สวัสดีครับ ขอแชร์ประสบการณ์ Part ที่ 3 ต่อจาก Part เดิมตามลิ้งค์ด้านล่างนี้นะครับ
Part 1:
https://pantip.com/topic/38006346
Part 2:
https://pantip.com/topic/38010959
วันนี้จะขอแชร์ประสบการณ์ Work on Campus ในตำแหน่ง Graduate Assistant ที่ Lewis College of Business มหาวิทยาลัย Marshall University นะครับ เกี่ยวกับหนทางการสมัคร รวมไปถึงการทำงานเล็กๆน้อยๆนะครับ

CHAPTER 5: Having good intentions always give you a good consequence.
ก่อนจะเริ่มพูดถึงตอนต่อไป กิฟท์ขอยกตัวอย่างประโยคหนึ่ง ที่ล้วนแล้วแต่ติดหูทุกคนมากตั้งแต่วัยเด็กนั่นก็คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จมักจะอยู่ที่นั่นเสมอ” คำๆนี้ตัวเราเองนั้นยึดมั่นมันมาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะใช้ “เวลา” ในการพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นต่างกันออกไป จนทำให้คำว่าเวลา นั้นกลายเป็นตัวบั่นทอนความตั้งใจของคนเราจนหายไป แต่จงเชื่อในสองมือที่เรามีอยู่เถอะว่า ถึงแม้ว่ามันจะลำบาก เหนื่อย และท้อแท้แค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่ตัวเราจะได้กลับมานั้น มันมีค่ามากกว่าจะเอาอะไรมาเทียบได้เลย ขอแค่เรามีความตั้งใจที่ดี เชื่อเถอะว่าทุกอย่างมันจะดีเอง
เท้าความไปก่อนหน้าที่ตัวเราจะตัดสินใจมาเรียนต่อที่ Marshall University นี้ เราไม่ได้มองหาทุน อย่างจริงจังมากนัก รวมถึงหลายๆปัจจัย อย่างเช่นเกรด GPA หรือคะแนนสอบวัดระดับต่างๆ ออกมาไม่ได้โดดเด่น อยู่เพียงในเกณฑ์ที่สามารถจะมาเรียนต่อได้ ทำให้ตัวเราเองต้องมาตายเอาดาบหน้า และตั้งเป้าหมายไว้ว่า อย่างน้อยๆ เราขอจะต้องหางาน Part-time ทำที่นี่ให้ได้ (ในที่นี้ตัวเราเองหมายถึงงานที่ถูกกฎหมาย ซึ่งก็คืองาน On Campus ของมหาวิทยาลัยนะครับ) โดยที่ Marshall University เป็น Campus ที่มีอาณาบริเวณพอสมควร เนื่องจากเป็นมหาลัยใจกลางเมืองเล็กๆ และที่มหาวิทยาลัยมี Facilities ทุกอย่างครบ อาทิ ห้องสมุด โรงอาหาร ศูนย์กีฬา ซึ่งทำให้นักเรียน มีโอกาสในการหางานได้อย่างทั่วถึง แต่อย่างที่หลายๆคนทราบกัน งานในฝันของนักเรียนทุกๆคน มันคงหนีไม่พ้น Graduate Assistant (GA) ซึ่งเราเองก็ตั้งใจไว้ว่าเราจะคว้ามันมาให้ได้ เพราะนอกจากเราจะได้เงินรายเดือนแล้ว (ที่นี่จะจ่ายทุกๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งดีมาก เพราะเราจะได้มีเงินใช้จ่ายก่อน และเรทจะอยู่ที่ 8-13 เหรียญ/ชั่วโมง) แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดคือ ส่วนลดค่าเทอมนั้นเอง ซึ่ง Rate ส่วนลดนั้นมีตั้งแต่ 30 – 70% เลยทีเดียว พอเราได้ยินแล้วมันทำให้ใจเราพองโต อยากจะคว้ามันมาให้ได้เลยทีเดียว
อย่างที่เราได้บอกไว้ทุกๆความตั้งใจ ล้วนแล้วแต่ใช้เวลา เรามาถึงที่มหาวิทยาลัยนี้ ตั้งแต่เปิดเรียนปลายเดือน August หรือที่เรียกว่า Fall Semester 2017 ก่อนหน้าที่เราจะมาเรียน เราพอดีได้รู้จักกับน้องคนไทยที่อยู่ที่นี่ ซึ่งได้ทำงาน On Campus และเป็น Graduate Assistant ด้วยเช่นกัน จึงได้ขอคำแนะนำมาตั้งแต่เนิ่น เพราะตั้งใจแล้ววามาเหยียบมหาวิทยาลัยนี้เมื่อใด เราจะเริ่มลงมือหางานทันที !
ไล่เรียงตั้งแต่ เขียน Resume รวมไปถึง Cover letter และคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า เอาล่ะ ! เราคงพอจะสู้ไหว เนื่องจากถึงแม้ว่าภาษาจะไม่ได้เก่งมาก แต่เราเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง และคิดว่าประสบการณ์ในการทำงานมาที่ไทย รวมถึง Education background อื่นๆ คงทำให้เราดูมีภาษีขึ้นมาบ้าง และแล้วก็เริ่ม Apply ตำแหน่ง Graduate Assistant เท่าที่มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครไปตอนนั้น พร้อมกับหวังว่า จะถูกเรียก interview ภายในเร็ววัน
แต่แล้วด้วยความอ่อนประสบการณ์ทางความคิดในหลายๆแง่มุมของเรา ก็ได้พบความจริงว่า หนทางของเรานั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก เราได้รับ E-mail ตอบกลับมาว่า “Thank you for your interest but the commitee has decideed to move forward with different cadidate, we wish you seccess in your future endeavors“. เราได้รับ e-mail นี้ มานับครั้งไม่ถ้วน จนเราต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกที ว่าเรายังขาดอะไรไป . . .
เริ่มต้นด้วยการที่เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าหา Professor หรืออาจารย์ผู้สอนของเรานั่นเอง เพราะบางครั้งการเรียนในห้อง หากเราตามไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงแรกๆ เรายังปรับตัวได้ไม่ค่อยดี ดังนั้นทางลัดคือการเข้าไปถาม Professor โดยตรงทั้ง ถามในห้อง หรือในช่วง Office hour ของตัวผู้สอน จากประสบการณ์ของเราที่ Marshall University นี้ อาจารย์ทุกท่านน่ารัก และเป็นกันเองมากทุกๆคน โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าไปหาเขา ยามที่เรามีคำถาม หรืออยากแชร์ความรู้ ความคิดเห็นของเรา ซึ่งในมุมความคิดของเราคิดว่า อาจารย์ที่นี่เปิดกว้างในความคิดของผู้เรียนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประโยชน์ของการเข้าหา Professor ในแง่ของการหางานก็เกิดขึ้น เมื่อเขารู้จักเรา จำเราได้ มันก็เกิดเป็นประโยชน์ในการสมัครงาน เพื่อเป็น Graduate Assistant เช่นกัน
ในแง่ของการสมัครงาน condition หนึ่งที่เราทุกคนต้องมี และดิ้นรนคือ Reference Professor จำนวน 3 ท่าน พูดง่ายๆก็คือ การหาอาจารย์เพื่อยืนยันว่าเรามีความสามารถ และดีพอที่จะทำงานในมหาวิทยาลัยได้ ทั้งนี้ส่วนมาก ตัวผู้สอนจะยอมเป็น Reference ให้กับเราได้โดยดูผลการเรียนของเราเมื่อจบเทอมนั้นๆ ทำให้เทอมแรกของเราในการมาเรียนจะหมดไปกับการ เข้าหาอาจารย์ผู้สอนเป็นหลัก ยามมีเวลาว่าง เรียกง่ายๆว่า ขอปูพรมทำทางไว้ก่อน
ในทุก Semester จะมีนักเรียนจบในแต่ละเทอม นั่นหมายความว่า จงหูตากว้างไกลเข้าไว้ เพราะโอกาสได้มาแล้ว ทั้ง Refresh หน้าจอสมัครงานทุกวัน ถามเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานอยู่ข้างในตลอดเวลา จนบางครั้งเราเองก็เกรงใจเช่นกัน เข้าสู่ Term ที่ 2 ของการเรียนของเรา คือ Spring 2018 เราก็สมัครงานเช่นเดิม ทีนี้เรามั่นใจว่าเรามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้ง Resume, Cover letter, Grade เทอมแรก, Reference Professor ทั้ง 3 ท่าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จบลงด้วยความผิดหวัง . . . แต่อย่าหวังเลยว่ามันจะบั่นทอนจิตใจเรา หากครั้งหนึ่งเราได้พยายามแล้ว เราจะกัดไม่ปล่อยเช่นกัน ทั้งนี้เมื่อจบเทอม Spring 2018 แล้ว เราขอหลบไปเลียแผลใจช่วง Summer แล้วเจอกันใหม่อีกรอบเทอม Fall 2018 ซึ่งกำลังจะครบ 1 ปีของการที่เราอยู่ที่นี่พอดี
ประมาณ 1 เดือนก่อนช่วง Summer จะจบลง เราออกวิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้เราโชคดีที่มีน้องคนไทย กำลังจะเรียนจบพอดี และได้พยายาม reccomend เราให้กับอาจารย์ใน Department อีกครั้ง จนรอบนี้เราได้ถูกเรียก interview ! มันเหมือนเสียงสวรรค์มาก เราเตรียมตัวสัมพาษณ์งานไปแบบสุดตัว ถึงขนาดสร้าง conversation คุยกับตัวเองในห้องน้ำเป็นชั่วโมง! จนถึงวันที่สัมภาษณ์ เราแต่งตัวสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตำแหน่งของเรานั้นอยู่ใน Dean’s office ใน Lewis College of Business นั่นก็คือใน ห้องของคณบดี ใน Department ของเรานั่นเอง แล้วคนสัมภาษณ์ก็คือ คณบดี, ผู้ช่วยคณบดี, และโชคดีที่มีเพื่อนของเราเข้ามาด้วย เพราะเนื่องจากหากได้ตำแหน่งนี้เราต้องมาทำแทนเพื่อนเรา

เราใช้เวลาราวๆ 30-40 นาที หากจำไม่ผิดในการสัมภาษณ์ โดยส่วนมากก็เป็นคำถามทั่วๆไปใน resume และจุดเด่น จุดด้อยของเรา และเกี่ยวกับ Job description ของตำแหน่งที่เราสมัครไป . . . แล้วในเย็นวันเดียวกัน เราก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ชอบคณบดี โดยบอกเราว่าพรุ่งนี้เช้าให้มาคุยกับเขาอีกรอบหนึ่ง! ในเวลานั้นเราเกิดคำถามมากมาย จนได้ถามเขาไป จนได้คำตอบว่า เขาจะให้เราไปทำงานในอีกตำแหน่งหนึ่ง หรือพูดง่ายๆว่า ให้ไปเป็นลูกน้องของเขาในอีกตำแหน่งแทน! ณ ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจเท่าไร แต่หลังจากคุยกับเขาอีกครั้งในวันถัดไป เราดีใจมากว่าในท้ายที่สุดเราจะสามารถทำได้ดังใจหวัง แม้ว่ามันจะใช้เวลาเกือบปี กว่าจะได้มันมา ทั้งนี้ต้องขอบขอขอบคุณน้องสาวคนไทยผู้น่ารักเป็นอย่างมาก ที่คงคอนเซ็ป คนไทยไม่ทิ้งกัน
*ขออนุญาตเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับงานที่เราได้รับ assign คือ เป็นผู้ช่วยเขาในการทำงานเอกสารภายใน office รวมไปถึง งานด้าน Marketing เล็กๆน้อยๆ อาทิ โปรโมท Facebook Page “Marshall University Lewis College of Business” ของ Department, ช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ Department ใน Campus รวมไปถึงช่วยจัดงาน Event ต่างๆที่คณะจะจัดขึ้น โดยในทีมจะมี GA อยู่ประมาณ 4 คนช่วยงานกัน และทำงานอาทิตย์ละ 20 ชม. เอาไว้เราจะคอยเล่าให้ฟังเรื่อยๆ เนื่องจากเราเองก็พึ่งทำงานได้เกือบๆ 1 เดือน เท่านั้นเอง แต่ก็มากพอที่ได้เรียนรู้งานจากเขา ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆครั้งหนึ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นนก้าวเล็กๆของเราก้าวหนึ่งในชีวิต
ทั้งนี้ขอทิ้งท้ายไว้ว่า ในการเรียน หรือการทำงานที่นี่ เราคนไทย จงอย่าอายที่จะยกมือ แสดงความคิด หรือโต้ตอบ รวมไปถึงการเข้าหาชาวต่างชาติ โดยเพียแค่มีกำแพงภาษามากั้นความสามารถของเรา และอย่าคิดว่าศักยภาพของเราจะด้อยกว่าคนอื่น เรามีดีกว่าอีกหลายๆคน แม้ว่าตัวเราเองภาษาก็งูๆปลาๆ แต่ขอแค่กล้าที่จะพูดออกไปแค่นั้นเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคนเช่นเคย และพบกันต่อตอนหน้านะครับ !
หากสนใจ หรืออยากสอบถาม พูดคุยได้ตลอด หรือตาม Blog นี้มาได้นะครับ >>
https://givgift.wordpress.com
แชร์ประสบการณ์สู่การเป็นนักเรียน MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา (Part 3)
Part 1: https://pantip.com/topic/38006346
Part 2: https://pantip.com/topic/38010959
วันนี้จะขอแชร์ประสบการณ์ Work on Campus ในตำแหน่ง Graduate Assistant ที่ Lewis College of Business มหาวิทยาลัย Marshall University นะครับ เกี่ยวกับหนทางการสมัคร รวมไปถึงการทำงานเล็กๆน้อยๆนะครับ
CHAPTER 5: Having good intentions always give you a good consequence.
ก่อนจะเริ่มพูดถึงตอนต่อไป กิฟท์ขอยกตัวอย่างประโยคหนึ่ง ที่ล้วนแล้วแต่ติดหูทุกคนมากตั้งแต่วัยเด็กนั่นก็คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จมักจะอยู่ที่นั่นเสมอ” คำๆนี้ตัวเราเองนั้นยึดมั่นมันมาตลอดเวลา ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะใช้ “เวลา” ในการพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นต่างกันออกไป จนทำให้คำว่าเวลา นั้นกลายเป็นตัวบั่นทอนความตั้งใจของคนเราจนหายไป แต่จงเชื่อในสองมือที่เรามีอยู่เถอะว่า ถึงแม้ว่ามันจะลำบาก เหนื่อย และท้อแท้แค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่ตัวเราจะได้กลับมานั้น มันมีค่ามากกว่าจะเอาอะไรมาเทียบได้เลย ขอแค่เรามีความตั้งใจที่ดี เชื่อเถอะว่าทุกอย่างมันจะดีเอง
เท้าความไปก่อนหน้าที่ตัวเราจะตัดสินใจมาเรียนต่อที่ Marshall University นี้ เราไม่ได้มองหาทุน อย่างจริงจังมากนัก รวมถึงหลายๆปัจจัย อย่างเช่นเกรด GPA หรือคะแนนสอบวัดระดับต่างๆ ออกมาไม่ได้โดดเด่น อยู่เพียงในเกณฑ์ที่สามารถจะมาเรียนต่อได้ ทำให้ตัวเราเองต้องมาตายเอาดาบหน้า และตั้งเป้าหมายไว้ว่า อย่างน้อยๆ เราขอจะต้องหางาน Part-time ทำที่นี่ให้ได้ (ในที่นี้ตัวเราเองหมายถึงงานที่ถูกกฎหมาย ซึ่งก็คืองาน On Campus ของมหาวิทยาลัยนะครับ) โดยที่ Marshall University เป็น Campus ที่มีอาณาบริเวณพอสมควร เนื่องจากเป็นมหาลัยใจกลางเมืองเล็กๆ และที่มหาวิทยาลัยมี Facilities ทุกอย่างครบ อาทิ ห้องสมุด โรงอาหาร ศูนย์กีฬา ซึ่งทำให้นักเรียน มีโอกาสในการหางานได้อย่างทั่วถึง แต่อย่างที่หลายๆคนทราบกัน งานในฝันของนักเรียนทุกๆคน มันคงหนีไม่พ้น Graduate Assistant (GA) ซึ่งเราเองก็ตั้งใจไว้ว่าเราจะคว้ามันมาให้ได้ เพราะนอกจากเราจะได้เงินรายเดือนแล้ว (ที่นี่จะจ่ายทุกๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งดีมาก เพราะเราจะได้มีเงินใช้จ่ายก่อน และเรทจะอยู่ที่ 8-13 เหรียญ/ชั่วโมง) แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดคือ ส่วนลดค่าเทอมนั้นเอง ซึ่ง Rate ส่วนลดนั้นมีตั้งแต่ 30 – 70% เลยทีเดียว พอเราได้ยินแล้วมันทำให้ใจเราพองโต อยากจะคว้ามันมาให้ได้เลยทีเดียว
อย่างที่เราได้บอกไว้ทุกๆความตั้งใจ ล้วนแล้วแต่ใช้เวลา เรามาถึงที่มหาวิทยาลัยนี้ ตั้งแต่เปิดเรียนปลายเดือน August หรือที่เรียกว่า Fall Semester 2017 ก่อนหน้าที่เราจะมาเรียน เราพอดีได้รู้จักกับน้องคนไทยที่อยู่ที่นี่ ซึ่งได้ทำงาน On Campus และเป็น Graduate Assistant ด้วยเช่นกัน จึงได้ขอคำแนะนำมาตั้งแต่เนิ่น เพราะตั้งใจแล้ววามาเหยียบมหาวิทยาลัยนี้เมื่อใด เราจะเริ่มลงมือหางานทันที !
ไล่เรียงตั้งแต่ เขียน Resume รวมไปถึง Cover letter และคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า เอาล่ะ ! เราคงพอจะสู้ไหว เนื่องจากถึงแม้ว่าภาษาจะไม่ได้เก่งมาก แต่เราเป็นคนที่มีความมั่นใจสูง และคิดว่าประสบการณ์ในการทำงานมาที่ไทย รวมถึง Education background อื่นๆ คงทำให้เราดูมีภาษีขึ้นมาบ้าง และแล้วก็เริ่ม Apply ตำแหน่ง Graduate Assistant เท่าที่มหาวิทยาลัยเปิดรับสมัครไปตอนนั้น พร้อมกับหวังว่า จะถูกเรียก interview ภายในเร็ววัน
แต่แล้วด้วยความอ่อนประสบการณ์ทางความคิดในหลายๆแง่มุมของเรา ก็ได้พบความจริงว่า หนทางของเรานั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก เราได้รับ E-mail ตอบกลับมาว่า “Thank you for your interest but the commitee has decideed to move forward with different cadidate, we wish you seccess in your future endeavors“. เราได้รับ e-mail นี้ มานับครั้งไม่ถ้วน จนเราต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวเองอีกที ว่าเรายังขาดอะไรไป . . .
เริ่มต้นด้วยการที่เราได้เรียนรู้ที่จะเข้าหา Professor หรืออาจารย์ผู้สอนของเรานั่นเอง เพราะบางครั้งการเรียนในห้อง หากเราตามไม่ทัน โดยเฉพาะช่วงแรกๆ เรายังปรับตัวได้ไม่ค่อยดี ดังนั้นทางลัดคือการเข้าไปถาม Professor โดยตรงทั้ง ถามในห้อง หรือในช่วง Office hour ของตัวผู้สอน จากประสบการณ์ของเราที่ Marshall University นี้ อาจารย์ทุกท่านน่ารัก และเป็นกันเองมากทุกๆคน โดยเฉพาะเมื่อเราเข้าไปหาเขา ยามที่เรามีคำถาม หรืออยากแชร์ความรู้ ความคิดเห็นของเรา ซึ่งในมุมความคิดของเราคิดว่า อาจารย์ที่นี่เปิดกว้างในความคิดของผู้เรียนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ประโยชน์ของการเข้าหา Professor ในแง่ของการหางานก็เกิดขึ้น เมื่อเขารู้จักเรา จำเราได้ มันก็เกิดเป็นประโยชน์ในการสมัครงาน เพื่อเป็น Graduate Assistant เช่นกัน
ในแง่ของการสมัครงาน condition หนึ่งที่เราทุกคนต้องมี และดิ้นรนคือ Reference Professor จำนวน 3 ท่าน พูดง่ายๆก็คือ การหาอาจารย์เพื่อยืนยันว่าเรามีความสามารถ และดีพอที่จะทำงานในมหาวิทยาลัยได้ ทั้งนี้ส่วนมาก ตัวผู้สอนจะยอมเป็น Reference ให้กับเราได้โดยดูผลการเรียนของเราเมื่อจบเทอมนั้นๆ ทำให้เทอมแรกของเราในการมาเรียนจะหมดไปกับการ เข้าหาอาจารย์ผู้สอนเป็นหลัก ยามมีเวลาว่าง เรียกง่ายๆว่า ขอปูพรมทำทางไว้ก่อน
ในทุก Semester จะมีนักเรียนจบในแต่ละเทอม นั่นหมายความว่า จงหูตากว้างไกลเข้าไว้ เพราะโอกาสได้มาแล้ว ทั้ง Refresh หน้าจอสมัครงานทุกวัน ถามเพื่อนๆน้องๆที่ทำงานอยู่ข้างในตลอดเวลา จนบางครั้งเราเองก็เกรงใจเช่นกัน เข้าสู่ Term ที่ 2 ของการเรียนของเรา คือ Spring 2018 เราก็สมัครงานเช่นเดิม ทีนี้เรามั่นใจว่าเรามีพร้อมทุกอย่างแล้ว ทั้ง Resume, Cover letter, Grade เทอมแรก, Reference Professor ทั้ง 3 ท่าน แต่ท้ายที่สุดแล้วก็จบลงด้วยความผิดหวัง . . . แต่อย่าหวังเลยว่ามันจะบั่นทอนจิตใจเรา หากครั้งหนึ่งเราได้พยายามแล้ว เราจะกัดไม่ปล่อยเช่นกัน ทั้งนี้เมื่อจบเทอม Spring 2018 แล้ว เราขอหลบไปเลียแผลใจช่วง Summer แล้วเจอกันใหม่อีกรอบเทอม Fall 2018 ซึ่งกำลังจะครบ 1 ปีของการที่เราอยู่ที่นี่พอดี
ประมาณ 1 เดือนก่อนช่วง Summer จะจบลง เราออกวิ่งอีกครั้ง ครั้งนี้เราโชคดีที่มีน้องคนไทย กำลังจะเรียนจบพอดี และได้พยายาม reccomend เราให้กับอาจารย์ใน Department อีกครั้ง จนรอบนี้เราได้ถูกเรียก interview ! มันเหมือนเสียงสวรรค์มาก เราเตรียมตัวสัมพาษณ์งานไปแบบสุดตัว ถึงขนาดสร้าง conversation คุยกับตัวเองในห้องน้ำเป็นชั่วโมง! จนถึงวันที่สัมภาษณ์ เราแต่งตัวสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตำแหน่งของเรานั้นอยู่ใน Dean’s office ใน Lewis College of Business นั่นก็คือใน ห้องของคณบดี ใน Department ของเรานั่นเอง แล้วคนสัมภาษณ์ก็คือ คณบดี, ผู้ช่วยคณบดี, และโชคดีที่มีเพื่อนของเราเข้ามาด้วย เพราะเนื่องจากหากได้ตำแหน่งนี้เราต้องมาทำแทนเพื่อนเรา
เราใช้เวลาราวๆ 30-40 นาที หากจำไม่ผิดในการสัมภาษณ์ โดยส่วนมากก็เป็นคำถามทั่วๆไปใน resume และจุดเด่น จุดด้อยของเรา และเกี่ยวกับ Job description ของตำแหน่งที่เราสมัครไป . . . แล้วในเย็นวันเดียวกัน เราก็ได้รับโทรศัพท์จากผู้ชอบคณบดี โดยบอกเราว่าพรุ่งนี้เช้าให้มาคุยกับเขาอีกรอบหนึ่ง! ในเวลานั้นเราเกิดคำถามมากมาย จนได้ถามเขาไป จนได้คำตอบว่า เขาจะให้เราไปทำงานในอีกตำแหน่งหนึ่ง หรือพูดง่ายๆว่า ให้ไปเป็นลูกน้องของเขาในอีกตำแหน่งแทน! ณ ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจเท่าไร แต่หลังจากคุยกับเขาอีกครั้งในวันถัดไป เราดีใจมากว่าในท้ายที่สุดเราจะสามารถทำได้ดังใจหวัง แม้ว่ามันจะใช้เวลาเกือบปี กว่าจะได้มันมา ทั้งนี้ต้องขอบขอขอบคุณน้องสาวคนไทยผู้น่ารักเป็นอย่างมาก ที่คงคอนเซ็ป คนไทยไม่ทิ้งกัน
*ขออนุญาตเล่าเล็กน้อยเกี่ยวกับงานที่เราได้รับ assign คือ เป็นผู้ช่วยเขาในการทำงานเอกสารภายใน office รวมไปถึง งานด้าน Marketing เล็กๆน้อยๆ อาทิ โปรโมท Facebook Page “Marshall University Lewis College of Business” ของ Department, ช่วยประชาสัมพันธ์กิจกรรมของ Department ใน Campus รวมไปถึงช่วยจัดงาน Event ต่างๆที่คณะจะจัดขึ้น โดยในทีมจะมี GA อยู่ประมาณ 4 คนช่วยงานกัน และทำงานอาทิตย์ละ 20 ชม. เอาไว้เราจะคอยเล่าให้ฟังเรื่อยๆ เนื่องจากเราเองก็พึ่งทำงานได้เกือบๆ 1 เดือน เท่านั้นเอง แต่ก็มากพอที่ได้เรียนรู้งานจากเขา ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆครั้งหนึ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นนก้าวเล็กๆของเราก้าวหนึ่งในชีวิต
ทั้งนี้ขอทิ้งท้ายไว้ว่า ในการเรียน หรือการทำงานที่นี่ เราคนไทย จงอย่าอายที่จะยกมือ แสดงความคิด หรือโต้ตอบ รวมไปถึงการเข้าหาชาวต่างชาติ โดยเพียแค่มีกำแพงภาษามากั้นความสามารถของเรา และอย่าคิดว่าศักยภาพของเราจะด้อยกว่าคนอื่น เรามีดีกว่าอีกหลายๆคน แม้ว่าตัวเราเองภาษาก็งูๆปลาๆ แต่ขอแค่กล้าที่จะพูดออกไปแค่นั้นเอง
เป็นกำลังใจให้ทุกคนเช่นเคย และพบกันต่อตอนหน้านะครับ !
หากสนใจ หรืออยากสอบถาม พูดคุยได้ตลอด หรือตาม Blog นี้มาได้นะครับ >> https://givgift.wordpress.com