ขออนุญาตมาต่อนะครับ จากกระทู้เดิม
https://pantip.com/topic/38006346
วันนี้เราจะเล่าถึงชีวิตใน Lewis College of Business ให้อ่านกันนะครับ หากใครสนใจอย่างไร หรืออยากรับทราบอะไรเพิ่ม เรายินดีที่จะตอบนะครับ
CHAPTER 4: It's worthwhile waiting for it !
เราเชื่อว่าหลายๆคนที่เคยพยายามจะ Apply เข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา คงจะปวดหัวกับการรอแล้วรอเล่า จนบางท่านคงถึงกับชินชาไปเลยทีเดียว เพราะกระบวนการ Review ใบสมัครนั้นยุ่งยากมากมายหลายกระบวนท่าเหลือเกิน โดยเฉลี่ยแล้วจากการที่ผมยื่นไปหลายๆที่ จะอยู่ราวๆ 1-2 เดือนเป็นอย่างน้อย มิหนำซ้ำ หากผลออกมาได้รับประทานแห้ว ยิ่งห่อเหี่ยวไปกันใหญ่ หลายๆคนคงคิดว่าทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ช้ามากมายหลายขั้นตอนขนาดนั้น... เราเองก็เช่นกันยิ่งช้าก็ยิ่งหงุดหงิด นอนไม่หลับ กังวลไปเรื่อย พอได้มาเห็นกับตาจริงๆ จึงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมขั้นตอนมันถึงได้กินระยะเวลาเนิ่นนานเกินคณานับขนาดนั้น ทั้งนี้คือความเห็นของเรานะ มันคือการที่เราเป็นนักเรียนต่างชาติ ทำให้ตัวเรานั้นคาบเกี่ยวกับ หลายๆ Department ของมหาวิทยาลัยพอสมควรเลย อย่างเช่นที่ Marshall University ของเรา จะยกตัวอย่างในเคสยื่นสมัครเรียน MBA กับทางมหาวิยาลัย อย่างน้อยๆ เราต้องวุ่นวายกับ 2-3 Department อันได้แก่ College Of Business ที่เราส่งเอกสารการของ Apply ให้กับเขาทั้งหมด และยังต้องรอให้ที่ Department ตรวจเอกสาร และพิจารณา หากเสร็จแล้ว ก็ต้องส่งต่อไปยัง International Student Service Department อีก เพื่อทำเรื่องออก I-20 แล้วส่งกลับ และคนที่นี่ค่อนข้างตรงๆ คือหาก Function งานไหนไม่ใช่ของฉัน ฉันก็จะไม่รับรู้ทำให้บางเรื่องง่ายๆ กลับวุ่นวายไปอีก โดยเราได้มีโอกาสทำงานกับ College of Business ที่นี่ จึงแอบไปเห็นว่า โอ้โห... บางครั้งแค่ส่งเอกสารภายในยังมี Mail room เพื่อรอจ่ายอีกเป็นรอบๆ แค่เดินเรื่องเอกสารภายในก็กินเวลาแล้ว นับภาษาอะไรกับเราที่เป็นคนนอก

อย่างไรก็ดีมันไม่ใช่เรื่องแย่หรอกที่จะรอคอยประสบการณ์ดีๆ ที่จะเข้ามา เพราะสำหรับกิฟท์แล้วมันคุ้มค่าทุกวินาทีที่ได้อยู่ที่นี่ จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เดินทางมาเลยครึ่งทางแล้ว เราเป็นคนที่ภาษาไม่ได้ดีมาก แต่พยายามที่จะสื่อสารกับทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ไล่ตั้งแต่เพื่อนร่วมชั้น รวมไปถึง Professor เลยทีเดียว และบอกได้เลยว่าทุกๆคนที่เราได้สัมผัสนั้นดีมากจริงๆ
College of Business ของที่มหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเต็มๆว่า Lewis College of Business เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีอยู่ 10 สาขาอันได้แก่
- BBA in Accounting
- BBA in Economics
- BBA in Energy Management
- BBA in Entrepreneurship
- BBA in Finance
- BBA in Health Care Management
- BBA in International Business
- BBA in Management
- BBA in Management Information System
- BBA in Marketing
และในส่วนของปริญญาโทมีอยู่ทั้งหมด 4 โปรแกรมได้แก่
- MS in Accountancy
- MS in Health Care Management
- MS in Human Resource Management
- MBA (offer 5 areas of emphasis: Finance, Health Care Administration, HRM, Management, and Marketing)
(ขออนุญาตแอบกระซิบว่าตอนนี้กิฟท์เรียน MBA concentrate in Finance อยู่ครับ)

โดยที่ความดีงามของ College of Business ของที่นี่คือ ตัว Accreditation AACSB ที่รับรองตัวโปรแกรมทั้ง Business และ Accounting โดยเป็น Accreditation ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของสหรัฐอเมริกาครับ ออกตัวเลยว่าที่นี่ Rank ไม่สูงครับ ทำให้คนอาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจมากเท่าที่ควร แต่ก็ทำให้เราสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ส่วนจุดแข็งอื่นๆตามความคิดของผมสำหรับ Department รวมถึง Facilities ของมหาวิทยาลัยนี้คือ
- จำนวนคนใน Class ที่ไม่ใหญ่ จำนวนตั้งแต่ 10-30คน ทำให้ค่อยข้างใกล้ชิดกับ Professor มากๆ และหากไม่นับชาวต่างชาติ (ส่วนมากที่นี่จะมากจาก จีน, อินเดีย,ซาอุ) นอกนั้นเป็น American native ทั้งหมด ถ้าไม่นับคน Asia ที่อายุน้อย นอกนั้นส่วนมากเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานกันค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่า มีวัยราวๆ 25-40+ กันเลยทีเดียว แล้วด้วยความที่ Class ไม่ใหญ่มาก ประกอบกับ Case Study / Group Work เยอะมาก ทำให้เราได้จับกลุ่ม Present กันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ลืมคำว่าเบื่อกันไปได้เลย
- Facilities ของมหาวิทยาลัยนี้เข้าขั้นดีมากๆ ไล่ตั้งแต่ Liblary ที่มี Study room ให้เปิดจองเพื่อทำงานกลุ่ม, Study zone เปิด 24 ชม. และ Recreation Center ที่ใหญ่มากๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้ให้ความสำคัญกับกีฬามากๆ มีชมรมเปิดให้เข้าร่วมกันทุกๆเปิดเทอมใหญ่เลย โดยเราเองก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมรมแบดมินตันด้วย แอบๆเหมือนถูกรายล้อมด้วยคนจีน
- หลักสูตร MBA ที่เปิดให้ตัวผู้เรียนเลือก Concentrate ที่ตนเองสนใจ มีอยู่ 5 areas ซึ่งจะให้เราเลือกเรียนเป็น Elective course ทั้งหมด 3 ตัว
- โอกาสในการโชว์ฝีมือ อาทิ งานในคลาสเรียน Professor ที่มี networking กับองค์กร หรือบริษัทนอกมหาวิทยาลัย ในบาง Semster ก็จะส่งผลงานเข้าประกวด หรือไม่ก็ form team ส่งประกวดผลงานทาง Business เช่นกันถือว่าช่วยอัพ profile ได้พอสมควร
- อีกประการคือโอกาสในการทำงาน On Campus นั้นถือว่าค่อนข้างเปิดกว้างให้กับชาวต่างชาติพอสมควร เพียงแต่ต้องออกแรงกันเล็กน้อย เพราะกระบวนการที่นี่ เราจะต้องมี reference เป็น Professor ในมหาลัยคอยหนุนหลังเรา 3 คน ประกอบกับ resume, transcript, และ Cover letter ด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ควบคู่กับการเรียน ยิ่งไปกว่านั้นสามารถ Apply เพื่อเป็น Graduate Assistant ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง benefit ดีมาก ได้ลดค่าเล่าเรียน รวมถึงเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยครับ แต่กว่าจะได้มากิฟท์เองก็ลุ้นจนสุดตัวเลยทีเดียว (ต้องให้ credit คนไทยที่นี่ด้วยที่ทำงานก่อนหน้านี้ช่วย recommend เข้าไป ไม่งั้นแย่แน่ๆครับ)
- ที่นี่มี Career Center ให้ด้วยเช่นกัน หากเราสนใจที่จะอยู่ต่อ หรือต่อ OPT ก็สามารถปรึกษาได้ รวมไปถึง มีการจัด Event ที่ Campus ในมหาวิทยาลัยเพื่อหางานเช่นกัน
- และประการสุดท้ายที่สำคัญคือ "คนไทย" ที่นี่มีอยู่มาณ 20 คนครับ ส่วนมากจะเรียนในสาขา Business และ Engineer กัน แต่ช่วยเหลือกันดีมาก เพียงแต่ในคลาสจะเจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง เพราะวิชาเรียนไม่เหมือนกัน หรือลงไม่พร้อมกัน แต่รับรองได้ว่าอบอุ่นมากๆครับ ความช่วยเหลือกันเต็ม 10 เอาไป 11 เลย ตอนเรามาใหม่ๆนี่วันแรกแทบมารอรับกันถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว
ก็ประมาณนี้ก่อนแล้วกันนะครับเอาไว้คราวหน้าจะมาต่อในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่คร่าวๆในเมือง Huntington ที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความสะดวกสบาย แต่มากด้วยเสน่ห์จนชวนให้คิดถึงตลอดเวลา
Have a good one !
ติดตามตอนที่ 3 ตามลิ้งค์นี้นะครับ
https://pantip.com/topic/38044864
หากสนใจ หรืออยากสอบถาม พูดคุยได้ตลอด หรือตาม Blog นี้มาได้นะครับ >>
https://givgift.wordpress.com
แชร์ประสบการณ์สู่การเป็นนักเรียน MBA ประเทศสหรัฐอเมริกา (Part 2)
วันนี้เราจะเล่าถึงชีวิตใน Lewis College of Business ให้อ่านกันนะครับ หากใครสนใจอย่างไร หรืออยากรับทราบอะไรเพิ่ม เรายินดีที่จะตอบนะครับ
เราเชื่อว่าหลายๆคนที่เคยพยายามจะ Apply เข้ามหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา คงจะปวดหัวกับการรอแล้วรอเล่า จนบางท่านคงถึงกับชินชาไปเลยทีเดียว เพราะกระบวนการ Review ใบสมัครนั้นยุ่งยากมากมายหลายกระบวนท่าเหลือเกิน โดยเฉลี่ยแล้วจากการที่ผมยื่นไปหลายๆที่ จะอยู่ราวๆ 1-2 เดือนเป็นอย่างน้อย มิหนำซ้ำ หากผลออกมาได้รับประทานแห้ว ยิ่งห่อเหี่ยวไปกันใหญ่ หลายๆคนคงคิดว่าทำอะไรกันอยู่ ทำไมถึงได้ช้ามากมายหลายขั้นตอนขนาดนั้น... เราเองก็เช่นกันยิ่งช้าก็ยิ่งหงุดหงิด นอนไม่หลับ กังวลไปเรื่อย พอได้มาเห็นกับตาจริงๆ จึงพอจะเข้าใจได้ว่าทำไมขั้นตอนมันถึงได้กินระยะเวลาเนิ่นนานเกินคณานับขนาดนั้น ทั้งนี้คือความเห็นของเรานะ มันคือการที่เราเป็นนักเรียนต่างชาติ ทำให้ตัวเรานั้นคาบเกี่ยวกับ หลายๆ Department ของมหาวิทยาลัยพอสมควรเลย อย่างเช่นที่ Marshall University ของเรา จะยกตัวอย่างในเคสยื่นสมัครเรียน MBA กับทางมหาวิยาลัย อย่างน้อยๆ เราต้องวุ่นวายกับ 2-3 Department อันได้แก่ College Of Business ที่เราส่งเอกสารการของ Apply ให้กับเขาทั้งหมด และยังต้องรอให้ที่ Department ตรวจเอกสาร และพิจารณา หากเสร็จแล้ว ก็ต้องส่งต่อไปยัง International Student Service Department อีก เพื่อทำเรื่องออก I-20 แล้วส่งกลับ และคนที่นี่ค่อนข้างตรงๆ คือหาก Function งานไหนไม่ใช่ของฉัน ฉันก็จะไม่รับรู้ทำให้บางเรื่องง่ายๆ กลับวุ่นวายไปอีก โดยเราได้มีโอกาสทำงานกับ College of Business ที่นี่ จึงแอบไปเห็นว่า โอ้โห... บางครั้งแค่ส่งเอกสารภายในยังมี Mail room เพื่อรอจ่ายอีกเป็นรอบๆ แค่เดินเรื่องเอกสารภายในก็กินเวลาแล้ว นับภาษาอะไรกับเราที่เป็นคนนอก
อย่างไรก็ดีมันไม่ใช่เรื่องแย่หรอกที่จะรอคอยประสบการณ์ดีๆ ที่จะเข้ามา เพราะสำหรับกิฟท์แล้วมันคุ้มค่าทุกวินาทีที่ได้อยู่ที่นี่ จนมารู้สึกตัวอีกทีก็เดินทางมาเลยครึ่งทางแล้ว เราเป็นคนที่ภาษาไม่ได้ดีมาก แต่พยายามที่จะสื่อสารกับทุกๆคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ไล่ตั้งแต่เพื่อนร่วมชั้น รวมไปถึง Professor เลยทีเดียว และบอกได้เลยว่าทุกๆคนที่เราได้สัมผัสนั้นดีมากจริงๆ
College of Business ของที่มหาวิทยาลัยนี้มีชื่อเต็มๆว่า Lewis College of Business เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรีอยู่ 10 สาขาอันได้แก่
- BBA in Accounting
- BBA in Economics
- BBA in Energy Management
- BBA in Entrepreneurship
- BBA in Finance
- BBA in Health Care Management
- BBA in International Business
- BBA in Management
- BBA in Management Information System
- BBA in Marketing
และในส่วนของปริญญาโทมีอยู่ทั้งหมด 4 โปรแกรมได้แก่
- MS in Accountancy
- MS in Health Care Management
- MS in Human Resource Management
- MBA (offer 5 areas of emphasis: Finance, Health Care Administration, HRM, Management, and Marketing)
(ขออนุญาตแอบกระซิบว่าตอนนี้กิฟท์เรียน MBA concentrate in Finance อยู่ครับ)
โดยที่ความดีงามของ College of Business ของที่นี่คือ ตัว Accreditation AACSB ที่รับรองตัวโปรแกรมทั้ง Business และ Accounting โดยเป็น Accreditation ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของสหรัฐอเมริกาครับ ออกตัวเลยว่าที่นี่ Rank ไม่สูงครับ ทำให้คนอาจจะไม่ค่อยให้ความสนใจมากเท่าที่ควร แต่ก็ทำให้เราสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ ส่วนจุดแข็งอื่นๆตามความคิดของผมสำหรับ Department รวมถึง Facilities ของมหาวิทยาลัยนี้คือ
- จำนวนคนใน Class ที่ไม่ใหญ่ จำนวนตั้งแต่ 10-30คน ทำให้ค่อยข้างใกล้ชิดกับ Professor มากๆ และหากไม่นับชาวต่างชาติ (ส่วนมากที่นี่จะมากจาก จีน, อินเดีย,ซาอุ) นอกนั้นเป็น American native ทั้งหมด ถ้าไม่นับคน Asia ที่อายุน้อย นอกนั้นส่วนมากเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานกันค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่า มีวัยราวๆ 25-40+ กันเลยทีเดียว แล้วด้วยความที่ Class ไม่ใหญ่มาก ประกอบกับ Case Study / Group Work เยอะมาก ทำให้เราได้จับกลุ่ม Present กันเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ลืมคำว่าเบื่อกันไปได้เลย
- Facilities ของมหาวิทยาลัยนี้เข้าขั้นดีมากๆ ไล่ตั้งแต่ Liblary ที่มี Study room ให้เปิดจองเพื่อทำงานกลุ่ม, Study zone เปิด 24 ชม. และ Recreation Center ที่ใหญ่มากๆ เพราะมหาวิทยาลัยนี้ให้ความสำคัญกับกีฬามากๆ มีชมรมเปิดให้เข้าร่วมกันทุกๆเปิดเทอมใหญ่เลย โดยเราเองก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมชมรมแบดมินตันด้วย แอบๆเหมือนถูกรายล้อมด้วยคนจีน
- หลักสูตร MBA ที่เปิดให้ตัวผู้เรียนเลือก Concentrate ที่ตนเองสนใจ มีอยู่ 5 areas ซึ่งจะให้เราเลือกเรียนเป็น Elective course ทั้งหมด 3 ตัว
- โอกาสในการโชว์ฝีมือ อาทิ งานในคลาสเรียน Professor ที่มี networking กับองค์กร หรือบริษัทนอกมหาวิทยาลัย ในบาง Semster ก็จะส่งผลงานเข้าประกวด หรือไม่ก็ form team ส่งประกวดผลงานทาง Business เช่นกันถือว่าช่วยอัพ profile ได้พอสมควร
- อีกประการคือโอกาสในการทำงาน On Campus นั้นถือว่าค่อนข้างเปิดกว้างให้กับชาวต่างชาติพอสมควร เพียงแต่ต้องออกแรงกันเล็กน้อย เพราะกระบวนการที่นี่ เราจะต้องมี reference เป็น Professor ในมหาลัยคอยหนุนหลังเรา 3 คน ประกอบกับ resume, transcript, และ Cover letter ด้วยเช่นกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ควบคู่กับการเรียน ยิ่งไปกว่านั้นสามารถ Apply เพื่อเป็น Graduate Assistant ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง benefit ดีมาก ได้ลดค่าเล่าเรียน รวมถึงเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยครับ แต่กว่าจะได้มากิฟท์เองก็ลุ้นจนสุดตัวเลยทีเดียว (ต้องให้ credit คนไทยที่นี่ด้วยที่ทำงานก่อนหน้านี้ช่วย recommend เข้าไป ไม่งั้นแย่แน่ๆครับ)
- ที่นี่มี Career Center ให้ด้วยเช่นกัน หากเราสนใจที่จะอยู่ต่อ หรือต่อ OPT ก็สามารถปรึกษาได้ รวมไปถึง มีการจัด Event ที่ Campus ในมหาวิทยาลัยเพื่อหางานเช่นกัน
- และประการสุดท้ายที่สำคัญคือ "คนไทย" ที่นี่มีอยู่มาณ 20 คนครับ ส่วนมากจะเรียนในสาขา Business และ Engineer กัน แต่ช่วยเหลือกันดีมาก เพียงแต่ในคลาสจะเจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง เพราะวิชาเรียนไม่เหมือนกัน หรือลงไม่พร้อมกัน แต่รับรองได้ว่าอบอุ่นมากๆครับ ความช่วยเหลือกันเต็ม 10 เอาไป 11 เลย ตอนเรามาใหม่ๆนี่วันแรกแทบมารอรับกันถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว
ก็ประมาณนี้ก่อนแล้วกันนะครับเอาไว้คราวหน้าจะมาต่อในเรื่องของชีวิตความเป็นอยู่คร่าวๆในเมือง Huntington ที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความสะดวกสบาย แต่มากด้วยเสน่ห์จนชวนให้คิดถึงตลอดเวลา
Have a good one !
ติดตามตอนที่ 3 ตามลิ้งค์นี้นะครับ https://pantip.com/topic/38044864
หากสนใจ หรืออยากสอบถาม พูดคุยได้ตลอด หรือตาม Blog นี้มาได้นะครับ >> https://givgift.wordpress.com