🤙🙌🏻 THE WEEKLY GLOVES ไตรมาสสุดท้าย วีคที่ 39 วีคสุดท้าย เรื่องสั้น#88 "หาย" : ถุงมือ "ทำไมเหลือนิ้วก้อยล่ะ"🙌🏻🤙

กระทู้คำถาม




ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่สอง...

หนุ่มนักประดิษฐ์คนหนึ่ง กำลังเตรียมโปรเจ็กต์ผลิตหุ่นยนต์ของเด็กเล่นตัวใหม่ งานเขากำลังไปได้สวย หลังจากพรีเซ้นท์งานในการบรรยายต่อทุกคนในบริษัทแล้วได้รับการปรบมือเกรียว เขาก็ฝันถึงอนาคตอันสดใส...แต่...ขณะที่กำลังฝันหวาน ก็เผลอคิดถึงอดีตบางอย่างเข้า แล้วจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่ง มาจากไหนก็ไม่รู้ กระตุกเขาให้ตื่น...

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามกันครับ จบแล้วตัดเกรดล๊อกตัวคนเขียนกันเลย...อมยิ้ม04หัวใจดอกไม้






“ด้วยความสามารถอันหลากหลายและพร้อมสรรพของ จี เอ็กซ์ สาม หุ่นยนต์เด็กเล่นตัวใหม่ของเรา จะต้องเป็นที่ชื่นชอบ และมียอดจองถล่มทลายในวันเปิดตัวอย่างไม่ต้องสงสัย”

เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อการบรรยายสิ้นสุดลง ชายหนุ่มค้อมตัวลงเล็กน้อย จับจ้องบรรยากาศอันน่ายินดี เหล่าผู้บริหารต่างมีสีหน้าพึงพอใจอย่างที่คาดหมาย

สี่ทุ่มกว่าแล้ว...ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นตรวจสอบเวลา ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังลานจอดรถ มือข้างหนึ่งพะรุงพะรังไปด้วยแฟ้มเอกสารปึกใหญ่ที่ต้องเอากลับไปสะสางต่อที่บ้าน

“โปรเจคนี้ของคุณยอดเยี่ยมมาก รีบทำให้เร็วที่สุด ต้องการงบเท่าไหร่บอกมา ถ้าทำได้อย่างที่คุณพูด ตำแหน่งที่คุณต้องการอยู่ไม่ไกลแน่นอน ผมให้สัญญา”

นี่ล่ะคือทุกสิ่งที่ต้องการ แม้จะเหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตาย แต่ก็คุ้มกับวันเวลาที่เสียไป ถึงเวลาที่แรงกายแรงใจ ความจงรักภักดี และทุกสิ่งที่เขาทุ่มเทลงไปจะออกดอกออกผลแล้ว

ถอนหายใจออกมา เมื่อนึกถึงสิ่งที่ต้องแลกไปมากมาย เขาแค่อยากทำทุกอย่างให้ดี ให้ทุกคนมีความสุข อยู่อย่างสบายตัวสบายใจ จึงมุ่งมั่นทำงาน ทุกลมหายใจคืองานและความก้าวหน้า จนเมื่อวันหนึ่งเขาเงยหน้าขึ้นมาจากกองเอกสาร ทุกอย่างก็กลับว่างเปล่า ไร้เงาร่างใครที่เคยอยู่ข้างกายไปเสียแล้ว

แม้แต่เธอก็ยังจากไป...เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเหล่านั้น หรือแม้แต่เธอ ใช่ หากจะหาคนผิดสักคน ก็คงเป็นเขานี่ล่ะ เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาทำดีที่สุดแล้วสำหรับทุกคน เฝ้าปลอบใจตัวเองด้วยคำพูดเหล่านี้ เพื่อไม่ให้รู้สึกแย่ไปกว่านี้

จู่ๆ มือก็ถูกใครบางคนฉุดรั้งไว้ ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ กระโจนตัวออกด้วยความตกใจ

“อ้าว เจ้าหนู ดึกขนาดนี้เข้ามาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย แล้ว รปภ. ไปไหนกัน ปล่อยให้เด็กมาวิ่งเล่นได้”

ปรากฏว่าเป็นเด็กอายุไม่เกินแปดขวบที่ยืนอยู่ รู้สึกหงุดหงิดในใจขึ้นมาทันที

“น้าฮะ พาผมกลับบ้านหน่อย ผมอยากกลับบ้าน”

ทำหน้าเบื่อหน่าย ถอนหายใจหนักๆ ทันทีที่ได้ยินเรื่องพิลึกแบบนี้

“เด็กหลงเหรอ พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ ทำไมไม่รู้จักดูแลให้ดี”

“พาผมกลับบ้านหน่อยนะ”

“ไม่ได้ น้ากำลังยุ่ง”

เด็กชายเบะปาก ทำท่าเหมือนเตรียมตัวจะปล่อยโฮ ทำเอาชายหนุ่มตกใจจนแทบตาเหลือก

“เห้ย อย่าร้องๆ เอาอย่างนี้ เดี๋ยวน้าพาไปหาตำรวจให้เขาพาหนูกลับบ้านละกันนะ”

“น้าพาผมกลับบ้านหน่อยนะ ผมไม่อยากไปหาตำรวจ”

ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ดูเหมือนเด็กชายจะไม่ฟังท่าเดียว ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้ง แม้จะรู้สึกอารมณ์เสียขนาดไหน แต่เขาก็ไม่ใจร้ายพอจะปล่อยให้เด็กยืนร้องไห้อยู่กลางลานจอดรถมืดๆ อย่างนี้แน่ๆ

“ก็ได้ๆ พรุ่งนี้น้าจะพาไปหาบ้าน แล้วส่งให้ถึงที่เลย”

“จริงนะครับ”

“จริงสิ แต่วันนี้ดึกแล้ว แล้วน้าก็มีงานต้องทำ ไปนอนที่บ้านน้าก่อนก็แล้วกัน”

..........................................

“อาบน้ำแล้วก็รีบนอนซะ ถ้าหิวก็หาอะไรกินเอาในตู้เย็น” ชายหนุ่มพูดกับเด็กชายหลังไขประตูเข้าบ้านและจัดแจงกับแฟ้มเอกสารอยู่ครู่หนึ่ง

“บ้านรกจังนะฮะ”

“อยู่คนเดียวก็ยังงี้ล่ะ ไม่ค่อยมีเวลา” ชายหนุ่มเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เริ่มเปิดแฟ้มเอกสาร เริ่มงานที่ต้องสะสางให้เสร็จในคืนนี้

“น้าไม่นอนเหรอ”

“นอนไม่ได้หรอก  งานยังไม่เสร็จ”

“ไม่เหนื่อยเหรอฮะ”

“เหนื่อยสิ ทั้งเหนื่อยทั้งเครียด แต่ก็ต้องทำ เอ๊ะ แล้วจะถามทำไม นอนได้แล้ว”

ชายหนุ่มจรดปากกาค้างอยู่กับหน้ากระดาษ นึกแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องตอบคำถามของเด็กชายด้วย

.................................................

รุ่งเช้าชายหนุ่มตื่นเช้ากว่าปกติ หวังจะหลบไปทำงานก่อนที่เด็กชายจะตื่น แต่พอไปถึงหน้าประตู เขาก็พบว่าเด็กชายแต่งตัวนั่งรออยู่เรียบร้อยแล้ว

“น้าจะพาผมไปส่งที่บ้านแล้วใช่มั้ยฮะ” แววตากระตือรือร้นของเด็กชายทำเอาอึกอัก

“ยังไม่ได้หรอก น้าต้องไปทำงาน ไว้เย็นๆ จะมารับไปส่ง”

“น้าโกหก”

ชายหนุ่มชะงักเมื่อได้ยิน นึกฉุนเมื่อได้ยินคำตำหนิจากเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า

“น้าไม่ได้โกหกนะ แต่วันนี้น้าต้องไปทำงาน วันนี้มันวันทำงาน เข้าใจมั้ย” ชายหนุ่มพูดอย่างเหนื่อยหน่าย ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะต้องมาเจอปัญหาอะไรก็ไม่รู้อีก

“น้าบอกว่าเช้านี้จะไปส่งผม น้าโกหก” เด็กชายก้มหน้าก้มตาพูดน้ำตาคลอ

โกหก ไม่รักษาสัญญา เขาได้ยินคำนี้บ่อยเท่าบ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว

“ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเข้าไปแล้วที่คุณสัญญากับชั้น แต่สุดท้ายคุณก็ไม่ทำ”

“ผมทำเพื่ออนาคตของเราสองคนนะ เข้าใจผมหน่อยเถอะ”

“ถ้าแค่คำพูดคุณก็ยังรักษาไว้ไม่ได้ วันนี้คุณก็คงจะรักษาชั้นไว้ไม่ได้อีกแล้ว”

“ลาก่อน”


คำพูดโต้เถียงผุดขึ้นในความคิด เขาหันกลับมาหาเด็กชาย ไม่ใช่ว่าจะทนเห็นเด็กร้องไห้ไม่ได้ แต่ความรู้สึกผิดบอกให้เขาจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย

เอาเถอะ รีบทำให้จบๆ ไปซะทีดีกว่า จะได้เริ่มทำสิ่งที่ควรจะทำซะที...คิดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแท้จริง

.................................................

“ครับๆ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายจริงๆ ครับ ครับ ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะรีบไปจัดการให้เรียบร้อยเลยครับ”

การลาในวันนี้สร้างความแปลกใจให้แก่ทุกคนในบริษัท เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะอาการหนักขนาดไหน เขาก็ไม่เคยหยุดสักครั้ง

เมื่อทุกอย่างพร้อมล้อก็เริ่มขยับ จุดมุ่งหมายคือบ้านของเด็กชายที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าซึ่งขณะนี้นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้าง เดิมทีคิดว่าจะใช้เวลาไม่นาน เสร็จแล้วจะรีบไปทำงานต่อ ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งเวลาล่วงเลยไปเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เขาพบว่าการเดินทางไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างๆ บอกทางวกไปวนมาราวกับเขากำลังขับรถอยู่ในทางวงกตเสียอย่างนั้น

“นี่ แน่ใจนะว่าจำทางได้น่ะ” ถามคำถามเดิมครั้งที่ร้อย

“อือ...อออ” เด็กชายทำเสียงในลำคอท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิด

“เลี้ยวซ้ายข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวาเลยฮะ”

เหยียบคันเร่ง หักพวงมาลัยอย่างว่องไว อย่างมีความหวัง แต่เมื่อถึงปลายทางเขากลับพบว่าสถานที่ตรงหน้าของเขาหาใช่บ้านหรือที่อยู่อาศัย หากแต่มันกลับเป็นสวนสนุก

“นี่เธอกำลังคิดจะทำอะไรน่ะ” ชายหนุ่มหันกลับมาทำตาเขียวใส่เด็กชายพร้อมเสียงคำรามในลำคอ

“ก็ ผม ผมจำทางไม่ได้นี่ฮะ แล้วผมก็อยากมาที่นี่นานแล้วด้วย” พูดเสียงอ่อย ก้มหน้างุดคล้ายสำนึกผิด

“พาผมเข้าไปเล่นหน่อยนะฮะ” แต่หลังจากนั้นแววตาก็ฉายความร่าเริงให้ได้เห็น

ชายหนุ่มเข็ดเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจยาว

“เออ เอาก็เอา ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่”

“ไชโย”

นึกย้อนไป สมัยยังเด็กชายหนุ่มก็เคยอยากมาที่นี่มาก ทว่าด้วยฐานะทางการเงิน โอกาสนั้นจึงไม่เคยมาถึงสักครั้ง น่าแปลกที่เมื่อเขาโตขึ้นและไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินทองอีกแล้ว เขากลับไม่เคยคิดจะหาเวลามาที่นี่เพื่อเติมเต็มความฝันในวัยเด็กอีกเลย

...เอาล่ะ ลองเที่ยวเล่นหน่อยละกัน...

.................................................

ช่วงเวลาในโลกแห่งเทพนิยาย ตัวการ์ตูน และจินตนาการ ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง เมื่อรู้สึกตัวอีกทีตะวันก็กำลังจะลับขอบฟ้าเสียแล้ว ทั้งสองนั่งหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่บนม้านั่งหลังจากผ่านการเล่นเครื่องเล่นต่างๆ มาทั้งวัน ใบหน้าเกลื่อนรอยยิ้ม จิตใจพองโตปลอดโปร่งแบบที่ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกมานาน

“เหนื่อยจริงๆ ไม่ได้เล่นขนาดนี้มานานขนาดไหนแล้วเนี่ย” น้ำเสียงบ่งบอกอารมณ์ในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี

“หิวแล้วฮะ” เด็กชายมองหน้าชายหนุ่ม

“งั้นเดี๋ยวไปหาอะไรกินกันก่อน แล้วไปหาห้องพักแถวนี้นอนค้างละกัน ขับรถกลับบ้านไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้จะเอาไงค่อยว่ากันอีกที”

“ฮะ” เด็กชายตอบรับใบหน้าเปี่ยมสุข

ในห้องพัก ทั้งสองล้มตัวลงนอนเมื่อจัดแจงกับตัวเองเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาเจออะไรต่อมิอะไรมากมายกับเด็กชายแปลกหน้าที่นอนอยู่ข้างๆ ตนเอง

คิดๆ ดูแล้วมันช่างเป็นหนึ่งวันที่แปลกประหลาดและแตกต่างไปจากชีวิตปกติของเขาอย่างสิ้นเชิง

พรุ่งนี้คงต้องลาอีกวัน เอาเป็นว่าไข้ยังไม่สร่างก็แล้วกัน...คิดถึงเรื่องของวันพรุ่งนี้และตามต่อด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยอื่นๆ อีกพักหนึ่ง เมื่อหันกลับไปมองที่ข้างตัวเขาก็พบว่าเด็กชายหลับสนิทไปแล้ว

เผลอมองแก้มยุ้ยของเด็กชายแล้วอมยิ้ม น่าแปลก ตอนนี้งานคงค้างอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และเขาควรจะห่วงเรื่องนั้นมากกว่าที่จะมานอนสบายเฉยๆ แบบนี้ แต่เขากลับไม่รู้สึกกังวลอะไรเลย ราวกับอะไรบางอย่างในตัวของเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป

หลับตาลง ปล่อยให้จิตใจล่องลอยไปสู่โลกแห่งความฝัน

.................................................

“นี่ เจ้าหนู บ้านเธออยู่ไหนกันแน่เนี่ย”

“จริงๆ แล้วผมไม่ได้จะกลับบ้านหรอกฮะ”

“อ้าว ไม่กลับบ้านเหรอ แล้วเธอมาทำอะไรที่ที่ทำงานน้าล่ะ”

“ผมมาตามหาคนครับ”

“หาคน หาใครกัน”

“เค้าเป็นเพื่อนเล่นกับผมมาตั้งแต่ผมยังเด็กกว่านี้มากครับ พวกเราสนุกกันทุกวัน มีความสุขกันตลอดเวลา”

“แล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงต้องมาตามหาเค้าล่ะ”

“วันเวลาผ่านไป เค้าโตขึ้น โลกกว้างขึ้น แต่ผมยังคงยืนอยู่ที่นี่ ในโลกเล็กๆ ใบเดิม จนในที่สุดเค้าก็ลืมไปว่ายังมีผมอยู่”

ราวกับในอากาศถูกแขวนไว้ด้วยอณูแห่งความเศร้าสร้อย รู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยวในคำพูด แต่เพียงไม่ทันไรท่าทีของเด็กชายก็กลับกลายเป็นร่าเริง

“น้าฮะ มานี่สิฮะ ผมจะให้ดูอะไร แล้วน้าอย่าไปบอกใครนะ”

มันเป็นสถานที่รกร้างที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดยามราตรี ตรงนั้นมีกล่องไม้ผุๆ ที่ถูกมุงอย่างลวกๆ ด้วยฟางและเศษกิ่งไม้จนแทบจะกลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อม

“ฐานลับของผมเอง ผมให้น้าเข้ามาได้คนเดียวนะ”

ชายหนุ่มมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในใจนึกทึ่งกับสิ่งที่เด็กตัวเล็กๆ ทำได้ ด้านในของสิ่งที่เรียกว่าฐานลับเต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ ที่เด็กชายคิดว่าเป็นของสำคัญ

“นี่อะไร” ชายหนุ่มถามถึงสิ่งที่หยิบขึ้นมาจากกรุสมบัติของเด็กชาย

“มีดดาบครับ ลองดูดีๆ สิ เห็นมั้ย นี่ด้ามจับ แล้วตรงนี้ก็โค้งๆ ไง สวยดี” เด็กชายสาธยายสิ่งของที่ชายหนุ่มเห็นว่ามันเป็นเพียงเศษไม้เก่าๆ

“ก็แค่เศษไม้ ไม่เห็นว่าจะเป็นอย่างที่บอกตรงไหนเลย ใช้ทำอะไรก็ไม่ได้”

“ก็ผมชอบนี่ฮะ ผมอยากเก็บมันไว้ ไม่เห็นจำเป็นเลยว่าคนอื่นจะต้องมองว่ามันสวย แล้วก็ไม่เห็นจำเป็นว่ามันจะใช้ทำอะไรได้รึเปล่า มันก็แค่ผมชอบเท่านั้นเอง”

ก็แค่ชอบอย่างนั้นเหรอ

“นี่หุ่นยนต์ของผม ผมต่อหลายวันแล้วไม่เสร็จซะที เบื่อแล้วก็เลยเก็บไว้ก่อน ค่อยมาต่อใหม่วันหลัง”

“อ้าว ทำไมเลิกซะล่ะ ต้องทำให้เสร็จสิ เราต้องมีความอดทน ถึงชอบหรือไม่ชอบก็เถอะ แต่เมื่อลงมือแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ ถ้าพูดไปแล้วก็ต้องทำให้ได้”

“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ฮะ วันนี้เบื่อก็เลิก รอให้หายเบื่อก็กลับมาทำใหม่ เด็กอย่างเราไม่ใช้เหตุผลหรือหลักการที่ตั้งมาจากใครบางคนในการตัดสินใจหรอกฮะ คิดอะไรง่ายๆ ตัดสินใจด้วยความรู้สึก นั่นล่ะฮะคือสิ่งที่เด็กทำ”

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่