ต้องบอกว่าไม่ได้ตามข่าวเรื่องภาคต่อของ Predator เลย และที่จริงเมื่อวาน
ว่าจะเข้าไปดู The Nun อีกรอบ แต่รอบฉายไม่มีเลยดูเรื่องนี้แทน
The Predator ชื่อไทย เพรดเดเทอร์ -ดีแฮะ ที่เขียนคำอ่านโอเค เมื่อสมัย
20 กว่าปีที่แล้ว สมัยยังไม่เก่งภาษาอังกฤษเราก็อ่านพรีเดเตอร์ๆ อยู่นานเลย
อ่านว่าพรีคือผิด จริงๆ ต้องอ่านเพร้ด
ตัวหนังบอกเลยว่าก็ตามหน้าหนัง ไม่ได้เป็นหนังเกรด A แต่เป็นเกรดรองๆ ลงไป
แต่ไม่อยากบอกว่าเป็นหนังเกรด B สำหรับแฟนเก่าๆ ของเพรดเดเทอร์ก็จะได้ข้อมูล
เพิ่มเติมสำหรับจักรวาลเพรดเดเตอร์ แต่ในภาคนี้ไม่ได้พูดถึงจักรวาลของเอเลี่ยนหรือ Xenomorph
ความสนุกตื่นเต้นผมให้ระดับพอใช้ได้ เพลงต้นฉบับเอาถูกเอามาใช้อีกครั้ง มันฟังคลาสสิคแต่ก็
ดูไม่มีความแปลกใหม่ ระดับเหตุผลในเหตุการณ์ต่างๆ ดูน้อยไป รายละเอียดอะไรก็ไม่ค่อยมี
แต่ก็มีในบางส่วนที่น่าชื่นชม และหนังก็สามารถทำให้ดูไปได้เรื่อยๆ จนจบ
ส่วนที่เกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวคือ ตัวละครหนึ่งในนั้นเป็นโรคทูเร็ตต์ หรือโรคกระตุกและ
พูดสบถซ้ำๆ บ่อยๆ ซึ่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายถ้าตัวคนไข้ไม่หาความรู้อย่างจริงจัง เพราะโรคนี้
ยังไม่มียารักษาและหมอยังรักษาไม่ได้ แต่ถ้าคนไข้หาความรู้ก็จะหาย ลูกผมเพิ่งเป็นเมื่อต้นปี
ก็ไม่มีหมอที่ไหนรักษาหาย ก็ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเอง ก็สามารถหายได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
ตอนนั้นก็เลยเอามาเขียนลงใน Pantip
https://pantip.com/topic/37877616
เพราะโรคนี้ฝรั่งเป็นเยอะ รักษาหายด้วยตัวเองก็เยอะ
แต่บ้านเราก็เป็นโรคนี้กันเยอะ แต่ยังไม่มีใครรู้เรื่องเลยว่ามันรักษาได้
พอดูหนังก็ เฮ้ย มันพูดถึงโรคนี้ด้วย จากประสบการณ์ที่ดูหนังมายาวนาน ไม่เคยเจอ
ทำไมเพิ่งมาเจอตอนนี้ แต่หนังเกี่ยวกับโรคนี้โดยเฉพาะก็มี แต่ปกติเราดูหนังตลาดๆ ทั่วไปไง
แถมลูกพระเอกยังประมาณๆ แอสเพอร์เกอร์อีก
ซึ่งก็คล้ายลูกตัวเองเพราะหมอเคยวินิจฉัยแบบนั้น (แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นหรอก หมอพูดผิด)
ซึ่งผมก็กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องโรคนี้อยู่
แล้วที่แปลกอีกอย่างก็คือ Thomas Jane ที่เล่นเป็นคนที่เป็นทูเร็ตต์
ผมเคยดูแกเล่นนานแล้วสมัย Deep Blue Sea แล้วก็ไม่ดูหนังแกอีกเลย
พอดีพาลูกไปดู Axl เมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะลูกชอบหุ่นยนต์หมา
แล้วก็เจอแกมาเล่นเป็นบทพ่อพระเอก ก็กำลังนึกอยู่เลยว่า แกตกต่ำลงขนาดนี้เลยหรือ
(พอเช็ค wiki ก็เห็นแกเป็นพระเอกหนัง direct-to-dvd เยอะมาก)
แต่สรุปสำหรับคนดูหนังทั่วไป ไม่นับผมที่บังเอิญมีอะไรโยงกับประสบการณ์ส่วนตัว
หนังจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความมันกับความสนุกก็กลางๆ การต่อสู้ระหว่างเพรดเดเทอร์
กับคนก็พอโอเค กับมีเนื้อเรื่องที่จะทำเหมือนจักรวาลของ Marvel ในความรู้สึก
แต่ดูจากความรู้สึกของแฟนที่ไปดูด้วยกัน (ตีว่าเป็นคนดูทั่วไป เพราะแฟนก็อารมณ์ประมาณคนทั่วไป)
เขาก็ไม่ได้บ่นอะไร ก็ดูได้สนุกเพลินๆ ผมจึงคิดว่าหนังค่อนข้างจะเหมาะกับกลุ่มคนดูที่ชอบดูหนัง
สนุกเพลินๆ ประมาณวัยรุ่นไปดูกับกลุ่มเพื่อนอะไรแบบนี้ แต่ถ้าสำหรับคนที่ชอบดูหนัง บางทีก็ไปคนเดียว
ชอบขบคิด ชอบอิน ชอบความสมเหตุสมผล และมีมาตรวัดความสนุกของหนังในระดับโปร
ผมว่าผ่านเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า ส่วนตัวก็คิดว่าหนังน่าดูที่บ้าน ลงเป็นแผ่น DVD เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าตอนจบหนังจะวางแพลนว่าจะสร้างเป็นจักรวาล แต่ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร
เพิ่งดู The Nun นั่นก็กะจะทำเป็นจักรวาล Marvel อีกเหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้อารมณ์
ความหนักแน่นของหนัง drop ลงไปเลย ซึ่งนี่น่าจะเป็นจุดอ่อนของไอ้ concept สร้าง
เป็นจักรวาลล่ะมั้ง ทำให้ผู้สร้างดูไม่ concentrate หรือมุ่งมั่นกับตัวหนังปัจจุบันเท่าที่ควร แต่ไปมอง
ที่หนังอนาคตมากไป ก็เลยใส่มาไม่เต็มที่ DC ก็กะทำ DC universe แต่ก็ไม่รอดเพราะพอจะทำแล้ว
คุณค่าของหนังมันจะดูเบาหวิวขึ้นมาเลย รู้สึกได้เลยว่ามันไม่เต็มที่ มีอะไรกั๊กๆ ประมาณนั้น
The Predator กับประสบการณ์ส่วนตัว
ว่าจะเข้าไปดู The Nun อีกรอบ แต่รอบฉายไม่มีเลยดูเรื่องนี้แทน
The Predator ชื่อไทย เพรดเดเทอร์ -ดีแฮะ ที่เขียนคำอ่านโอเค เมื่อสมัย
20 กว่าปีที่แล้ว สมัยยังไม่เก่งภาษาอังกฤษเราก็อ่านพรีเดเตอร์ๆ อยู่นานเลย
อ่านว่าพรีคือผิด จริงๆ ต้องอ่านเพร้ด
ตัวหนังบอกเลยว่าก็ตามหน้าหนัง ไม่ได้เป็นหนังเกรด A แต่เป็นเกรดรองๆ ลงไป
แต่ไม่อยากบอกว่าเป็นหนังเกรด B สำหรับแฟนเก่าๆ ของเพรดเดเทอร์ก็จะได้ข้อมูล
เพิ่มเติมสำหรับจักรวาลเพรดเดเตอร์ แต่ในภาคนี้ไม่ได้พูดถึงจักรวาลของเอเลี่ยนหรือ Xenomorph
ความสนุกตื่นเต้นผมให้ระดับพอใช้ได้ เพลงต้นฉบับเอาถูกเอามาใช้อีกครั้ง มันฟังคลาสสิคแต่ก็
ดูไม่มีความแปลกใหม่ ระดับเหตุผลในเหตุการณ์ต่างๆ ดูน้อยไป รายละเอียดอะไรก็ไม่ค่อยมี
แต่ก็มีในบางส่วนที่น่าชื่นชม และหนังก็สามารถทำให้ดูไปได้เรื่อยๆ จนจบ
ส่วนที่เกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัวคือ ตัวละครหนึ่งในนั้นเป็นโรคทูเร็ตต์ หรือโรคกระตุกและ
พูดสบถซ้ำๆ บ่อยๆ ซึ่งเป็นโรคที่รักษาไม่หายถ้าตัวคนไข้ไม่หาความรู้อย่างจริงจัง เพราะโรคนี้
ยังไม่มียารักษาและหมอยังรักษาไม่ได้ แต่ถ้าคนไข้หาความรู้ก็จะหาย ลูกผมเพิ่งเป็นเมื่อต้นปี
ก็ไม่มีหมอที่ไหนรักษาหาย ก็ต้องค้นคว้าหาข้อมูลเอง ก็สามารถหายได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
ตอนนั้นก็เลยเอามาเขียนลงใน Pantip https://pantip.com/topic/37877616
เพราะโรคนี้ฝรั่งเป็นเยอะ รักษาหายด้วยตัวเองก็เยอะ
แต่บ้านเราก็เป็นโรคนี้กันเยอะ แต่ยังไม่มีใครรู้เรื่องเลยว่ามันรักษาได้
พอดูหนังก็ เฮ้ย มันพูดถึงโรคนี้ด้วย จากประสบการณ์ที่ดูหนังมายาวนาน ไม่เคยเจอ
ทำไมเพิ่งมาเจอตอนนี้ แต่หนังเกี่ยวกับโรคนี้โดยเฉพาะก็มี แต่ปกติเราดูหนังตลาดๆ ทั่วไปไง
แถมลูกพระเอกยังประมาณๆ แอสเพอร์เกอร์อีก
ซึ่งก็คล้ายลูกตัวเองเพราะหมอเคยวินิจฉัยแบบนั้น (แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นหรอก หมอพูดผิด)
ซึ่งผมก็กำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องโรคนี้อยู่
แล้วที่แปลกอีกอย่างก็คือ Thomas Jane ที่เล่นเป็นคนที่เป็นทูเร็ตต์
ผมเคยดูแกเล่นนานแล้วสมัย Deep Blue Sea แล้วก็ไม่ดูหนังแกอีกเลย
พอดีพาลูกไปดู Axl เมื่ออาทิตย์ก่อน เพราะลูกชอบหุ่นยนต์หมา
แล้วก็เจอแกมาเล่นเป็นบทพ่อพระเอก ก็กำลังนึกอยู่เลยว่า แกตกต่ำลงขนาดนี้เลยหรือ
(พอเช็ค wiki ก็เห็นแกเป็นพระเอกหนัง direct-to-dvd เยอะมาก)
แต่สรุปสำหรับคนดูหนังทั่วไป ไม่นับผมที่บังเอิญมีอะไรโยงกับประสบการณ์ส่วนตัว
หนังจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ความมันกับความสนุกก็กลางๆ การต่อสู้ระหว่างเพรดเดเทอร์
กับคนก็พอโอเค กับมีเนื้อเรื่องที่จะทำเหมือนจักรวาลของ Marvel ในความรู้สึก
แต่ดูจากความรู้สึกของแฟนที่ไปดูด้วยกัน (ตีว่าเป็นคนดูทั่วไป เพราะแฟนก็อารมณ์ประมาณคนทั่วไป)
เขาก็ไม่ได้บ่นอะไร ก็ดูได้สนุกเพลินๆ ผมจึงคิดว่าหนังค่อนข้างจะเหมาะกับกลุ่มคนดูที่ชอบดูหนัง
สนุกเพลินๆ ประมาณวัยรุ่นไปดูกับกลุ่มเพื่อนอะไรแบบนี้ แต่ถ้าสำหรับคนที่ชอบดูหนัง บางทีก็ไปคนเดียว
ชอบขบคิด ชอบอิน ชอบความสมเหตุสมผล และมีมาตรวัดความสนุกของหนังในระดับโปร
ผมว่าผ่านเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า ส่วนตัวก็คิดว่าหนังน่าดูที่บ้าน ลงเป็นแผ่น DVD เลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าตอนจบหนังจะวางแพลนว่าจะสร้างเป็นจักรวาล แต่ก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร
เพิ่งดู The Nun นั่นก็กะจะทำเป็นจักรวาล Marvel อีกเหมือนกัน ซึ่งก็ทำให้อารมณ์
ความหนักแน่นของหนัง drop ลงไปเลย ซึ่งนี่น่าจะเป็นจุดอ่อนของไอ้ concept สร้าง
เป็นจักรวาลล่ะมั้ง ทำให้ผู้สร้างดูไม่ concentrate หรือมุ่งมั่นกับตัวหนังปัจจุบันเท่าที่ควร แต่ไปมอง
ที่หนังอนาคตมากไป ก็เลยใส่มาไม่เต็มที่ DC ก็กะทำ DC universe แต่ก็ไม่รอดเพราะพอจะทำแล้ว
คุณค่าของหนังมันจะดูเบาหวิวขึ้นมาเลย รู้สึกได้เลยว่ามันไม่เต็มที่ มีอะไรกั๊กๆ ประมาณนั้น