ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า ผมยังโสดนะ ในวัยเกือบ 40 ปี
แต่ผมไม่คิดว่าการแต่งงาน การมีลูกมันยากเย็นเสียจนสร้างความหวาดกลัวให้เราได้ ผมเห็นคนสมัยนี้คำนวณทุกอย่างเป็นเงินไปหมด ต้องมีล้านถึงมีลูกได้ ต้องมีเท่านี้ เท่านั่นถึงจะมั่นใจได้ว่าอนาคตจะดีให้ลูกได้ ผมว่าแนวคิดแบบนี้เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน พอๆกับผัดกะเพราะต้องไม่มีผัก แล้วจู่ๆสังคมเรามันก็ตามๆกันไป โดยที่
เราไม่รู้ตัว
ทุกครั้งที่ผมกลับต่างจังหวัด ผมรู้สึกอิจฉาเพื่อนรุ่นเดียวกันที่รายได้ไม่ได้มากมาย เอาง่ายๆเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ เงินเดือนไม่น่าเกิน 2 หมื่นบาท ตื่นเช้ามาขี่มอไซค์ไปส่งลูกไปโรงเรียน ตัวเองไปทำงาน ตอนเย็นไปรับลูกจากโรงเรียนกลับบ้าน ไม่เกิน 5 โมงเย็นทุกคนถึงบ้าน พ่อขี่มอไซค์ไปเตะบอลกับเพื่อน แม่เตรียมอาหาร ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไร ลูกๆก็เรียนโีรงเรียนใกล้บ้าน เรียนดี ก็ได้ดีไป
บางคนเป็นหมอ เป็นทนาย เป็นครูบา อาจารย์ คนที่เรียนไม่ดี ก็ไปทำอย่างอื่น ซ่อมมอไซค์ ขายข้าวแกง รับจ้างทั่วไปตามธรรมชาติของคน
ผมเคยลองใจแฟนคนล่าสุด เขาถามผมว่าถ้าแต่งงานกันจะคลอดที่โรงพยาบาลไหนดี ผมตอบไปว่าก็คลอดโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เธอไม่พอใจ เธอบอกว่าต้องคลอดสมิทธิเวช หรือไม่ก็ร.พ.กรุงเทพ เธอรับไม่ได้ที่จะไปคลอดร.พ.ของรัฐด้วยสิทธิประกันสังคม อายเพื่อน
เรื่องที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน ผมวางแผนจะซื้อคอนโดมือสอง เก่าหน่อย แต่ห้องเพนท์เฮาส์ สามห้องนอน ห่างเมืองนิดเดียว แต่เธอไม่สน เธอบอกว่าซื้อห้อง 20 กว่าตร.ม.ตรงตีนบันไดรถไฟฟ้าดีกว่าทั้งๆที่แพงกว่า แล้วไม่practicalเลย แต่งงานกัน มีลูกแล้วจะให้อยู่ห้องแคบๆแบนั้นหรือ
จนทำให้เราสงสัยว่าเราแปลกแยกจากสังคมปัจจุบันขนาดนั้นเลยหรือ คนส่วนใหญ่ปัจจุบันคืดแบบนี้จริงๆหรือ
แต่เรามีตัวอย่างที่น่ารักพอสมควร รุ่นน้องที่บริษัทเก่า แต่งงงานกันทั้งๆที่ไม่มีอะไร เงินเดือนสองสามีภรรยารวมกันไม่น่าเกิน 4 หมื่น แต่งงานกัน เช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ ค่อยๆขยับขยายไป ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ตอนนี้ทั้งคู่มีลูกคนนึง กลับต่างจังหวัด ทำมาหากินต่อไป ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร
ตกลงว่าที่จริงๆแล้ว การแต่งงาน การมีลูกมันยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ
การจะแต่งงาน มีลูกมันยากลำบากขนาดนั้นเลยหรือ
แต่ผมไม่คิดว่าการแต่งงาน การมีลูกมันยากเย็นเสียจนสร้างความหวาดกลัวให้เราได้ ผมเห็นคนสมัยนี้คำนวณทุกอย่างเป็นเงินไปหมด ต้องมีล้านถึงมีลูกได้ ต้องมีเท่านี้ เท่านั่นถึงจะมั่นใจได้ว่าอนาคตจะดีให้ลูกได้ ผมว่าแนวคิดแบบนี้เพิ่งเกิดมาได้ไม่นาน พอๆกับผัดกะเพราะต้องไม่มีผัก แล้วจู่ๆสังคมเรามันก็ตามๆกันไป โดยที่
เราไม่รู้ตัว
ทุกครั้งที่ผมกลับต่างจังหวัด ผมรู้สึกอิจฉาเพื่อนรุ่นเดียวกันที่รายได้ไม่ได้มากมาย เอาง่ายๆเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ เงินเดือนไม่น่าเกิน 2 หมื่นบาท ตื่นเช้ามาขี่มอไซค์ไปส่งลูกไปโรงเรียน ตัวเองไปทำงาน ตอนเย็นไปรับลูกจากโรงเรียนกลับบ้าน ไม่เกิน 5 โมงเย็นทุกคนถึงบ้าน พ่อขี่มอไซค์ไปเตะบอลกับเพื่อน แม่เตรียมอาหาร ไม่เห็นเขาจะเดือดร้อนอะไร ลูกๆก็เรียนโีรงเรียนใกล้บ้าน เรียนดี ก็ได้ดีไป
บางคนเป็นหมอ เป็นทนาย เป็นครูบา อาจารย์ คนที่เรียนไม่ดี ก็ไปทำอย่างอื่น ซ่อมมอไซค์ ขายข้าวแกง รับจ้างทั่วไปตามธรรมชาติของคน
ผมเคยลองใจแฟนคนล่าสุด เขาถามผมว่าถ้าแต่งงานกันจะคลอดที่โรงพยาบาลไหนดี ผมตอบไปว่าก็คลอดโรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน เธอไม่พอใจ เธอบอกว่าต้องคลอดสมิทธิเวช หรือไม่ก็ร.พ.กรุงเทพ เธอรับไม่ได้ที่จะไปคลอดร.พ.ของรัฐด้วยสิทธิประกันสังคม อายเพื่อน
เรื่องที่อยู่อาศัยก็เช่นกัน ผมวางแผนจะซื้อคอนโดมือสอง เก่าหน่อย แต่ห้องเพนท์เฮาส์ สามห้องนอน ห่างเมืองนิดเดียว แต่เธอไม่สน เธอบอกว่าซื้อห้อง 20 กว่าตร.ม.ตรงตีนบันไดรถไฟฟ้าดีกว่าทั้งๆที่แพงกว่า แล้วไม่practicalเลย แต่งงานกัน มีลูกแล้วจะให้อยู่ห้องแคบๆแบนั้นหรือ
จนทำให้เราสงสัยว่าเราแปลกแยกจากสังคมปัจจุบันขนาดนั้นเลยหรือ คนส่วนใหญ่ปัจจุบันคืดแบบนี้จริงๆหรือ
แต่เรามีตัวอย่างที่น่ารักพอสมควร รุ่นน้องที่บริษัทเก่า แต่งงงานกันทั้งๆที่ไม่มีอะไร เงินเดือนสองสามีภรรยารวมกันไม่น่าเกิน 4 หมื่น แต่งงานกัน เช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ ค่อยๆขยับขยายไป ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร ตอนนี้ทั้งคู่มีลูกคนนึง กลับต่างจังหวัด ทำมาหากินต่อไป ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร
ตกลงว่าที่จริงๆแล้ว การแต่งงาน การมีลูกมันยากเย็นขนาดนั้นเลยหรือ