้าศึก ด้วยระบบดักรับการแพร่คลื่นอิเล็กทรอนิกส์ และวิทยุหาทิศ (ESM, DF) เพื่อให้ทราบตำบลที่อยู่) ที่ต้องอาศัยระดับเสียงรบกวนต่ำที่สุด มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมน้อย มีภูมิประเทศที่เหมาะสมและมีพื้นที่กว้างเพียงพอในการติดตั้งระบบสายอากาศวิทยุหาทิศ (DF) และเป็นที่ตั้งของกองบังคับหมวดเรือที่ 2 กองเรือลำน้ำ กองเรือยุทธการ ซึ่งหากมีการผ่อนผันและส่งมอบที่ดินคืนออกไปก่อนจนกว่าจะมีการช่วยเหลือเยียวยาเรื่องที่อยู่อาศัยและเรื่องทำมาหากินจะส่งผลกระทบกับแผนงานที่กองทัพเรือได้อนุมัติไว้แล้ว ซึ่งกองทัพเรือได้ผ่อนผันมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงเป็นกรณีที่กองทัพเรือมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้พื้นที่ดังกล่าว เพื่อดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ของกองทัพเรือ อันเป็นไปเพื่อความมั่นคงของประเทศ ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเรียนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนือหน้าที่และอำนาจตามมาตรา 22 (2) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2560 ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงวินิจฉัยให้ยุติการพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว"
ล่าสุด กรมธนารักษ์, สำนักนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเอกชนที่ถูกกล่าวอ้างว่าจะยึดที่รัฐกว่า 4 พันไร่ ก็ได้ออกมาชี้แจง และจะดำเนินคดีกับสื่อสำนักหนึ่ง
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง "ทำไมสื่ออื่นๆ ถึงไม่มีใครเสนอข่าวชี้นำให้เข้าใจผิดแบบนี้ แล้วทำไมถึงมีแต่สื่อนี้สื่อเดียวที่พยายามสร้างเรื่องเข้าใจผิด จับแพะ ชนแกะ ข้อมูลผสมปนเปไปหมด" แล้วเราจะสามารถเชื่อถือข้อมูลจากสื่อสำนักนี้ได้อย่างไร
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ที่นำเสนอคำชี้แจงผ่านคอลัมน์ -
เศรษฐศาสตร์วันหยุด : สิ่งดีๆในชาติจะเกิดได้ไง ถ้าสังคมไทยยังมีข่าวที่สร้างความสับสน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้..ดร.คณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ชี้แจงและประกาศชัดเจนว่า ซีพี ยังไม่เคยเข้ามาหารือเรื่องการลงทุนสร้างเมืองใหม่ฉะเชิงเทราแต่อย่างใด...และยืนยันว่าพื้นที่ราชพัสดุ ซึ่งเป็นพื้นที่ของกองทัพเรืออยู่ในขณะนี้ ไม่สามารถจะยกพื้นที่ให้เอกชนรายใดเข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินได้ง่ายๆ เพราะเป็นพื้นที่อยู่อาศัยทำการเกษตรมานาน การขอใช้พื้นที่กับกรมธนารักษ์นั้นจะขอใช้ในส่วนที่จำเป็นเช่น สนามบิน ท่าเรือ ฯลฯ แต่กรณีของซีพีจะต้องเป็นพื้นที่ของซีพีเองเท่านั้นเพราะเป็นเรื่องเอกชน...
ขณะที่ กรมธนารักษ์ชี้แจงว่า ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ฉช. 611–614 ตำบลโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 4,277 ไร่ 15 ตารางวา ตามที่
สื่อมวลชนบางสำนักนำเสนอออกข่าวนั้น เครือเจริญโภคภัณฑ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และที่ดินแปลงดังกล่าวยังไม่ได้กำหนดเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษและอยู่ในความครอบครองของกองทัพเรือ...
ปัจจุบัน บอร์ดอีอีซี แจ้งความประสงค์ขอใช้ที่ราชพัสดุ และมีมติเห็นชอบให้กำหนดเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษแล้ว จำนวน 2 แปลง เท่านั้น คือ ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ รย.333
อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง เนื้อที่ประมาณ 6,500 ไร่ ซึ่งกำหนดเป็นเขตส่งเสริมเมืองการบินภาคตะวันออก บริเวณสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา จังหวัดระยอง และที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชบ.347 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ทั้งแปลงประมาณ 759 ไร่ ซึ่งกำหนดเป็นเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ เขต EEC D และเขตส่งเสริมนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC I ณ อุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี...
และเอกชนที่ถูกพาดพิงได้ออกมาชี้แจงแล้วว่า เป็นข้อมูลเท็จ
เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด
ถามว่า ... แล้วเมื่อคุณทำผิด ให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสังคม แล้วคุณจะไม่คิดออกมาแก้ไขอะไรเลยหรือยังไง หรือว่า ...
"คนไทยลืมง่าย ปล่อยๆ ไป เดี๋ยวก็ลืมกันไปแล้ว"
ความไม่รู้ ... ภัยเงียบที่ถ่วงความเจริญมาช้านาน
อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่ชาวบ้านโยธะกา อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ถึงขั้นขึ้นป้ายประกาศไม่เอา EEC (ในนามกลุ่มโยธะการักษ์ถิ่น ประมาณ 100 กว่าราย ได้รวมตัวกันอ่านคำประกาศยืนยันว่าพวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมในฐานะผู้บุกเบิก แผ้วถาง หว่านไถ พลิกฟื้นผืนดินจากป่าปรืออันรกทึบให้กลายเป็นผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ และประกาศปกป้องแผ่นดินบรรพบุรุษ ไม่อพยพ และไม่ย้ายออกไปไหน ทั้งนี้ยังประกาศให้โยธะกาเป็นเขตปลอดอีอีซี)
ไม่ว่าจะมีเหตุผลซ่อนกลใดอยู่ใต้การประท้วงดังกล่าว หรือมีกลุ่ม NGO หรือนักวิชาการ หรือนักข่าวบางสำนัก ที่ไปให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือว่าให้ข้อมูลเพียงบางส่วน จนทำให้ชาวบ้านที่เคยเช่าพื้นที่ราชพัสดุของกรมธนารักษ์ออกมต่อต้านอย่างรุนแรงกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
โดยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจำนวนร้อยกว่าหลังคาเรือน 600กว่าชีวิต หลังจากที่กรมธนารักษ์ยกเลิกให้เช่าพื้นที่ ก็ร้องขอมาตรการชดเชย และเยียวยาให้กับผู้เช่าที่มีที่พักอาศัย และที่ดินทำกินในพื้นที่ดังกล่าวด้วย
ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (วันที่ 23 มีนาคม 2561) ได้วินิจฉัย และชี้แจงข้อเท็จจริงว่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ล่าสุด กรมธนารักษ์, สำนักนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และเอกชนที่ถูกกล่าวอ้างว่าจะยึดที่รัฐกว่า 4 พันไร่ ก็ได้ออกมาชี้แจง และจะดำเนินคดีกับสื่อสำนักหนึ่ง
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง "ทำไมสื่ออื่นๆ ถึงไม่มีใครเสนอข่าวชี้นำให้เข้าใจผิดแบบนี้ แล้วทำไมถึงมีแต่สื่อนี้สื่อเดียวที่พยายามสร้างเรื่องเข้าใจผิด จับแพะ ชนแกะ ข้อมูลผสมปนเปไปหมด" แล้วเราจะสามารถเชื่อถือข้อมูลจากสื่อสำนักนี้ได้อย่างไร
ขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ที่นำเสนอคำชี้แจงผ่านคอลัมน์ - เศรษฐศาสตร์วันหยุด : สิ่งดีๆในชาติจะเกิดได้ไง ถ้าสังคมไทยยังมีข่าวที่สร้างความสับสน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด
"คนไทยลืมง่าย ปล่อยๆ ไป เดี๋ยวก็ลืมกันไปแล้ว"