วันนี้ผมนำเสนอรายละเอียดที่น่าสนใจจากเวทีการเสวนาในหัวข้อ “ผู้คน ความรักและร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” โดยงานนี้จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ในงานกิจกรรม “นายอินทร์ สนามอ่านเล่น” ที่แอร์พอร์ต เรลลิงก์ มักกะสัน ซึ่งผมคิดว่ารายละเอียดจากงานในครั้งนี้น่าจะให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับนักอ่านและผู้ที่สนใจการเขียนทุกท่าน
โดยบนเวทีเสวนามในวันนั้นมี คุณประชาคม ลุนาชัย ผู้เขียน “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” และคุณจตุพล บุญพรัด บรรณาธิการอาวุโสในเครืออมรินทร์ ดำเนินรายการโดยคุณอาทิตย์ ธรรมชาติ จากกองบรรณาธิการในเครืออมรินทร์ ซึ่งรายละเอียดที่น่าสนใจมีดังนี้
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมใช้วิธีฟังและจดบันทึกช่วยจำย่อ และนำมาเทียบเคียงกับความถูกต้องในการเสวนา แล้วเรียบเรียงเป็นประเด็นมานำเสนอ ดังนั้นถ้ามีข้อมูลใดที่ผิดพลาดไป ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ)
“ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ) ในปี 2556 เป็นหนังสือนวนิยายที่มีคนอ่านแล้วประทับใจเยอะมาก ในตอนนี้นำกลับมาจัดพิมพ์ใหม่แล้วเป็นครั้งที่ 4 โดยแพรวสำนักพิมพ์ ในเครืออมรินทร์ เล่มนี้ถูกพูดถึงอยู่เสมอ นักอ่านหลายคนอยากจะให้พิมพ์ซ้ำ อยากให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในวันนี้ “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” กลับมาแล้ว
คุณอาทิตย์ ถามคุณประชาคมว่า “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” พูดเรื่องอะไร? เรื่องย่อประมาณไหน? และมีความเป็นมาอย่างไร?
คุณประชาคม ลุนาชัย
-เล่มนี้เป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งที่แตกต่างจากที่ผมเคยเขียน ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องนี้ออกมาจากตัวผู้เขียน เจตนาหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนหนังสือเล่มนี้คือ เราเป็นคนที่โตมากับหนังสือ รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณหนังสืออยู่มากมาย เพราะถ้าไม่มีหนังสือและไม่มีการเขียนแล้วเราคงไม่ได้พบกันแน่ ผู้เขียนก็คงไปทำอย่างอื่นไม่มาเขียนหนังสือเล่มนี้แน่
-สำหรับเรื่อง “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” นี้ ผมเขียนขึ้นเพื่อเชิดชูการอ่าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการอ่านนั้นมีอานุภาพในการเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงผู้คน และคนที่อ่านหนังสือนั้นจะมีความเติบโตไปทีละน้อย คือมีการเติบโตจากข้างในแล้วก็จะเบ่งบานออกมาเป็นความคิด
-อย่างตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาในเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับครูภาษาไทยอยู่มาก คือผมเวลาที่ได้รับเชิญไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ เราก็จะได้เจอกับครูภาษาไทย เจอนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย ตัวละครของเราจึงถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจที่เกี่ยวข้องผู้คนที่อยู่ในแวดวงภาษาไทยนี้ รวมทั้งเกี่ยวพันกับการอ่านด้วย
-การอ่านนั้นมีอยู่หลายระดับ อ่านเอาสนุก อ่านเอาเรื่อง อ่านเอาความคิด อ่านเพื่อให้เรื่องราวนั้นซึมซับเข้าสู่ข้างใน อ่านเพื่อคิดและวิเคราะห์ อ่านเพื่อที่จะนำไปสู่การอ่านอย่างอื่นอีก เพราะถ้าเราเป็นนักอ่านแล้วเราจะไม่หยุดอ่านอยู่แค่หนังสือเล่มเดียวเท่านั้น เราจะอ่านคน อ่านโลกทั้งโลก อ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิต อ่านข่าวสารที่เป็นมากกว่าที่ปรากฎอยู่ตามสื่อต่างๆ คือเราจะทำความเข้าใจในด้านลึกได้มากขึ้น
-ด้วยเหตุที่ผมกล่าวมาแล้วนี้ ผมจึงสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นครูผู้หญิง ชื่อครูแก้มเป็นครูอัตราจ้าง เป็นคนที่อ่านหนังสือไม่มีทิศทางอะไรเลย พอไปรู้จักกับใครคนหนึ่งที่ทำร้านหนังสือนี้ขึ้นมา ก็ไปพบกับหนังสือที่ตัวเองไม่เคยอ่าน เหมือนเธอไปพบกับอีกโลกหนึ่งที่เปิดให้เธอได้เข้าไปทำความรู้จัก และได้เติบใหญ่ขึ้นในโลกของการอ่านใบนั้น
-สำหรับการอ่านหนังสือนั้น ถ้าเราอ่านมากขึ้น มากขึ้น เราก็จะเติบโตไปพร้อมกับการอ่าน แล้วก็มีพลังควบคู่ไปกับการอ่านด้วย
คุณอาทิตย์ ธรรมชาติ
-ขอพูดถึงเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้ว่า ตัวละครนางเอกคือครูแก้มหรือนลิดา เป็นคนที่ชื่นชอบอ่านนิยายรักเกาหลีหรืออาจจะมีงานแนวหนังสือที่ชื่นชอบอยู่ประมาณหนึ่ง แล้วพอเธอออกไปอยู่ในชนบทในพื้นที่ห่างไกลเธอก็หานิยายเกาหลีอ่านยากเหลือเกิน นางเอกขี่จักรยานสีขาวไปตามหาหนังสือนิยายเกาหลีตามที่ต่างๆ ในพื้นที่ในตำบลนั้น จนเธอไปเจอกับร้านหนังสือที่มีชื่อว่า “ร้านหนังสือแบ่งปันกันอ่าน” ที่มีหนังสือเต็มไปหมด แล้วหนังสือที่อยู่ในร้านนั้นเป็นหนังสือที่ครูแก้มไม่เคยอ่าน ไม่ได้ชื่นชอบ แต่ว่าการไปเจอหนังสือที่เธอไม่เคยอ่านนั้นมันกลับเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล ด้วยวิสัยทัศน์และมุมมองบางอย่าง เรื่องย่อก็จะเป็นประมาณนี้
-ผมอยากจะขอทราบมุมมองของคนที่ได้อ่านเรื่องนี้เป็นคนแรกๆ คนที่เป็นบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้ อยากจะทราบความรู้สึกของคุณจตุพล บุญพรัด ว่าตอนที่ได้เห็นต้นฉบับของงานชิ้นนี้เมื่อหลายปีที่แล้วนั้น รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
คุณจตุพล บุญพรัด
-จริงๆ แล้วเจตนาหรือเจตจำนงของผู้เขียนเขาได้พูดไปแล้ว ในฐานะของคนอ่านต้นฉบับและในฐานะของบรรณาธิการเห็นว่า งานชิ้นนี้เป็นงานที่แปลกออกไปจากงานของคุณประชาคม เท่าที่เราได้เคยตามอ่านงานของคุณประชาคมจะมีบุคลิกอยู่บุคลิกหนึ่ง นั้นคือบุคลิกของผู้ชายที่สู้ชีวิตซึ่งมาจากชนบทและออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ออกไปในทะเล ออกเรือ ในเรื่อง “ฝั่งแสงจันทร์” หรือเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเรื่องราวชีวิตเข้มๆ ของลูกผู้ชาย ผู้ชายที่สู้ชีวิต ผู้ชายที่พยายามเดินตามหาความฝัน เดินตามหาความสำเร็จ ฯลฯ
-แต่สำหรับเรื่องนี้ “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือว่ามันคือโลกทัศน์ในการอ่านหนังสือทั้งหมดของคุณประชาคม เรารู้สึกว่าเขาเกิดและเติบโตในสังคมชนบทที่แบบว่าแทบจะไม่มีหนังสือในวัยของเขาให้ได้อ่านเลย ก่อนที่เขาจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในเมือง โอกาสในการอ่านและความเป็นคนที่สนใจใฝ่รู้แบบเขานั้นเอง ทำให้เขาได้รู้จักโลกของการอ่านและได้อ่านหนังสือ แล้วหนังสือนี่เองที่ได้นำพาชีวิตของเขาไปสู่การเปลี่ยนแปลง
-คือการอ่านหนังสือของประชาคมที่เราเรียกว่าเขาอ่านงานวรรณกรรมค่อนข้างเยอะ บวกกับกระแสสังคมก่อนหน้านี้ที่ทำให้ในวันนี้เราอ่านนิยายแนวโรแมนติค และอีกหลายแนวที่เยอะแยะไปหมด เช่นนิยายรักของจีนหรือในช่วงหนึ่งที่งานใสๆ สวยๆ โรแมนติคแบบเกาหลีมีมากในบ้านเรา ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือไม่ที่ว่าคุณประชาคมต้องการจะเชิดชูและยกย่อง แต่ในขณะเดียวก็จะต้องการพูดถึงงาน(หนังสือ)ที่เป็นมากกว่านิยายเกาหลี เขาจึงหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาสร้างเป็นนวนิยายเรื่องนี้
-คือในช่วงหนึ่งนั้นในบ้านเราอ่านนิยายเกาหลีกันเยอะมาก อ่านแต่นิยายเกาหลีจนรู้สึกว่างานของนักเขียนไทยหรืองานแปลอื่นๆ นั้นยังมีอยู่ในบ้านเราหรือไม่? ดังนั้นตัวละครแก้ม ลนิดา จึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของคนอ่านในยุคนั้น ในขณะเดียวกันก็มีตัวละครอื่นๆ ที่จำลองให้เห็นถึงคนต่างๆ ที่อยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นบรรณาธิการ , คนวาดภาพปก , คนวาดภาพประกอบ และเจ้าของร้านหนังสือ
-ส่วนเจตนารมณ์อีกอย่างหนึ่งในประเด็นเรื่อง “ร้านหนังสือแบ่งปัน” ในเรื่องนี้ มันเป็นเจตนาลึกๆ ของนักเขียนที่อยากจะบอกคนอ่านว่า ในการอ่านนั้นบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะมาก หนังสือเก่านั้นแบ่งปันกันอ่านได้ หนังสือเก่าราคาถูกเล่มละ 20 บาทเอง แต่ในขณะเดียวกันก็แนะนำว่าหนังสือเล่มนี้มันดีเด่นอย่างไร? มันพูดถึงเรื่องอะไร? แต่ไม่พยายามแนะนำตรงๆ คนเขียนสร้างเป็นบทของพระเอกและนางเอกขึ้นมาเพื่อพูดถึงหนังสือต่างๆ เหล่านี้ ประเด็นนี้เองที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นนิยายรัก
-ถามว่ารู้สึกอย่างไรต่อหนังสือเล่มนี้ คืออยากจะบอกว่านักเขียนอย่างประชาคม นี้เป็นนักเขียนที่สำเร็จแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักเขียนหนุ่มโนเนมที่เพิ่งขึ้นมา ในขณะเดียวกันงานชิ้นนี้เมื่อ 4-5 ปีก่อน คุณประชาคมก็ไม่ได้ส่งเรื่องนี้ไปตีพิมพ์ตามนิตยสารต่างๆ แต่ส่งเรื่องมาโดยตรงถึงสำนักพิมพ์อมรินทร์ ผมอ่านแล้วก็เห็นเจตนาที่แน่วแน่ในเรื่องนี้
-แล้วเรื่องนี้ผมอ่านแล้วอยากจะพิมพ์เผยแพร่ คือเผยแพร่ในแง่ของการเสริมสร้างสังคมการอ่านด้วยการอ่านนิยายบันเทิงคดีที่เป็นเรื่องดีๆ แต่ไม่ได้บอกว่าการอ่านนิยายเกาหลีเป็นเรื่องไม่ดีนะ แต่มันยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ดีและคนยังไม่รู้จัก แล้วนักเขียนคนหนึ่งลงทุนทำจุดนี้ขึ้นมามันชวนอ่านอย่างมาก มันไม่ได้เหมือนกับงานแบบเดิมแล้ว ยังแอบคิดว่าหรือว่าจะเป็นประชาคมภาคใหม่ ซึ่งผมรู้สึกดีใจแล้วผมจึงตัดสินใจพิมพ์เรื่องนี้ทันที เพราะสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้ตัดสินใจยากเย็นอะไรเลย
คุยเรื่องความรัก,การอ่านและค้นหาชีวิตใน “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก”
วันนี้ผมนำเสนอรายละเอียดที่น่าสนใจจากเวทีการเสวนาในหัวข้อ “ผู้คน ความรักและร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” โดยงานนี้จัดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2561 ในงานกิจกรรม “นายอินทร์ สนามอ่านเล่น” ที่แอร์พอร์ต เรลลิงก์ มักกะสัน ซึ่งผมคิดว่ารายละเอียดจากงานในครั้งนี้น่าจะให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับนักอ่านและผู้ที่สนใจการเขียนทุกท่าน
โดยบนเวทีเสวนามในวันนั้นมี คุณประชาคม ลุนาชัย ผู้เขียน “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” และคุณจตุพล บุญพรัด บรรณาธิการอาวุโสในเครืออมรินทร์ ดำเนินรายการโดยคุณอาทิตย์ ธรรมชาติ จากกองบรรณาธิการในเครืออมรินทร์ ซึ่งรายละเอียดที่น่าสนใจมีดังนี้
(รายละเอียดจากการเสวนาในครั้งนี้ ผมใช้วิธีฟังและจดบันทึกช่วยจำย่อ และนำมาเทียบเคียงกับความถูกต้องในการเสวนา แล้วเรียบเรียงเป็นประเด็นมานำเสนอ ดังนั้นถ้ามีข้อมูลใดที่ผิดพลาดไป ผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ)
“ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล สพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ) ในปี 2556 เป็นหนังสือนวนิยายที่มีคนอ่านแล้วประทับใจเยอะมาก ในตอนนี้นำกลับมาจัดพิมพ์ใหม่แล้วเป็นครั้งที่ 4 โดยแพรวสำนักพิมพ์ ในเครืออมรินทร์ เล่มนี้ถูกพูดถึงอยู่เสมอ นักอ่านหลายคนอยากจะให้พิมพ์ซ้ำ อยากให้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในวันนี้ “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” กลับมาแล้ว
คุณอาทิตย์ ถามคุณประชาคมว่า “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” พูดเรื่องอะไร? เรื่องย่อประมาณไหน? และมีความเป็นมาอย่างไร?
คุณประชาคม ลุนาชัย
-เล่มนี้เป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งที่แตกต่างจากที่ผมเคยเขียน ซึ่งหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องนี้ออกมาจากตัวผู้เขียน เจตนาหรือจุดมุ่งหมายในการเขียนหนังสือเล่มนี้คือ เราเป็นคนที่โตมากับหนังสือ รู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณหนังสืออยู่มากมาย เพราะถ้าไม่มีหนังสือและไม่มีการเขียนแล้วเราคงไม่ได้พบกันแน่ ผู้เขียนก็คงไปทำอย่างอื่นไม่มาเขียนหนังสือเล่มนี้แน่
-สำหรับเรื่อง “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” นี้ ผมเขียนขึ้นเพื่อเชิดชูการอ่าน เพื่อแสดงให้เห็นว่าการอ่านนั้นมีอานุภาพในการเปลี่ยนแปลงความคิด เปลี่ยนแปลงผู้คน และคนที่อ่านหนังสือนั้นจะมีความเติบโตไปทีละน้อย คือมีการเติบโตจากข้างในแล้วก็จะเบ่งบานออกมาเป็นความคิด
-อย่างตัวละครที่เราสร้างขึ้นมาในเรื่องนี้มีความเกี่ยวพันกับครูภาษาไทยอยู่มาก คือผมเวลาที่ได้รับเชิญไปตามสถาบันการศึกษาต่างๆ เราก็จะได้เจอกับครูภาษาไทย เจอนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย ตัวละครของเราจึงถูกสร้างขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจที่เกี่ยวข้องผู้คนที่อยู่ในแวดวงภาษาไทยนี้ รวมทั้งเกี่ยวพันกับการอ่านด้วย
-การอ่านนั้นมีอยู่หลายระดับ อ่านเอาสนุก อ่านเอาเรื่อง อ่านเอาความคิด อ่านเพื่อให้เรื่องราวนั้นซึมซับเข้าสู่ข้างใน อ่านเพื่อคิดและวิเคราะห์ อ่านเพื่อที่จะนำไปสู่การอ่านอย่างอื่นอีก เพราะถ้าเราเป็นนักอ่านแล้วเราจะไม่หยุดอ่านอยู่แค่หนังสือเล่มเดียวเท่านั้น เราจะอ่านคน อ่านโลกทั้งโลก อ่านสถานการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิต อ่านข่าวสารที่เป็นมากกว่าที่ปรากฎอยู่ตามสื่อต่างๆ คือเราจะทำความเข้าใจในด้านลึกได้มากขึ้น
-ด้วยเหตุที่ผมกล่าวมาแล้วนี้ ผมจึงสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นครูผู้หญิง ชื่อครูแก้มเป็นครูอัตราจ้าง เป็นคนที่อ่านหนังสือไม่มีทิศทางอะไรเลย พอไปรู้จักกับใครคนหนึ่งที่ทำร้านหนังสือนี้ขึ้นมา ก็ไปพบกับหนังสือที่ตัวเองไม่เคยอ่าน เหมือนเธอไปพบกับอีกโลกหนึ่งที่เปิดให้เธอได้เข้าไปทำความรู้จัก และได้เติบใหญ่ขึ้นในโลกของการอ่านใบนั้น
-สำหรับการอ่านหนังสือนั้น ถ้าเราอ่านมากขึ้น มากขึ้น เราก็จะเติบโตไปพร้อมกับการอ่าน แล้วก็มีพลังควบคู่ไปกับการอ่านด้วย
คุณอาทิตย์ ธรรมชาติ
-ขอพูดถึงเรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้ว่า ตัวละครนางเอกคือครูแก้มหรือนลิดา เป็นคนที่ชื่นชอบอ่านนิยายรักเกาหลีหรืออาจจะมีงานแนวหนังสือที่ชื่นชอบอยู่ประมาณหนึ่ง แล้วพอเธอออกไปอยู่ในชนบทในพื้นที่ห่างไกลเธอก็หานิยายเกาหลีอ่านยากเหลือเกิน นางเอกขี่จักรยานสีขาวไปตามหาหนังสือนิยายเกาหลีตามที่ต่างๆ ในพื้นที่ในตำบลนั้น จนเธอไปเจอกับร้านหนังสือที่มีชื่อว่า “ร้านหนังสือแบ่งปันกันอ่าน” ที่มีหนังสือเต็มไปหมด แล้วหนังสือที่อยู่ในร้านนั้นเป็นหนังสือที่ครูแก้มไม่เคยอ่าน ไม่ได้ชื่นชอบ แต่ว่าการไปเจอหนังสือที่เธอไม่เคยอ่านนั้นมันกลับเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล ด้วยวิสัยทัศน์และมุมมองบางอย่าง เรื่องย่อก็จะเป็นประมาณนี้
-ผมอยากจะขอทราบมุมมองของคนที่ได้อ่านเรื่องนี้เป็นคนแรกๆ คนที่เป็นบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้ อยากจะทราบความรู้สึกของคุณจตุพล บุญพรัด ว่าตอนที่ได้เห็นต้นฉบับของงานชิ้นนี้เมื่อหลายปีที่แล้วนั้น รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?
คุณจตุพล บุญพรัด
-จริงๆ แล้วเจตนาหรือเจตจำนงของผู้เขียนเขาได้พูดไปแล้ว ในฐานะของคนอ่านต้นฉบับและในฐานะของบรรณาธิการเห็นว่า งานชิ้นนี้เป็นงานที่แปลกออกไปจากงานของคุณประชาคม เท่าที่เราได้เคยตามอ่านงานของคุณประชาคมจะมีบุคลิกอยู่บุคลิกหนึ่ง นั้นคือบุคลิกของผู้ชายที่สู้ชีวิตซึ่งมาจากชนบทและออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ออกไปในทะเล ออกเรือ ในเรื่อง “ฝั่งแสงจันทร์” หรือเรื่องอื่นๆ ที่เป็นเรื่องราวชีวิตเข้มๆ ของลูกผู้ชาย ผู้ชายที่สู้ชีวิต ผู้ชายที่พยายามเดินตามหาความฝัน เดินตามหาความสำเร็จ ฯลฯ
-แต่สำหรับเรื่องนี้ “ร้านหนังสือที่มีแต่นิยายรัก” ถ้าจะพูดกันตรงๆ ก็คือว่ามันคือโลกทัศน์ในการอ่านหนังสือทั้งหมดของคุณประชาคม เรารู้สึกว่าเขาเกิดและเติบโตในสังคมชนบทที่แบบว่าแทบจะไม่มีหนังสือในวัยของเขาให้ได้อ่านเลย ก่อนที่เขาจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในเมือง โอกาสในการอ่านและความเป็นคนที่สนใจใฝ่รู้แบบเขานั้นเอง ทำให้เขาได้รู้จักโลกของการอ่านและได้อ่านหนังสือ แล้วหนังสือนี่เองที่ได้นำพาชีวิตของเขาไปสู่การเปลี่ยนแปลง
-คือการอ่านหนังสือของประชาคมที่เราเรียกว่าเขาอ่านงานวรรณกรรมค่อนข้างเยอะ บวกกับกระแสสังคมก่อนหน้านี้ที่ทำให้ในวันนี้เราอ่านนิยายแนวโรแมนติค และอีกหลายแนวที่เยอะแยะไปหมด เช่นนิยายรักของจีนหรือในช่วงหนึ่งที่งานใสๆ สวยๆ โรแมนติคแบบเกาหลีมีมากในบ้านเรา ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือไม่ที่ว่าคุณประชาคมต้องการจะเชิดชูและยกย่อง แต่ในขณะเดียวก็จะต้องการพูดถึงงาน(หนังสือ)ที่เป็นมากกว่านิยายเกาหลี เขาจึงหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาสร้างเป็นนวนิยายเรื่องนี้
-คือในช่วงหนึ่งนั้นในบ้านเราอ่านนิยายเกาหลีกันเยอะมาก อ่านแต่นิยายเกาหลีจนรู้สึกว่างานของนักเขียนไทยหรืองานแปลอื่นๆ นั้นยังมีอยู่ในบ้านเราหรือไม่? ดังนั้นตัวละครแก้ม ลนิดา จึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นตัวแทนของคนอ่านในยุคนั้น ในขณะเดียวกันก็มีตัวละครอื่นๆ ที่จำลองให้เห็นถึงคนต่างๆ ที่อยู่ในแวดวงสิ่งพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นบรรณาธิการ , คนวาดภาพปก , คนวาดภาพประกอบ และเจ้าของร้านหนังสือ
-ส่วนเจตนารมณ์อีกอย่างหนึ่งในประเด็นเรื่อง “ร้านหนังสือแบ่งปัน” ในเรื่องนี้ มันเป็นเจตนาลึกๆ ของนักเขียนที่อยากจะบอกคนอ่านว่า ในการอ่านนั้นบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะมาก หนังสือเก่านั้นแบ่งปันกันอ่านได้ หนังสือเก่าราคาถูกเล่มละ 20 บาทเอง แต่ในขณะเดียวกันก็แนะนำว่าหนังสือเล่มนี้มันดีเด่นอย่างไร? มันพูดถึงเรื่องอะไร? แต่ไม่พยายามแนะนำตรงๆ คนเขียนสร้างเป็นบทของพระเอกและนางเอกขึ้นมาเพื่อพูดถึงหนังสือต่างๆ เหล่านี้ ประเด็นนี้เองที่บอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นนิยายรัก
-ถามว่ารู้สึกอย่างไรต่อหนังสือเล่มนี้ คืออยากจะบอกว่านักเขียนอย่างประชาคม นี้เป็นนักเขียนที่สำเร็จแล้ว ไม่ใช่เป็นเพียงแค่นักเขียนหนุ่มโนเนมที่เพิ่งขึ้นมา ในขณะเดียวกันงานชิ้นนี้เมื่อ 4-5 ปีก่อน คุณประชาคมก็ไม่ได้ส่งเรื่องนี้ไปตีพิมพ์ตามนิตยสารต่างๆ แต่ส่งเรื่องมาโดยตรงถึงสำนักพิมพ์อมรินทร์ ผมอ่านแล้วก็เห็นเจตนาที่แน่วแน่ในเรื่องนี้
-แล้วเรื่องนี้ผมอ่านแล้วอยากจะพิมพ์เผยแพร่ คือเผยแพร่ในแง่ของการเสริมสร้างสังคมการอ่านด้วยการอ่านนิยายบันเทิงคดีที่เป็นเรื่องดีๆ แต่ไม่ได้บอกว่าการอ่านนิยายเกาหลีเป็นเรื่องไม่ดีนะ แต่มันยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ดีและคนยังไม่รู้จัก แล้วนักเขียนคนหนึ่งลงทุนทำจุดนี้ขึ้นมามันชวนอ่านอย่างมาก มันไม่ได้เหมือนกับงานแบบเดิมแล้ว ยังแอบคิดว่าหรือว่าจะเป็นประชาคมภาคใหม่ ซึ่งผมรู้สึกดีใจแล้วผมจึงตัดสินใจพิมพ์เรื่องนี้ทันที เพราะสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้ตัดสินใจยากเย็นอะไรเลย