สวัสดีค่ะ พอดีเราขอเล่าเรื่องของน้องที่รู้จักคนนึงนะคะ ตอนรู้จักน้องคนนี้ เค้าชอบคิดว่าตัวเองเก่ง เพราะเรียนจบเกียรตินิยม แต่ไม่มีเพื่อนสนิทเลยค่ะ
แบบอยู่มาแบบไม่เพื่อนสนิทเลยค่ะ จนมาตอนถึงทำงาน เราก็แปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆ น้องมาบอกว่า พี่หนูมีปัญหานะ สารในสมองหลั่งผิดปกติอาจทำให้เกิดอาการเครียด พอได้ยินก็เครียดสิค่ะ แล้วเราจะรับมือกับน้องคนนี้ยังไง ตลอดมาก็พยายามทำให้ชีวิตน้องไม่เครียด สนุกสนานหัวเราะยอมเปิดตัวเองออกมาจากมุมห้อง ..... แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ภายในไม่กี่เดือน (ปล. ก่อนหน้านี้น้องพูดถึงเราดีมาก ชอบเรา ให้เราเป็นไอดอลในการทำงานและแก้ปัญหา) แต่แล้วน้องเค้าก็เริ่มทำงานไม่ได้ตามสั่ง ขอเลื่อนส่งงานมาตลอด และเอาเราไปพูดไม่ดีเสียหายมากมาย บอกเรากดดัน ทำงานน้องบอกว่าไม่ทันก็ไม่ฟัง ไม่ให้คนอื่นมาช่วยงานน้องเลย พอเราได้ยินก็งง ว่าทำไมพูดแบบนี้ ... พอถามก็พูดมาว่า หนูไม่มีอะไรเลยนะ หนูเครียดเฉยๆ สุขภาพไม่ค่อยดี และไม่ได้ร็สึกอะไรกับเราแบบนั้นเลย (งงมากบอกตรง ณ จุดนี้) และสักพักน้องก็ไม่จบนะคะ ยังเอาเรื่องของเราไปบีบน้ำตากับคนอื่นในทีม จนเรากลายร่างเป็นยักษ์เลย
คือเราเสียใจมากค่ะ จุดพีคของเรื่อง คือ วันนึงเราตามงานจากน้อง น้องก็บอกไม่ทันและไม่ส่ง เราบอกของานแค่20% ก็ได้ น้องก็บอกไม่ทัน พอให้น้องอีกคนมาช่วยก็เริ่มมีอาการตอบมาแบบวกไปวนมา เริ่มไม่ปกติ และวันนั้นน้องเดินออกไปร้องไห้และบอกจะฆ่าตัวตาย ทุกคนพากันตกใจ..เราบอกเราไม่ได้ทำไรเลยนะ แค่อยากได้งานให้ลูกค้าดูแค่นั้น และตารางการส่งงานเราก็บอกน้องและตกลงกันแล้ว แต่ทำไมน้องทำไม่ทัน พอเราเริ่มจับประเด็นได้และพยายามเคลียร์มาตลอด แบบไม่พูดกับน้องเยอะ คืออยากทำไรก็ทำ เพราะวันที่น้องร้องไห้ น้องเดินมาบอกว่าจะลาออก เราก็โอเค เมื่อตัดสินใจแล้ว...
แต่ไม่จบแค่นั้นค่ะ เหตุการณ์นี้ทำให้น้องในทีมคนอื่นเริ่มสงสัยพฤติกรรมน้องคนนี้ ว่าทำงานไม่เสร็จเองหรือป่าว แต่มาอ้างว่าเป็นเพราะเรา เราก็เลยบอกว่าให้พิสูจน์กันเอง เพราะจะไม่ยุ่งเเล้ว ในเมื่อตัดสินใจลาออก เพราะไม่อยากมีปัญหา
และจุดพีค ถัดมา คือ มีอยู่วันนึงที่ทถุกคนไม่ได้ให้ความสนใจน้องคนนี้ น้องบ่นว่าเวียนหัวจะอ้วก เหม็นกะเพรา น้องคนอื่นในทีมก็เลยบอกว่าให้ตรวจสิว่าท้องหรือไม่ และน้องก็ไปตรวจ หายไปสักพักใหญ่และเดินกลับมบอกกับทุกคนว่า มันขึ้นขีดจางๆ น้องคนนึงในทีมขี้สงสัยและอยากรู้ เลยเข้าไปในห้องน้ำที่ห้องคนนี้ตรวจและหยิบที่ตรวจมาส่งในกลุ่มว่าไม่เห็นจะขึ้นขีดจางๆ เลย และไม่ท้องนิ และวันต่อมาน้องคนนี้สงสัยก็ถามอีกรอบว่ามันขึ้นขีดแบบไหน โดยการค้นหาในกูเกิลเลย น้องเค้าก็ชี้ว่าแบบนี้ ซึ่งให้ตายไม่เหมือนกันเลย ......... คือ จะโกหกเพื่ออะไร???
และจุดพีคต่อมา คือ น้องบอกไปหาหมอวันเสาร์กับพี่คนนึง และหมอบอกว่าไม่ท้อง โอกาสท้อง 80 % คือไรอ่ะ โอกาสท้องมีแต่ท้องไม่ท้องนิ มีเป็นเปอร์เซ็นต์ด้วยหรอ (อันนี้ต้องรอผู้รู้มาตอบ) และวันถัดมาเรื่อยๆ เวลาไปคุยเรื่องงานน้องจะทำเป็นดมยาดมและทำท่าทำเสียงจะอ้วก และน้องก็ขอลาไปหาหมอ พอน้องขี้สงสัยถามว่ายังไม่ได้ไปหรอ เมื่อวันเสาร์.. น้องตอบยังไม่ได้ไป พอดีฝนตกเลยไปกินชาบูแทน (แล้วที่บอกพี่คนนั้น คืออะไร)
และพอวันที่น้องไปหาหมอก็ให้พี่คนนั้น ไลน์ไปถามว่าเป็นงัย น้องตอบหมอเจอถุงแต่ไม่เจอตัวอ่อน เพราะตอนแรกหมอตัวฮอร์โมนไม่ขึ้น เลยขออัตราซาวน์ แอบงงค่ะ (เชิญผู้รู้มาตอบค่ะ) น้องบอกไม่เจอตัวอ่อน ต้องกินยาขับเลือด และพอวันรุ่งขึ้นมาทำงาน ก็ฮัมเพลงมาเลยจ้า ...
เราเลยขอคุยเรื่องงานและติเรื่องงาน น้องรับไม่ได้ค่ะ ออกไปร้องไห้ตามเดิม และเดินมาบอกว่าจะลาออกเลยไม่มาแล้วนะ
เราเลยบอกจะออกก็ได้ตามใจ .. เอาที่สบายใจค่ะ เพราะตอนนี้รู้เลยว่าตลอดมา น้องคนนี้โกหกจนเป็นยิ่งกว่านิสัย!!! ขนาดก่อนออกยังมีบอกคนอื่นอีกนะ ว่าตัวเองกำลังจะมีน้อง อ้าวไหนบอกมีแต่ถุง คือไร งงโคตรๆๆ และคิดว่าเรื่องจะจบนะคะ ทุกวันนี้น้องยังบอกว่าท้อง และเสียใจที่น้องไม่อยู๋แล้ว ต้องกินยาขับเลือด เราเลยแอบคิดนะ ว่าคนที่บ้านเค้าจะรู้มั้ยว่า กำลังโดนหลอกอยู่ เพราะจริงๆ แฟนน้องไม่ได้ท้องแต่มโนล้วนๆๆ
และพอสอบถามประวัติเก่าๆ ของน้อง ก็วิเคราะห์ได้เลยว่า ตอนเรียนมหาลัยก็ใช้มุขนี้กับอาจารย์ในการส่งงานหลังสุด ได้เวลาเพิ่ม เพราะน้องจะบอกว่าป่วย ไม่สบาย ขอเวลาทำเพิ่ม เพราะถ้าดูจากผลงานจริงๆ รู้เลยว่า น้องไม่ได้เก่งเลย ทำงานยังไม่โอเค ผลงานยังอยู่ต่ำ ต้องพัฒนางานอีก แต่พอใครมาวิจารณ์งาน กลับรับไม่ได้และหาข้ออ้างมาตลอด และสุดท้ายนี้ อยากบอกว่าเลิกเถอะนะคะ นิสัยแบบนี้ !!! การโกหกใช้ไม่ได้เสมอไปค่ะ และความลับไม่ได้มีในโลกนะคะ คนอื่นเค้าไม่พูดเพราะจะดูละครค่ะ ไม่รู้เลยหรือค่ะ
ปล. น้องชอบดูละครผ่านยูทูปและนั่งทำงานมากค่ะ บอกว่าทำงานเงียบๆ ไม่ได้ ต้องมีอะไรมากระตุ้น (กรรม)
คอมเมนท์มาเลยค่ะ อยากฟังความคิดเห็นจากทุกคน (อีกเรื่องน้องชอบบอกว่าไปหาหมอบ่อยๆค่ะ ถึงขั้นปรึกษาหมอว่าโรคจิตมั๋ย แต่เราว่าไม่ใช่หรอกค่ะ มันเป็นนิสัยนะคะ การโกหกเพื่อปกป้องตัวเองแบบผิดๆๆ)
"โกหก" ฮิตติดกระแส มันคือโรค หรือนิสัย เพราะเจอมาเหมือนกัน
แบบอยู่มาแบบไม่เพื่อนสนิทเลยค่ะ จนมาตอนถึงทำงาน เราก็แปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆ น้องมาบอกว่า พี่หนูมีปัญหานะ สารในสมองหลั่งผิดปกติอาจทำให้เกิดอาการเครียด พอได้ยินก็เครียดสิค่ะ แล้วเราจะรับมือกับน้องคนนี้ยังไง ตลอดมาก็พยายามทำให้ชีวิตน้องไม่เครียด สนุกสนานหัวเราะยอมเปิดตัวเองออกมาจากมุมห้อง ..... แต่ทันใดนั้นเอง อยู่ๆ ภายในไม่กี่เดือน (ปล. ก่อนหน้านี้น้องพูดถึงเราดีมาก ชอบเรา ให้เราเป็นไอดอลในการทำงานและแก้ปัญหา) แต่แล้วน้องเค้าก็เริ่มทำงานไม่ได้ตามสั่ง ขอเลื่อนส่งงานมาตลอด และเอาเราไปพูดไม่ดีเสียหายมากมาย บอกเรากดดัน ทำงานน้องบอกว่าไม่ทันก็ไม่ฟัง ไม่ให้คนอื่นมาช่วยงานน้องเลย พอเราได้ยินก็งง ว่าทำไมพูดแบบนี้ ... พอถามก็พูดมาว่า หนูไม่มีอะไรเลยนะ หนูเครียดเฉยๆ สุขภาพไม่ค่อยดี และไม่ได้ร็สึกอะไรกับเราแบบนั้นเลย (งงมากบอกตรง ณ จุดนี้) และสักพักน้องก็ไม่จบนะคะ ยังเอาเรื่องของเราไปบีบน้ำตากับคนอื่นในทีม จนเรากลายร่างเป็นยักษ์เลย
คือเราเสียใจมากค่ะ จุดพีคของเรื่อง คือ วันนึงเราตามงานจากน้อง น้องก็บอกไม่ทันและไม่ส่ง เราบอกของานแค่20% ก็ได้ น้องก็บอกไม่ทัน พอให้น้องอีกคนมาช่วยก็เริ่มมีอาการตอบมาแบบวกไปวนมา เริ่มไม่ปกติ และวันนั้นน้องเดินออกไปร้องไห้และบอกจะฆ่าตัวตาย ทุกคนพากันตกใจ..เราบอกเราไม่ได้ทำไรเลยนะ แค่อยากได้งานให้ลูกค้าดูแค่นั้น และตารางการส่งงานเราก็บอกน้องและตกลงกันแล้ว แต่ทำไมน้องทำไม่ทัน พอเราเริ่มจับประเด็นได้และพยายามเคลียร์มาตลอด แบบไม่พูดกับน้องเยอะ คืออยากทำไรก็ทำ เพราะวันที่น้องร้องไห้ น้องเดินมาบอกว่าจะลาออก เราก็โอเค เมื่อตัดสินใจแล้ว...
แต่ไม่จบแค่นั้นค่ะ เหตุการณ์นี้ทำให้น้องในทีมคนอื่นเริ่มสงสัยพฤติกรรมน้องคนนี้ ว่าทำงานไม่เสร็จเองหรือป่าว แต่มาอ้างว่าเป็นเพราะเรา เราก็เลยบอกว่าให้พิสูจน์กันเอง เพราะจะไม่ยุ่งเเล้ว ในเมื่อตัดสินใจลาออก เพราะไม่อยากมีปัญหา
และจุดพีค ถัดมา คือ มีอยู่วันนึงที่ทถุกคนไม่ได้ให้ความสนใจน้องคนนี้ น้องบ่นว่าเวียนหัวจะอ้วก เหม็นกะเพรา น้องคนอื่นในทีมก็เลยบอกว่าให้ตรวจสิว่าท้องหรือไม่ และน้องก็ไปตรวจ หายไปสักพักใหญ่และเดินกลับมบอกกับทุกคนว่า มันขึ้นขีดจางๆ น้องคนนึงในทีมขี้สงสัยและอยากรู้ เลยเข้าไปในห้องน้ำที่ห้องคนนี้ตรวจและหยิบที่ตรวจมาส่งในกลุ่มว่าไม่เห็นจะขึ้นขีดจางๆ เลย และไม่ท้องนิ และวันต่อมาน้องคนนี้สงสัยก็ถามอีกรอบว่ามันขึ้นขีดแบบไหน โดยการค้นหาในกูเกิลเลย น้องเค้าก็ชี้ว่าแบบนี้ ซึ่งให้ตายไม่เหมือนกันเลย ......... คือ จะโกหกเพื่ออะไร???
และจุดพีคต่อมา คือ น้องบอกไปหาหมอวันเสาร์กับพี่คนนึง และหมอบอกว่าไม่ท้อง โอกาสท้อง 80 % คือไรอ่ะ โอกาสท้องมีแต่ท้องไม่ท้องนิ มีเป็นเปอร์เซ็นต์ด้วยหรอ (อันนี้ต้องรอผู้รู้มาตอบ) และวันถัดมาเรื่อยๆ เวลาไปคุยเรื่องงานน้องจะทำเป็นดมยาดมและทำท่าทำเสียงจะอ้วก และน้องก็ขอลาไปหาหมอ พอน้องขี้สงสัยถามว่ายังไม่ได้ไปหรอ เมื่อวันเสาร์.. น้องตอบยังไม่ได้ไป พอดีฝนตกเลยไปกินชาบูแทน (แล้วที่บอกพี่คนนั้น คืออะไร)
และพอวันที่น้องไปหาหมอก็ให้พี่คนนั้น ไลน์ไปถามว่าเป็นงัย น้องตอบหมอเจอถุงแต่ไม่เจอตัวอ่อน เพราะตอนแรกหมอตัวฮอร์โมนไม่ขึ้น เลยขออัตราซาวน์ แอบงงค่ะ (เชิญผู้รู้มาตอบค่ะ) น้องบอกไม่เจอตัวอ่อน ต้องกินยาขับเลือด และพอวันรุ่งขึ้นมาทำงาน ก็ฮัมเพลงมาเลยจ้า ...
เราเลยขอคุยเรื่องงานและติเรื่องงาน น้องรับไม่ได้ค่ะ ออกไปร้องไห้ตามเดิม และเดินมาบอกว่าจะลาออกเลยไม่มาแล้วนะ
เราเลยบอกจะออกก็ได้ตามใจ .. เอาที่สบายใจค่ะ เพราะตอนนี้รู้เลยว่าตลอดมา น้องคนนี้โกหกจนเป็นยิ่งกว่านิสัย!!! ขนาดก่อนออกยังมีบอกคนอื่นอีกนะ ว่าตัวเองกำลังจะมีน้อง อ้าวไหนบอกมีแต่ถุง คือไร งงโคตรๆๆ และคิดว่าเรื่องจะจบนะคะ ทุกวันนี้น้องยังบอกว่าท้อง และเสียใจที่น้องไม่อยู๋แล้ว ต้องกินยาขับเลือด เราเลยแอบคิดนะ ว่าคนที่บ้านเค้าจะรู้มั้ยว่า กำลังโดนหลอกอยู่ เพราะจริงๆ แฟนน้องไม่ได้ท้องแต่มโนล้วนๆๆ
และพอสอบถามประวัติเก่าๆ ของน้อง ก็วิเคราะห์ได้เลยว่า ตอนเรียนมหาลัยก็ใช้มุขนี้กับอาจารย์ในการส่งงานหลังสุด ได้เวลาเพิ่ม เพราะน้องจะบอกว่าป่วย ไม่สบาย ขอเวลาทำเพิ่ม เพราะถ้าดูจากผลงานจริงๆ รู้เลยว่า น้องไม่ได้เก่งเลย ทำงานยังไม่โอเค ผลงานยังอยู่ต่ำ ต้องพัฒนางานอีก แต่พอใครมาวิจารณ์งาน กลับรับไม่ได้และหาข้ออ้างมาตลอด และสุดท้ายนี้ อยากบอกว่าเลิกเถอะนะคะ นิสัยแบบนี้ !!! การโกหกใช้ไม่ได้เสมอไปค่ะ และความลับไม่ได้มีในโลกนะคะ คนอื่นเค้าไม่พูดเพราะจะดูละครค่ะ ไม่รู้เลยหรือค่ะ
ปล. น้องชอบดูละครผ่านยูทูปและนั่งทำงานมากค่ะ บอกว่าทำงานเงียบๆ ไม่ได้ ต้องมีอะไรมากระตุ้น (กรรม)
คอมเมนท์มาเลยค่ะ อยากฟังความคิดเห็นจากทุกคน (อีกเรื่องน้องชอบบอกว่าไปหาหมอบ่อยๆค่ะ ถึงขั้นปรึกษาหมอว่าโรคจิตมั๋ย แต่เราว่าไม่ใช่หรอกค่ะ มันเป็นนิสัยนะคะ การโกหกเพื่อปกป้องตัวเองแบบผิดๆๆ)