เหลือบไปเห็นข่าวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งในวงการดิจิทัลห้วง 1-2 เดือนที่ผ่านมากับความเคลื่อนไหวของภาครัฐโดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และภาคเอกชนในการผลักดันจัดตั้ง “สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” ที่นัยว่าจะมีบทบาทเทียบเคียงกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) สภาหอการค้าไทย และสมาคมธนาคารไทย
นัยว่าแนวคิดดังกล่าวมาจากข้อเสนอของภาคเอกชนถึง 19 องค์กรที่ส่วนหนึ่งนั้นคงแยกตัวออกมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมสาคมในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อหวังจะขับเคลื่อนงานด้านดิจิทัลให้สอดรับไปกับบทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ดูรายละเอียด www.matichon.co.th/economy/news_1135955)
และยิ่งเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อแนวคิดดังกล่าวได้รับการขานรับและขับเคลื่อนจาก นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดีอี ที่ออกมายอมรับว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (TFIT) ได้ร่วมผลักดันแนวคิดดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้วเพื่อยกระดับองค์กรขึ้นมาให้มีบทบาท เหมือนสภาหอการค้าไทย หรือสภาอุตสาหกรรม ทำหน้าที่ดูแลเรื่องมาตรฐาน เรื่องการพัฒนาคน การสร้างนวัตกรรมใหม่ และเป็นตัวแทนภาคเอกชนไปเจรจาความร่วมมือด้านดิจิทัลกับต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัล (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 3/2561 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการและสาระสำคัญของ “ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... “ พร้อมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยนั้น เท่าที่สืบค้นมา แบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้แก่หมวด 1 ให้กระทรวงดีอีดำเนินการจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ โดยให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและมีอำนาจหน้าที่เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลฯ
หมวด 2 สมาชิกของสภาดิจิทัลฯแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ สมาชิกสามัญ สมาชิกวิสามัญ และสมาชิกกิตติมศักดิ์ หมวด 3 คณะกรรมการบริหาร หมวด 4 สำนักงานสภาดิจิทัลฯ หมวด 5 ให้คณะกรรมการบริหารของสภาดิจิทัลฯจัดทำรายงานประจำปี แสดงผลงานคณะกรรมการบริหาร หมวด 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กำกับดูแลการทำงานของสภาดิจิทัลฯ ได้ตามขอบเขตที่ พ.ร.บ.สภาดิจิทัลฯกำหนด และหมวด 7 ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของสภาดิจิทัลฯต้องระวางโทษปรับ
เห็นแนวคิดของกระทรวงดิจิทัลและผู้เกี่ยวข้องแล้ว สำหรับประชาชนคนไทยคงไม่อินังขังขอบอะไรด้วยหรอก มีแต่จะเอออห่อหมกตามเสียด้วยซ้ำ หากมาจากความต้องการของทุกภาคส่วนในภาคนี้อย่างแท้จริง ไม่มีนอกในก็น่าจะให้การสนับสนุนด้วยซ้ำ หากจะยกระดับหน่วยหน่วยงานหรือองค์กรในภาคนี้ให้มีบทบาทขับเคลื่อนระบบดิจิทัลของประเทศให้เป็นรูปธรรมเสียที
เพราะที่ผ่านมา บทบาทของกระทรวงดีอีนั้น กล่าวได้ว่าไม่สามารถจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้ทุกอณูของระบบเศรษฐกิจได้เข้าถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแท้จริง ลงไปทำเน็ตประชารัฐ 24,700 หมู่บ้านรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ติดตั้งโครงข่ายแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปีมะโว้ ป่านนี้ก็ยังยักแย่ยักยันไม่ไปไหน วันวานก็เพิ่งจะส่งคณะทำงานลงไปตรวจนับทรัพย์สินที่ได้รับมอบกันอยู่เลย
ขนาดกฎหมายที่ตนเองต้องเป็นเจ้าภาพเองแท้ๆ อย่าง "พรบ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ...." หรือ "พรบ.ดีจิทัลไอดี" ที่ชื่อก็บ่งบอก อยู่แล้วว่าเป็นกฎหมายที่รัฐต้องการให้คนไทยได้เข้าถึนโยบาย "ไทยแลนด์ 4.0" ต่อไปคนไทยไม่ต้องพกพาสารพัดบัตรอะไรให้ยุบยั่บ วันนี้ยังถูกกระทรวงการคลังปาดหน้าเค้กเอาไปโม่แป้งแทนไปแล้วเรียบวุธ!
แต่ที่หลายฝ่ายเป็นกังวล ก็เพราะมีกระแสข่าวหนาหูว่า แนวคิดในการผลักดันจัดตั้ง สภาดิจิทัลแห่งชาติที่ว่านี้ มัน “หนังคนละม้วน” เลยครับ นัยว่าเบื้องหลังน้ันคือกลุ่มทุนใหญ่ที่กำลังรุก “กินรวบ” ประเทศไทยอยู่ในเวลานี้!
เพราะที่ผ่านมาจะขยับตัวทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด จะรุกคืบทำรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ผุดเมืองใหม่ 10,000 ไร่ ก็ดูทุกอย่างจะโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่พอสยายปีกเข้ามาทำกิจการโทรคมนาคมกลับเจอแรงเสียดทานแรงต้านไปซะหมด จะผลักดันจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม จะไปยกเอาโครงข่ายเสาโทรคมนาคมของหน่วยงานภาครัฐที่มีอยู่มาต่อยอดฐานธุรกิจของตนเองที่กำลังติดลมบนในการระดมทุนจากนักลงทุนก็ติดขัดโน่น นั่น นี่ ขยับตัวแทบไม่ออก
จะหวังพึ่งสมาคมโทรคมนาคมให้ออกหน้าให้รึก็ไม่ได้ดังใจ ขนาดตำแหน่งนายกสมาคมที่เจ้าสัวน้อยนั่งก้นไม่ทันร้อน ยังถูกทุนปาดหน้าแย่งไป หวังจะใช้กลุ่มคลัสเตอร์ในสภาอุตสาหกรรมฯ เดินเรื่องให้ก็ไม่ได้อีก เลยมีกุนซือใหญ่เสนอไอเดียจัดตั้งสภาดิจิทัลแห่งชาติและส่งคนของคนเข้าไปกุมบังเหียนเสียให้รู้แล้วรู้แร่ดแบบบอร์ดเกษตรหรือปศุสัตว์ต่างๆ ทั้งหลายแหล่ที่ทำสำเร็จมาแล้วทุกภาค แยกบทบาทออกมาจากสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมฯ ซะให้สิ้นเรื่องราว
แม้ 2 องค์กรในภาคนี้อย่างสมาคมโทรคมนาคมหรือ สอท.จะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแยกบทบาทออกมาแต่วินาทีนี้วงการโทรคนาคมต่างก็ฟันธงว่า ไม่มีอะไรที่ทุนใหญ่รายนี้จะทำไม่ได้ แม้แต่คดีพิพาทที่กลุ่มต้องจ่ายในชั้นอนุญาโตตุลากร ต้องจ่ายชดเชยความเสียหายให้แก่บริษัททีโอทีร่วมแสนล้าน นั้น
วันนี้คนทีโอทียังไม่มั่นใจเลยว่าต้องรอลุ้นกันไปอีกกี่ชาติถึงจะได้เม็ดเงินที่ว่านี้ เพราะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในยุคที่ประกาศกฎหมายเลือกตั้ง แต่ยังต้องไปหาวเรอรอว่าบิ๊ก คสช.จะอนุญาตเมื่อไหร่ จริงไม่จริง !!!
แต่บทบาทของสภาดิจิทัลแห่งชาติที่ว่านั้นจะสนองตอบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมไอที อิเล็กทรอนิกส์อย่างทมี่คาดหวังกันหรือไม่ ก็ลองดูบรรดาสภาเกษตร หรือสมาคมด้านปศุสัตว์นับสิบแห่งที่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็นแต่มีคนของเจ้าสัวเข้าไปนั่งโม่แป้งขับเคลื่อนอยู่ในบอร์ดหรือสมาคมเหกล่านี้นั่นปะไร
คุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยทุกระดับลืมตาอ้าปากกันได้จริงหรือไม่ ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี!!!
สภาดิจิทัลแห่งชาติ
นัยว่าแนวคิดดังกล่าวมาจากข้อเสนอของภาคเอกชนถึง 19 องค์กรที่ส่วนหนึ่งนั้นคงแยกตัวออกมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และโทรคมสาคมในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อหวังจะขับเคลื่อนงานด้านดิจิทัลให้สอดรับไปกับบทบาทของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ดูรายละเอียด www.matichon.co.th/economy/news_1135955)
และยิ่งเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น เมื่อแนวคิดดังกล่าวได้รับการขานรับและขับเคลื่อนจาก นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดีอี ที่ออกมายอมรับว่า ทางสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) และสมาคมสมาพันธ์เทคโนโลยีสารสนเทศแห่งประเทศไทย (TFIT) ได้ร่วมผลักดันแนวคิดดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้วเพื่อยกระดับองค์กรขึ้นมาให้มีบทบาท เหมือนสภาหอการค้าไทย หรือสภาอุตสาหกรรม ทำหน้าที่ดูแลเรื่องมาตรฐาน เรื่องการพัฒนาคน การสร้างนวัตกรรมใหม่ และเป็นตัวแทนภาคเอกชนไปเจรจาความร่วมมือด้านดิจิทัลกับต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการดิจิทัล (บอร์ดดีอี) ครั้งที่ 3/2561 เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการและสาระสำคัญของ “ร่างพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... “ พร้อมมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยนั้น เท่าที่สืบค้นมา แบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้แก่หมวด 1 ให้กระทรวงดีอีดำเนินการจัดตั้งสภาดิจิทัลฯ โดยให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและมีอำนาจหน้าที่เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสภาดิจิทัลฯ
หมวด 2 สมาชิกของสภาดิจิทัลฯแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ สมาชิกสามัญ สมาชิกวิสามัญ และสมาชิกกิตติมศักดิ์ หมวด 3 คณะกรรมการบริหาร หมวด 4 สำนักงานสภาดิจิทัลฯ หมวด 5 ให้คณะกรรมการบริหารของสภาดิจิทัลฯจัดทำรายงานประจำปี แสดงผลงานคณะกรรมการบริหาร หมวด 6 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ กำกับดูแลการทำงานของสภาดิจิทัลฯ ได้ตามขอบเขตที่ พ.ร.บ.สภาดิจิทัลฯกำหนด และหมวด 7 ผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติของสภาดิจิทัลฯต้องระวางโทษปรับ
เห็นแนวคิดของกระทรวงดิจิทัลและผู้เกี่ยวข้องแล้ว สำหรับประชาชนคนไทยคงไม่อินังขังขอบอะไรด้วยหรอก มีแต่จะเอออห่อหมกตามเสียด้วยซ้ำ หากมาจากความต้องการของทุกภาคส่วนในภาคนี้อย่างแท้จริง ไม่มีนอกในก็น่าจะให้การสนับสนุนด้วยซ้ำ หากจะยกระดับหน่วยหน่วยงานหรือองค์กรในภาคนี้ให้มีบทบาทขับเคลื่อนระบบดิจิทัลของประเทศให้เป็นรูปธรรมเสียที
เพราะที่ผ่านมา บทบาทของกระทรวงดีอีนั้น กล่าวได้ว่าไม่สามารถจะเป็นกลไกในการขับเคลื่อนให้ทุกอณูของระบบเศรษฐกิจได้เข้าถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ได้อย่างแท้จริง ลงไปทำเน็ตประชารัฐ 24,700 หมู่บ้านรองรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ติดตั้งโครงข่ายแล้วเสร็จไปตั้งแต่ปีมะโว้ ป่านนี้ก็ยังยักแย่ยักยันไม่ไปไหน วันวานก็เพิ่งจะส่งคณะทำงานลงไปตรวจนับทรัพย์สินที่ได้รับมอบกันอยู่เลย
ขนาดกฎหมายที่ตนเองต้องเป็นเจ้าภาพเองแท้ๆ อย่าง "พรบ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ...." หรือ "พรบ.ดีจิทัลไอดี" ที่ชื่อก็บ่งบอก อยู่แล้วว่าเป็นกฎหมายที่รัฐต้องการให้คนไทยได้เข้าถึนโยบาย "ไทยแลนด์ 4.0" ต่อไปคนไทยไม่ต้องพกพาสารพัดบัตรอะไรให้ยุบยั่บ วันนี้ยังถูกกระทรวงการคลังปาดหน้าเค้กเอาไปโม่แป้งแทนไปแล้วเรียบวุธ!
แต่ที่หลายฝ่ายเป็นกังวล ก็เพราะมีกระแสข่าวหนาหูว่า แนวคิดในการผลักดันจัดตั้ง สภาดิจิทัลแห่งชาติที่ว่านี้ มัน “หนังคนละม้วน” เลยครับ นัยว่าเบื้องหลังน้ันคือกลุ่มทุนใหญ่ที่กำลังรุก “กินรวบ” ประเทศไทยอยู่ในเวลานี้!
เพราะที่ผ่านมาจะขยับตัวทำอะไรก็ดูง่ายไปหมด จะรุกคืบทำรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ผุดเมืองใหม่ 10,000 ไร่ ก็ดูทุกอย่างจะโรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบ แต่พอสยายปีกเข้ามาทำกิจการโทรคมนาคมกลับเจอแรงเสียดทานแรงต้านไปซะหมด จะผลักดันจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม จะไปยกเอาโครงข่ายเสาโทรคมนาคมของหน่วยงานภาครัฐที่มีอยู่มาต่อยอดฐานธุรกิจของตนเองที่กำลังติดลมบนในการระดมทุนจากนักลงทุนก็ติดขัดโน่น นั่น นี่ ขยับตัวแทบไม่ออก
จะหวังพึ่งสมาคมโทรคมนาคมให้ออกหน้าให้รึก็ไม่ได้ดังใจ ขนาดตำแหน่งนายกสมาคมที่เจ้าสัวน้อยนั่งก้นไม่ทันร้อน ยังถูกทุนปาดหน้าแย่งไป หวังจะใช้กลุ่มคลัสเตอร์ในสภาอุตสาหกรรมฯ เดินเรื่องให้ก็ไม่ได้อีก เลยมีกุนซือใหญ่เสนอไอเดียจัดตั้งสภาดิจิทัลแห่งชาติและส่งคนของคนเข้าไปกุมบังเหียนเสียให้รู้แล้วรู้แร่ดแบบบอร์ดเกษตรหรือปศุสัตว์ต่างๆ ทั้งหลายแหล่ที่ทำสำเร็จมาแล้วทุกภาค แยกบทบาทออกมาจากสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมฯ ซะให้สิ้นเรื่องราว
แม้ 2 องค์กรในภาคนี้อย่างสมาคมโทรคมนาคมหรือ สอท.จะแสดงความไม่เห็นด้วยกับการแยกบทบาทออกมาแต่วินาทีนี้วงการโทรคนาคมต่างก็ฟันธงว่า ไม่มีอะไรที่ทุนใหญ่รายนี้จะทำไม่ได้ แม้แต่คดีพิพาทที่กลุ่มต้องจ่ายในชั้นอนุญาโตตุลากร ต้องจ่ายชดเชยความเสียหายให้แก่บริษัททีโอทีร่วมแสนล้าน นั้น
วันนี้คนทีโอทียังไม่มั่นใจเลยว่าต้องรอลุ้นกันไปอีกกี่ชาติถึงจะได้เม็ดเงินที่ว่านี้ เพราะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในยุคที่ประกาศกฎหมายเลือกตั้ง แต่ยังต้องไปหาวเรอรอว่าบิ๊ก คสช.จะอนุญาตเมื่อไหร่ จริงไม่จริง !!!
แต่บทบาทของสภาดิจิทัลแห่งชาติที่ว่านั้นจะสนองตอบต่ออุตสาหกรรมโทรคมนาคม อุตสาหกรรมไอที อิเล็กทรอนิกส์อย่างทมี่คาดหวังกันหรือไม่ ก็ลองดูบรรดาสภาเกษตร หรือสมาคมด้านปศุสัตว์นับสิบแห่งที่ผุดกันขึ้นมาเป็นดอกเห็นแต่มีคนของเจ้าสัวเข้าไปนั่งโม่แป้งขับเคลื่อนอยู่ในบอร์ดหรือสมาคมเหกล่านี้นั่นปะไร
คุณภาพชีวิตของเกษตรกรไทยทุกระดับลืมตาอ้าปากกันได้จริงหรือไม่ ทุกฝ่ายต่างรู้แก่ใจกันดี!!!