10 หนังสืบสวนเกาหลี (Korean Suspense) แห่งยุคโมเดิร์น


ปลายยุค 90 การกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งของ Korean Film Council ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ในการศึกษา จัดหาทุนสร้าง และส่งออกหนัง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมหนังเกาหลีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตลอดจนการมาของหนังบล็อกบัสเตอร์คุณภาพดีอย่าง Shiri ที่ช่วยกู้ศรัทธาความเชื่อมั่นต่อหนังเกาหลี และนับเป็นจุดเริ่มอย่างแท้จริงของยุค Modern Korean

หนังเกาหลีนับตั้งแต่ยุค 2000s กลุ่มของหนังทริลเลอร์กำลังเป็นที่นิยมของกลุ่มคนดูและผู้สร้างในเกาหลีอย่างมาก ซึ่งสวนทางกับฝั่งซีรีส์ที่ยังคงแนวทางโรแมนติก-ดราม่าที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิมในช่วงยุค 90s จนประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมใน First Love และ What Is Love? สองซีรีส์ที่มีเรทติ้งสูงสุดตลอดกาลของเกาหลี โดยกระแสความนิยมของหนังทริลเลอร์เกาหลีนอกจากจะเป็นผลพวงจาก Shiri การมาของสองผู้กำกับก็นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนเเปลงครั้งสำคัญ นำโดย Park Chan-wook ผู้ที่หมกมุ่นกับการทำหนังทริลเลอร์แนวล้างแค้น โดยผลงานชิ้นเอกของเขาอย่าง The Vengeance Trilogy ทำให้เทรนด์ของหนังทริลเลอร์หรือแนวสืบสวนในยุคต่อมามักมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการล้างแค้น ส่วนผู้กำกับ Bong Joon-ho ด้วยเครดิตจากผลงานต่างๆที่เปี่ยมด้วยคุณภาพจนปัจจุบันได้มีโอกาสร่วมงานกับนายทุนฝั่งฮอลลีวู้ดใน Snowpiercer และ Okja โดยเขาสร้างชื่อจาก Memories of Murder หนังแนวสืบสวนจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในฮวาซอง โดยหนังมีวิธีการเล่าและการเซ็ทองค์ประกอบต่างๆได้อย่างเป็นธรรมชาติจนเสมือนว่าเป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์จริง...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

10. The Chaser (2008)

ไอเดียการเขียนบทของ Na Hong-jin เป็นการหยิบประเด็นทางสังคมในเกาหลีทั้งปัญหาการค้ามนุษย์ ความรุนแรงทางเพศ ที่เปรียบได้กับทัศนคติของเพศชายกลุ่มหนึ่งที่มีต่อเพศหญิง ซึ่งเป็นความเกลียดชังที่ถูกฝังลึกตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ อย่างเคสสะเทือนขวัญในเขตกังนัมเมื่อปี 2016 เป็นเครื่องชี้ชัดถึงปัญหาที่ยังคงเกิดขึ้นจริงในสังคมที่มีเปลือกนอกสวยสดงดงามอย่างเกาหลี โดยปมเรื่องพูดถึงอดีตตำรวจที่ผันตัวมาเป็นแมงดาคุมซ่อง และต้องออกตามล่าชายที่เป็นส่วนสำคัญของการหายตัวไปของเหล่าหญิงสาวในเครือข่าย ซึ่งจุดเด่นของหนังจะเป็นการเล่นกับสถานการณ์บีบคั้นที่ค่อยๆไต่ระดับความเข้มข้นโดยการตัดภาพไปมาระหว่าง 2 เหตุการณ์ หนึ่งคือการคุกคามของฆาตกรที่หมายจะเอาชีวิตเหยื่อหญิงสาวผู้น่าสงสาร ขณะเดียวกันคนดูต้องคอยลุ้นสถานการณ์ฝั่งตัวเอกให้รีบหาแหล่งกบดานของฆาตกรให้พบโดยเร็วที่สุด








9. Oldboy (2003)

ผลงานลำดับที่สองจาก "เดอะ เวนเจินซ์ ทริโลจี้" ที่คว้ารางวัลกรังด์ปรีซ์จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งที่ 57 และนับเป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ Park Chan-Wook กับผลงานนีโอนัวร์ซึ่งมีพล็อตเรื่องสุดแปลกที่พาตัวเอกเข้าสู่วังวนแห่งการล้างแค้นที่เต็มไปด้วยปมซ่อนเร้นมากมาย และการโยงใยสู่ตอนจบที่สะเทือนใจผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง โดยหนังเปิดปมด้วยตัวเอกของเรื่องที่ถูกขังไว้ในห้องเล็กๆ จนเวลาผ่านไป 15 ปี ก็ถูกปล่อยออกมาเป็นอิสระ ซึ่งหนังจะโฟกัสไปยังตัวเอกที่พยายามสืบหาผู้อยู่เบื้องหลัง ว่าแท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อะไรที่ต้องทำเช่นนี้ ขณะเดียวกันเขาก็ได้พบหญิงสาวปริศนาคนหนึ่งที่เหมือนจะมีชะตาต้องกันตั้งแต่แรกพบ และจะกลายเป็นตัวแปรที่มีผลต่อการตัดสินใจเหตุการณ์ครั้งสำคัญในช่วงท้ายเรื่อง








8. No Mercy (2010)

นับตั้งแต่ "เดอะ เวนเจินซ์ ทริโลจี้" ฝั่งเกาหลีได้กลายเป็นชาติที่ขึ้นชื่อในการทำหนังแนวล้างแค้นที่เปี่ยมด้วยความโหดเหี้ยมและสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งความแปลกใหม่ที่พบเห็นในหนังเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลจาก Se7en ในลักษณะของการวางปมฆาตกรรมต่อเนื่องที่ตัวฆาตกรทำเพื่อจุดประสงค์ซ่อนเร้นบางอย่าง ก่อนนำไปสู่การเผชิญหน้ากับตัวเอกที่ฆาตกรกลายเป็นผู้คุมสถานการณ์ไว้ทั้งหมด โดยหนังเปิดปมด้วยคำถามว่า "ใครคือฆาตกร" กับคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่หญิงสาวถูกแยกอวัยวะออกเป็นส่วนๆ ทางตัวเอกที่เป็นหมอนิติเวชต้องทำงานร่วมกับตำรวจเพื่อไขความจริงดังกล่าว แต่ทว่าหนังก็ซ้อนอีกปมสำคัญขึ้นมา เมื่อลูกสาวของตัวเอกถูกชายลึกลับจับตัวไป ขณะเดียวกันก็มีชายปริศนาที่ปรากฏตัวพร้อมคำกล่าวอ้างว่าตนคือฆาตกร แน่นอนว่าจุดโฟกัสของหนังจะอยู่ที่ "แรงจูงใจของฆาตกร" กับความจริงอันน่าสะพรึงที่รอการเปิดเผย








7. Private Eye (2009)

การนำเสนอแบบหนังสืบสวนฟิล์มนัวร์คลาสสิกในลักษณะเดียวกับ Chinatown หรือ The Maltese Falcon ที่ใช้ตัวเอกซึ่งเป็นนักสืบเข้าไปล้วงลึกปมบางอย่าง ก่อนพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องอันตรายที่ขยายไปสู่ความจริงอันโสมมของกลุ่มผู้ทรงอิทธิพล ทั้งยังตีแผ่สภาพจิตใจของผู้คนผ่านเรื่องราวที่เป็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมออกมาได้อย่างเข้มข้น รวมไปถึงการสร้างพล็อตทวิสต์เพิ่มความสลับซับซ้อนของปมเรื่อง โดยวางปมเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มนักศึกษาแพทย์ที่พบศพชายปริศนากลางป่า ก่อนนำมันกลับมาเพื่อศึกษากายวิภาค แต่ประเด็นอยู่ที่ศพนั้นดันเป็นลูกชายรัฐมนตรี และเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรจึงต้องไปจ้างนักสืบเอกชนเพื่อสืบหาตัวฆาตกรตัวจริง และหนังก็แสดงการจุดเด่นของทั้งคู่ ทั้งด้านการสังเกต ปฏิภาณไหวพริบที่เฉียบคม กับความรู้ทางวิชาการที่ใช้พิสูจน์ข้อสงสัย เรียกได้ว่าเป็นการทำงานที่สอดประสานเสมือนเป็น 'โฮมส์' กับ 'หมอวัต'สัน ในแบบฉบับหนังเกาหลี








6. Perfect Number (2012)

หนังสืบสวน Howcatchem ที่มีการระบุตัวคนร้ายไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง และโฟกัสไปยังการค้นหาคำตอบของวิธีการก่อเหตุหรือหลักฐานสำคัญที่ใช้มัดตัวคนร้าย ซึ่งหนังลักษณะนี้มักคาบเกี่ยวกับการสร้างอาชญากรรมสมบูรณ์ ที่มีการวางแผนอย่างรอบคอบ น่าเชื่อถือ และเกิดช่องโหว่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยหนังเปิดปมด้วยหญิงสาวที่เกิดพลั้งมือฆ่าอดีตสามีในอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง และตัวเอกซึ่งเป็นชายข้างห้องที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้ได้อาสาเข้ามาช่วยเธออำพรางคดี ซึ่งจุดน่าสนใจก็คือตัวเอกที่เป็นอัจฉริยะด้านคณิตศาสตร์จะมีแผนการหรือกลวิธีอำพรางคดียังไงเพื่อให้รอดพ้นจากตำรวจซึ่งเป็นอดีตเพื่อนสนิทที่เข้ามาสืบคดีนี้ ที่ดูมีความเฉลียว ปฏิภาณไหวพริบเฉียบคมไม่แพ้กัน








5. J.S.A.: Joint Security Area (2000)

หนังแนวคอร์ทรูมซัสเพ้นส์หรือหนังสืบสวนการพิจารณาคดี ที่ใช้ลูกเล่นการป้อนข้อมูลแบบ 'ราโชมอน' ที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีต่างให้ปากคำไปในทางที่พยายามปกปิดหรือบิดเบือนความจริงเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง โดยการไขปริศนาจะมีตัวนักสืบของเรื่องนำข้อมูลที่ป้อนมาจากตัวละครต่างๆมาคิดวิเคราะห์เพื่อจับผิดจุดที่ขัดแย้งกับทฤษฎีและความสมเหตุสมผล ซึ่งหนังพูดถึงเขตชายแดนพันมุนจอม ที่เป็นรอยต่อระหว่างดินแดนของเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ โดยโฟกัสไปที่ 'จ่าลี' พลทหารฝ่ายใต้กับ 'จ่าโอ' พลทหารฝ่ายเหนือ ที่สนิทสนมกันเสมือนเป็นพี่น้อง แต่ทว่าวันหนึ่งได้เกิดการเสียชีวิตปริศนาของทหาร 2 นายที่ฝ่ายเขตเหนือ และทั้งสองก็เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว และจุดน่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อการให้ปากคำของทั้งสองกลับเป็นไปในทิศทางที่ต่างกัน








4. Mother (2009)

ลักษณะคาแรคเตอร์ของหญิงชราและเด็กพิเศษ เป็นสิ่งที่ยากต่อการปรุงแต่งให้น่าสนใจ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับขนบของตัวเดินเรื่องในหนังสืบสวนทั่วไป แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของ Bong Joon-ho ที่ช่ำชองในการใช้องค์ประกอบของสังคมชั้นล่างมาสะท้อนเรื่องราวในวงกว้าง และหนังเรื่องนี้ก็นับเป็นหนังสืบสวนที่มีความเป็นธรรมชาติมากที่สุดเรื่องหนึ่งทั้งวิธีการไขปริศนาและการเชื่อมโยงถึงบทสรุปที่น่าเชื่อถือ แต่กลายเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดเดาของผู้ชม เพราะลูกเล่นการป้อนข้อมูลจากตัวละครและสภาพแวดล้อมถูกใช้เป็นตัวสับหลอกได้อย่างชาญฉลาด เมื่อหนังวางปมเรื่องให้เด็กพิเศษกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กสาว โดยผู้เป็นแม่ต้องรับหน้าที่เป็นตัวเอกในการสืบหาความจริงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้กับลูกชาย








3. Montage (2013)

การเล่าเรื่องแบบไม่ลำดับเวลา เป็นสิ่งที่มักถูกใช้เพื่อการสร้างความสับสนต่อไทม์ไลน์หรือการปะติดปะต่อเนื้อหาอย่างที่เห็นใน Memento, Mulholland Dr หรือบางเรื่องอาจใช้เป็นกิมมิคในหนังอย่าง Irreversible ที่ไล่เรียงจากหลังไปหน้าเพื่อย้อนหาต้นตอของเหตุผล แต่สำหรับ Montage ภายใต้โครงเรื่องที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนด้วยการโยงใยความสัมพันธ์ของตัวละคร ยังมีการใช้เทคนิคการเล่าเรื่องดังกล่าวเพื่อสร้างความสบสนต่อไทม์ไลน์ อีกทั้งยังเป็นไพ่ตายของผู้กำกับที่ใช้ในการล่อหลอกคนดู โดยการตัดต่อ 2 โมเม้นท์ให้กลืนเสมือนเป็นช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อตัดตัวละครหนึ่งออกจากสารบบผู้ต้องสงสัย โดยปมเรื่องพูดถึงคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เด็กสาวคนหนึ่งที่เวลาล่วงเลยไป 15 ปี ก็ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ และจุดสำคัญคือการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันหลังจากคดีเพิ่งหมดอายุความได้ไม่นาน








2. The Wailing (2016)

หนังสืบสวนที่สร้างเงื่อนไขพิเศษในการตั้งข้อสงสัยกับตัวละครหนึ่งที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้ร้ายหรือฆาตกร ก่อนทำการป้อนข้อมูลเพื่อชี้นำความคิดคนดูไปตามทิศทางที่ต้องการ จนนำไปสู่จุดเฉลยความจริงที่คนดูไม่อาจไล่ตามได้ทัน ซึ่งหนังเรื่องนี้ของ Na Hong-jin มีส่วนผสมที่สดใหม่ต่างไปจากหนังที่มีเงื่อนไขเดียวกันทั้ง Primal Fear, Mystic River, Mother, Gone Girl ในแง่การขยายขอบเขตจากปมฆาตกรรมต่อเนื่องที่ไม่อาจหาบทสรุปด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติและภูตผีปีศาจ ที่อาจมีต้นตอจากชายแก่ชาวญี่ปุ่นที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านเมื่อไม่นาน ซึ่งข้อสงสัยดังกล่าวตัวหนังจะทำการโยกหลอกไปมาโดยการป้อนข้อมูลให้เชื่อไปในทางหนึ่ง ก่อนจะทำการหักล้างด้วยข้อมูลที่ตรงกันข้าม แล้วกลับสู่วังวนเดิมต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งความจริงได้ถูกเปิดออก








1. Memories of Murder (2003)

ความเป็นธรรมชาติขององค์ประกอบและวิธีการเล่าเรื่อง ทำให้หนังเสมือนเป็นภาพสะท้อนของเหตุการณ์จริงที่ดึงคนดูเข้าไปรับรู้ความรู้สึกเศร้า หดหู่ และสั่นผวาของผู้คนในโศกนาฏกรรมช่วงปี 1986-1991 กับการฆาตกรรมต่อเนื่องที่เกิดกับหญิงสาวในวันที่ฝนตก โดยเป้าหมายของ Bong Joon-Ho จะเป็นความพยายามในการไขปริศนาฆาตกรต่อเนื่องผ่านสองตำรวจคู่หูที่จิตใจค่อยๆดำดิ่งสู่ด้านมืดไปพร้อมกับความจริงที่ไม่อาจหาข้อสรุป ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้คนต่างทราบกันดี แต่ทว่าสิ่งที่สอดแทรกระหว่างทางก็ดูมีความสำคัญและน่าสนใจไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเบื้องหลังการทำงานของตำรวจอย่างการใช้กำลังบีบเค้นข้อมูลจากผู้ต้องสงสัย หรือการจับแพะรับบาปมาลงโทษ ที่นับเป็นเรื่องหมิ่นเหม่ทางศีลธรรมจริยธรรมและเป็นการสะท้อนความเป็นจริงร่วมสมัยออกมาได้อย่างโจ่งแจ้ง
.
.
.
.
.
.
.
ทวิตเตอร์ @Review_Me_ พูดคุยหนังทั่วไปเเละซีรีส์(โดยเฉพาะฝั่งเกาหลี)
เพจเฟสบุ๊ค @Review-me
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่