ตถาคตเรียกสิ่งนี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนและวัน
เปรียบเหมือนลิงเมื่อเที่ยวไปในป่าเล็กและป่าใหญ่จับกิ่งไม้ปล่อยกิ่งไม้นั้นแล้ว
ย่อมจับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งนั้นแล้วย่อมจับกิ่งอื่นต่อไป
ฉะนั้น ตถาคตจึงเรียกสิ่งนี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนทั้งวัน
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างคือลิง
อารมณ์คือป่าใหญ่
ตัณหาคือกิ่งไม้ ที่เกิด ดับ ที่ลิงจับแล้วก็ปล่อย
การจับคือการเกิด
ลิงจับต้นไม้ คือจิตเกิดตัณหา
การปล่อย คือการดับ
ลิงปล่อยต้นไม้ คือจิตไม่มีตัณหา
จับกิ่งอื่นต่อไป ไม่ได้นั่งเฉยๆๆ
เปรียบเหมือนจิตไม่อยู่เฉย
จิตมีตัณหาเกิด ดับตลอดเวลา
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างคือลิง
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนและวัน
เปรียบเหมือนลิงเมื่อเที่ยวไปในป่าเล็กและป่าใหญ่จับกิ่งไม้ปล่อยกิ่งไม้นั้นแล้ว
ย่อมจับกิ่งอื่น ปล่อยกิ่งนั้นแล้วย่อมจับกิ่งอื่นต่อไป
ฉะนั้น ตถาคตจึงเรียกสิ่งนี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปตลอดทั้งคืนทั้งวัน
จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้างคือลิง
อารมณ์คือป่าใหญ่
ตัณหาคือกิ่งไม้ ที่เกิด ดับ ที่ลิงจับแล้วก็ปล่อย
การจับคือการเกิด
ลิงจับต้นไม้ คือจิตเกิดตัณหา
การปล่อย คือการดับ
ลิงปล่อยต้นไม้ คือจิตไม่มีตัณหา
จับกิ่งอื่นต่อไป ไม่ได้นั่งเฉยๆๆ
เปรียบเหมือนจิตไม่อยู่เฉย
จิตมีตัณหาเกิด ดับตลอดเวลา