สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
การเดินทางในยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาสะดวกสบายมานานนักหนา ตั้งแต่ก่อน 50-60 ปี แล้วเสียด้วยซ้ำ ที่พักก็หาง่าย ค้นคว้าหาอ่านจากหนังสือนำเที่ยว เพียงแต่จองไม่ค่อยง่ายสะดวกสบายเหมือนสมัยนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าเหมือนสมัยนี้ เพราะไม่ต้องเเย่งใคร
คนไทยเดินทางไปต่างประเทศเยอะแยะมาตั้งนานเเล้ว ลองหาสถิติจาก Google ดูสิ ไม่เห็นยากตรงไหน มีตังค์มีเวลามีโอกาสก็ไปกันได้ง่าย ๆ เพราะสมัยก่อนขอวีซ่าได้ง่ายกว่าสมัยนี้มากมายหลายเท่า อย่างเยอรมัน นี่เมื่อก่อนไม่ต้องขอวีซ่า วีซ่าไปอเมริกาก็ง่ายมาก หมอ พยาบาลแห่กันไปอเมริกาเยอะแยะ มากมาย สามีเราไม่ได้เป็นหมอยังขอเข้าถาวรได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ปี 1970 แล้ว
ส่วนเราไปเรียนที่อเมริกาครั้งแรกเมื่อปี 1969 (49 ปีที่เเล้ว ) ก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร แล้วไปเรียนที่ฝรั่งเศส ปี 1976 (42 ปีก่อน) แล้วเดินทางไปทั่วยุโรปตะวันตก และฮังการี การเดินทางสะดวกสบายอย่างที่ว่าข้างบน แล้วเราย้ายมาอยู่ที่อเมริกาเมื่อปี 1979 สามีขอวีซ่าผู้อยู่ถาวรให้ เราเดินทางไปประเทศต่าง ๆ ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นตั้งเเต่ไปอเมริกาครั้งเเรกจนถึงบัดนี้ ทั้งไปเอง เเละไปกับครอบครัว เเต่ไม่เคยไปทัวร์เลยนะ ส่วนมากจะจัดการการเดินทางเองทุกอย่าง จะใช้เอเย่นต์ให้ช่วยจัดการเฉพาะที่ที่จัดการเองไม่ได้ เช่นลงเรือไปแอนตาร์คติคา หรือ ล่องเรือรอบ ๆ Svalbard อะไรแบบนี้
สรุปแล้วเราเดินทางมาตั้งแต่สมัยไม่มีอินเทอร์แน็ต ก็ไม่เห็นว่าลำบากอะไรเลย ใช้คู่มือใช้แผนที่ตลอด ถึงเเม้แต่ตอนนี้ เราก็ยังชอบใช้แผนที่เหมือนเดิม. แต่ก็ค้นคว้าศึกษาลู่ทางและจองที่พักจองเครื่องบิน จองกิจกรรมจากอินเทอร์แน็ต เวลาเดินทางไปต่างประเทศเราไม่ใช้มือถือด้วย เราจึงไม่เคยซื้อซิมอะไรทั้งนั้น ใช้แต่ไวไฟตามสถานที่ที่ให้ใช้ฟรี เท่านั้น เราเช่า pocket wifi แต่เฉพาะเวลาเที่ยวไอซแลนด์เท่านั้นเองเพราะไม่ได้พักตามโรงแรมเนื่องจากที่พักแพงมาาากกกก เรานอนตามแคมป์กราวนด์ซึ่งส่วนมากจะไม่มีไวไฟ
คนไทยเดินทางไปต่างประเทศเยอะแยะมาตั้งนานเเล้ว ลองหาสถิติจาก Google ดูสิ ไม่เห็นยากตรงไหน มีตังค์มีเวลามีโอกาสก็ไปกันได้ง่าย ๆ เพราะสมัยก่อนขอวีซ่าได้ง่ายกว่าสมัยนี้มากมายหลายเท่า อย่างเยอรมัน นี่เมื่อก่อนไม่ต้องขอวีซ่า วีซ่าไปอเมริกาก็ง่ายมาก หมอ พยาบาลแห่กันไปอเมริกาเยอะแยะ มากมาย สามีเราไม่ได้เป็นหมอยังขอเข้าถาวรได้ง่าย ๆ ตั้งแต่ปี 1970 แล้ว
ส่วนเราไปเรียนที่อเมริกาครั้งแรกเมื่อปี 1969 (49 ปีที่เเล้ว ) ก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร แล้วไปเรียนที่ฝรั่งเศส ปี 1976 (42 ปีก่อน) แล้วเดินทางไปทั่วยุโรปตะวันตก และฮังการี การเดินทางสะดวกสบายอย่างที่ว่าข้างบน แล้วเราย้ายมาอยู่ที่อเมริกาเมื่อปี 1979 สามีขอวีซ่าผู้อยู่ถาวรให้ เราเดินทางไปประเทศต่าง ๆ ตลอดเวลาไม่ว่างเว้นตั้งเเต่ไปอเมริกาครั้งเเรกจนถึงบัดนี้ ทั้งไปเอง เเละไปกับครอบครัว เเต่ไม่เคยไปทัวร์เลยนะ ส่วนมากจะจัดการการเดินทางเองทุกอย่าง จะใช้เอเย่นต์ให้ช่วยจัดการเฉพาะที่ที่จัดการเองไม่ได้ เช่นลงเรือไปแอนตาร์คติคา หรือ ล่องเรือรอบ ๆ Svalbard อะไรแบบนี้
สรุปแล้วเราเดินทางมาตั้งแต่สมัยไม่มีอินเทอร์แน็ต ก็ไม่เห็นว่าลำบากอะไรเลย ใช้คู่มือใช้แผนที่ตลอด ถึงเเม้แต่ตอนนี้ เราก็ยังชอบใช้แผนที่เหมือนเดิม. แต่ก็ค้นคว้าศึกษาลู่ทางและจองที่พักจองเครื่องบิน จองกิจกรรมจากอินเทอร์แน็ต เวลาเดินทางไปต่างประเทศเราไม่ใช้มือถือด้วย เราจึงไม่เคยซื้อซิมอะไรทั้งนั้น ใช้แต่ไวไฟตามสถานที่ที่ให้ใช้ฟรี เท่านั้น เราเช่า pocket wifi แต่เฉพาะเวลาเที่ยวไอซแลนด์เท่านั้นเองเพราะไม่ได้พักตามโรงแรมเนื่องจากที่พักแพงมาาากกกก เรานอนตามแคมป์กราวนด์ซึ่งส่วนมากจะไม่มีไวไฟ
ความคิดเห็นที่ 26
เดินทางครั้งแรกไปต่างประเทศเมื่อปี 1987
สมัยนั้นการทำ Passport ต้องไปทำที่ กระทรวงต่างประเทศ ตรงถนนศรีอยุธยา
เอกสารมากมายมหาศาล ต้องเซ็นชื่อลงในแบบฟอร์มต่างๆ ประมาณๆ 10 กว่าแบบฟอร์ม !!!
แล้วก็รออีกประมาณเกือบๆ เดือนจึงจะได้รับ Passport
เรื่องตั๋วเครื่องบิน เอเจ้น ล้วนๆ ครับ ไม่มีช่องทางอื่นๆ หรือไม่ก็ต้องไปที่สำนักงานสายการบินนั้นๆ เลย ซึ่งก็มีไม่กี่สายที่มี office ในกรุงเทพ แถมตอนนั้นถ้าซื้อกับสายการบินตรงจะได้ราคาเต็ม ไม่เหมือนซื้อกับเอเจ้นจะได้ราคาลด ตั๋วตอนนั้นราคาแพงครับ ผมไปอังกฤษ (บริษัทส่งไป) ตั๋วการบินไทยราคาประมาณสามหมื่นกว่าบาทเกือบๆ สี่หมื่นบาท ซึ่งก็น่าตกใจที่ราคาพอๆ กับปัจจุบัน แต่ตอนนั้น ค่าตัวเด็กจบปริญาตรีแค่สองพันแปดร้อยบาท !!! (เงินเดือนนะครับเงินเดือน ไม่ใช่อย่างอื่น)
คั๋วเครื่องบิน เป็นตั๋วกระดาษ เป็นเล่มเล็กๆ มีหลายๆ หน้า (หลายแผ่น) แต่ละหน้า (แผ่น) เรียกว่า ไฟล์คูปอง พอบินขาหนึ่ง ทาง chk-in ก็จะฉีกไฟล์คูปองขานั้นออกจากเล่มไป บินอีกขาก็จะถูกฉีกออกไปเรื่อยๆ จนหมด เหลือแต่แผ่นสำเนาหน้าสุดท้าย ตั๋วเครื่องบิน "หายไม่ได้" เด็ดขาดครับ รักษายิ่งชีพพอๆ กับเงินและ Passport
เรื่องวีซ่า บริษัทฯ ไปทำให้ครับเลยไม่รู้อะไร
ส่วนขั้นตอนการเดินทางก็เหมือนกับปัจจุบันนี่ละครับ ดอนเมือง สภาพทั่วไปในตอนนั้นคือ คนเดินทางน้อยแต่คนไปส่งแยะมาก พอผ่าน ตม. เข้าไปแทบไม่มีคนเดินทางมากเท่าไร
การเดินทางโดยเครื่องบินสมัยนั้น สูบบุหรี่ได้ครับ ไม่ผิดกฏกติกาอะไร อาหารเครื่องดื่มก็หน้าตาคล้ายๆ ปัจจุบันนี่ละครับ แต่ว่ามีปริมาณมากกว่าปัจจุบัน ระบบเอนเทอร์เทน บนเครื่องมีจอใหญ่ๆ ด้านหน้า ดูเรื่องเดียวกันทั้งไฟล์ครับ 555 มีหูฟัง (แบบท่อลม) ฟังเพลงได้ 4-5 ช่อง วนไปวนมาอยู่นั่นละครับ
ตอนนั้นบินการบินไทยเส้นทาง กรุงเทพ > นิวเดลี > ฮีทโทร (แวะทรานสิทนิเดลีแค่ชั่วโมงกว่าๆ จอดกลางลานจอด ผู้โดยสารที่บินไปฮีทโทร ไม่ได้ลงจากเครื่อง)
พอไปถึงที่ฮีทโทร ตอนนั้นมี Terminal เดียว ไม่วุ่นวายเท่าไรนัก คนไม่ได้มากมายมหาศาลเหมือนปัจจุบัน
ออกมามีคนมาชูป้ายชื่อ ตอนนั้นเลยเข้า London อย่างสบายหน่อย
เรื่องที่พักก็ต้องพึ่งเอเจ้น เหมือนเดิมครับ
ปล.ตอนนั้นไฮเทคสุดก็แค่โทรศัพท์บ้านธรรมดาๆ กับ Telex (บางท่านคงไม่รู้จัก Telex ลองถามอากู๋ดูครับว่าหน้าตาเป็นยังไง)
ปล. สิ่งติดตัวที่เอาไปด้วยและไฮเทคที่สุดในตอนนั้น ก็กล้อง Compact ฟิลม์ธรรมดาๆ นี่ละครับ 555
สำหรับการเที่ยวในต่างประเทศ แผนที่หาไม่ได้ครับ ต้องไปซื้อจาก ณ. สถานที่หรือเมืองนั้นๆ เลย เป็นแผนที่กระดาษใบใหญ่ๆ พับไปพับมา มีแค่นี้ละครับ แล้วก็เดินตามแผนที่ไป สมันนั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า ด้นสดกันหน้างาน ครับ
เรื่องเงิน ตอนนั้นในเมืองไทยเริ่มมีบัตรเครดิต ใช้กันแล้ว จำได้ว่ามี บัตรเอเม็ก กับ บัตรไดเนอร์คลับ ทำยากแสนเข็น ต้องมีสามชิกเก่าเซ็นรับรองสองท่าน ถึงจะสมัตรบัตรได้ (ตอนนั้นไม่มีปัญญาทำครับ 555)
เงินส่วนใหญ่แลกเป็น ทราเวลเช็ค เอาไว้ นอกนั้นก็เงินสด
สมัยนั้น กระทรวงการคลัง ควบคุมเงินตราต่างประเทศ จะแลกเงินต้องเอา Passport ไปสลักหลังด้วยว่าแลกไปเท่าไร แลกครั้งหนึ่งก็จดไว้หน้าท้ายสุดของ Passport แลกกี่ครั้งก็ลงรายการไปเรื่อยๆ แดงเต็มหน้าสุดท้ายของ Passport
ปล. การกด ATM ข้ามประเทศยังไม่เกิดครับ
เล่ม 1 ,2 เป็นแบบต่ออายุได้ 5+5 รวม 10 ปี และสามารถเพิ่มหน้าได้ (กี่ชุดก็ได้)
เล่ม 3 เริ่มใช้ autogate ที่ดอนเมืองเป็นรุ่นแรก อายุ Passport 5 ปี (ต่ออายุไม่ได้ เพิ่มหน้าไม่ได้)
สมัยนั้นการทำ Passport ต้องไปทำที่ กระทรวงต่างประเทศ ตรงถนนศรีอยุธยา
เอกสารมากมายมหาศาล ต้องเซ็นชื่อลงในแบบฟอร์มต่างๆ ประมาณๆ 10 กว่าแบบฟอร์ม !!!
แล้วก็รออีกประมาณเกือบๆ เดือนจึงจะได้รับ Passport
เรื่องตั๋วเครื่องบิน เอเจ้น ล้วนๆ ครับ ไม่มีช่องทางอื่นๆ หรือไม่ก็ต้องไปที่สำนักงานสายการบินนั้นๆ เลย ซึ่งก็มีไม่กี่สายที่มี office ในกรุงเทพ แถมตอนนั้นถ้าซื้อกับสายการบินตรงจะได้ราคาเต็ม ไม่เหมือนซื้อกับเอเจ้นจะได้ราคาลด ตั๋วตอนนั้นราคาแพงครับ ผมไปอังกฤษ (บริษัทส่งไป) ตั๋วการบินไทยราคาประมาณสามหมื่นกว่าบาทเกือบๆ สี่หมื่นบาท ซึ่งก็น่าตกใจที่ราคาพอๆ กับปัจจุบัน แต่ตอนนั้น ค่าตัวเด็กจบปริญาตรีแค่สองพันแปดร้อยบาท !!! (เงินเดือนนะครับเงินเดือน ไม่ใช่อย่างอื่น)
คั๋วเครื่องบิน เป็นตั๋วกระดาษ เป็นเล่มเล็กๆ มีหลายๆ หน้า (หลายแผ่น) แต่ละหน้า (แผ่น) เรียกว่า ไฟล์คูปอง พอบินขาหนึ่ง ทาง chk-in ก็จะฉีกไฟล์คูปองขานั้นออกจากเล่มไป บินอีกขาก็จะถูกฉีกออกไปเรื่อยๆ จนหมด เหลือแต่แผ่นสำเนาหน้าสุดท้าย ตั๋วเครื่องบิน "หายไม่ได้" เด็ดขาดครับ รักษายิ่งชีพพอๆ กับเงินและ Passport
เรื่องวีซ่า บริษัทฯ ไปทำให้ครับเลยไม่รู้อะไร
ส่วนขั้นตอนการเดินทางก็เหมือนกับปัจจุบันนี่ละครับ ดอนเมือง สภาพทั่วไปในตอนนั้นคือ คนเดินทางน้อยแต่คนไปส่งแยะมาก พอผ่าน ตม. เข้าไปแทบไม่มีคนเดินทางมากเท่าไร
การเดินทางโดยเครื่องบินสมัยนั้น สูบบุหรี่ได้ครับ ไม่ผิดกฏกติกาอะไร อาหารเครื่องดื่มก็หน้าตาคล้ายๆ ปัจจุบันนี่ละครับ แต่ว่ามีปริมาณมากกว่าปัจจุบัน ระบบเอนเทอร์เทน บนเครื่องมีจอใหญ่ๆ ด้านหน้า ดูเรื่องเดียวกันทั้งไฟล์ครับ 555 มีหูฟัง (แบบท่อลม) ฟังเพลงได้ 4-5 ช่อง วนไปวนมาอยู่นั่นละครับ
ตอนนั้นบินการบินไทยเส้นทาง กรุงเทพ > นิวเดลี > ฮีทโทร (แวะทรานสิทนิเดลีแค่ชั่วโมงกว่าๆ จอดกลางลานจอด ผู้โดยสารที่บินไปฮีทโทร ไม่ได้ลงจากเครื่อง)
พอไปถึงที่ฮีทโทร ตอนนั้นมี Terminal เดียว ไม่วุ่นวายเท่าไรนัก คนไม่ได้มากมายมหาศาลเหมือนปัจจุบัน
ออกมามีคนมาชูป้ายชื่อ ตอนนั้นเลยเข้า London อย่างสบายหน่อย
เรื่องที่พักก็ต้องพึ่งเอเจ้น เหมือนเดิมครับ
ปล.ตอนนั้นไฮเทคสุดก็แค่โทรศัพท์บ้านธรรมดาๆ กับ Telex (บางท่านคงไม่รู้จัก Telex ลองถามอากู๋ดูครับว่าหน้าตาเป็นยังไง)
ปล. สิ่งติดตัวที่เอาไปด้วยและไฮเทคที่สุดในตอนนั้น ก็กล้อง Compact ฟิลม์ธรรมดาๆ นี่ละครับ 555
สำหรับการเที่ยวในต่างประเทศ แผนที่หาไม่ได้ครับ ต้องไปซื้อจาก ณ. สถานที่หรือเมืองนั้นๆ เลย เป็นแผนที่กระดาษใบใหญ่ๆ พับไปพับมา มีแค่นี้ละครับ แล้วก็เดินตามแผนที่ไป สมันนั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า ด้นสดกันหน้างาน ครับ
เรื่องเงิน ตอนนั้นในเมืองไทยเริ่มมีบัตรเครดิต ใช้กันแล้ว จำได้ว่ามี บัตรเอเม็ก กับ บัตรไดเนอร์คลับ ทำยากแสนเข็น ต้องมีสามชิกเก่าเซ็นรับรองสองท่าน ถึงจะสมัตรบัตรได้ (ตอนนั้นไม่มีปัญญาทำครับ 555)
เงินส่วนใหญ่แลกเป็น ทราเวลเช็ค เอาไว้ นอกนั้นก็เงินสด
สมัยนั้น กระทรวงการคลัง ควบคุมเงินตราต่างประเทศ จะแลกเงินต้องเอา Passport ไปสลักหลังด้วยว่าแลกไปเท่าไร แลกครั้งหนึ่งก็จดไว้หน้าท้ายสุดของ Passport แลกกี่ครั้งก็ลงรายการไปเรื่อยๆ แดงเต็มหน้าสุดท้ายของ Passport
ปล. การกด ATM ข้ามประเทศยังไม่เกิดครับ

เล่ม 3 เริ่มใช้ autogate ที่ดอนเมืองเป็นรุ่นแรก อายุ Passport 5 ปี (ต่ออายุไม่ได้ เพิ่มหน้าไม่ได้)
ความคิดเห็นที่ 6
เห็นภาพเลยครับ ของผมดูเหมือนจะเป็นทางการกว่ากระมัง ก่อนขึ้นเครื่องบิน
ญาติพี่น้องต่างจังหวัด มีมาลัยดอกไม้สด คล้องคอให้ด้วย พร้อมถ่ายรูปหมู่
ขณะเครื่องบิน Aeroflot รัสเซีย ตั๋วราคาเก้าพันบาทถ้วน พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
เครื่องยนต์เสียงดัง สั่นสะท้านไปทั้งลำ ได้ยินเสียงโยกคลอน ของอุปกรณ์ภายในตัวเครื่อง
ผู้โดยสารสาวบางรายหลับตาลง เพื่อประนมมือสวดมนต์ ผมก็ทำตามเธอโดยอัตโนมัติ อย่างไม่รู้ตัว
เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้ แคล้วคลาดปลอดภัย จนถึงปลายทางอเมริกา....
ญาติพี่น้องต่างจังหวัด มีมาลัยดอกไม้สด คล้องคอให้ด้วย พร้อมถ่ายรูปหมู่
ขณะเครื่องบิน Aeroflot รัสเซีย ตั๋วราคาเก้าพันบาทถ้วน พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า
เครื่องยนต์เสียงดัง สั่นสะท้านไปทั้งลำ ได้ยินเสียงโยกคลอน ของอุปกรณ์ภายในตัวเครื่อง
ผู้โดยสารสาวบางรายหลับตาลง เพื่อประนมมือสวดมนต์ ผมก็ทำตามเธอโดยอัตโนมัติ อย่างไม่รู้ตัว
เพื่อให้การเดินทางครั้งนี้ แคล้วคลาดปลอดภัย จนถึงปลายทางอเมริกา....
แสดงความคิดเห็น
การเดินทางไปต่างประเทศเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ยุ่งยากลำบากไหม
แต่ในช่วงยุค 60's - 70's อัตราจำนวนสถิติคนไทยไปต่างประเทศมากหรือน้อย และสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องยากวุ่นวายไหมกว่าจะได้นั่งเครื่องบินไปต่างประเทศ ทั้ง ไปท่องเที่ยว ไปเรียนต่อ ไปทำงาน