ตอนนี้พ่อแม่ผมท่านอายุ 60 ต้นๆ ครับ ผมเริ่มคิดว่า ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ ยังไงท่านคงต้องให้ลูกหมด ส่วนเรื่องหลานยังอีกไกล เพราะรุ่นผมยังไม่มีใครมีครอบครัว
ดูจากวิถีชีวิตแล้ว พ่อแม่ผมเขาก็ไม่เคยเอาทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้เลยครับ เก็บตลอด ยิ่งพออายุมากขึ้น ก็ยิ่งอยากได้น้อยลง นอกจากจะเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรง แต่ดูทรงแล้ว ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมเคยคุยกันกับแม่ ว่าแม่ไม่อยากให้ยื้อชีวิตไว้จนทรมาน เพราะคนเรายังไงก็คงต้องไปสักวัน ดังนั้นคงยากที่แกจะยอมขายทรัพย์สมบัติที่เก็บไว้มายื้อชีวิตตัวเอง
แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีความคิดแวบเรื่องมรดก ใครจะได้เท่าไหร่ เราจะได้เยอะไหม อะไรพวกนี้เข้ามา แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันก็แค่ความคิด ยังไม่ได้เกิดอะไรเป็นรูปธรรม เช่นแบบในละคร ประเภทที่ประจบจนแม่ยอมเซ็นยกบ้านให้อะไรขนาดนั้น
พอมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ความโลภ มันเปลี่ยนคนได้จริงไหมครับ อย่างครอบครัวเจ้าของตลาด ซอสปรุงรส น้ำพริก ก็ยังเป็นเรื่องเป็นราวกันมาแล้ว
แต่ลองเป็นตัวเรา ถึงเราบอกตัวเองว่า ไม่อยากได้ แต่ถ้าเขาให้ แล้วเกิดให้ไม่เท่ากัน มีคนได้มากได้น้อย เราเองจะวางใจให้สงบได้จริงเหรอครับ
พออายุมากขึ้น เคยคิดเรื่องโลภอยากแย่งสมบัติพ่อแม่ ระหว่างพี่น้องกันไหมครับ
ดูจากวิถีชีวิตแล้ว พ่อแม่ผมเขาก็ไม่เคยเอาทรัพย์ที่มีอยู่มาใช้เลยครับ เก็บตลอด ยิ่งพออายุมากขึ้น ก็ยิ่งอยากได้น้อยลง นอกจากจะเจ็บไข้ได้ป่วยร้ายแรง แต่ดูทรงแล้ว ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาเมื่อไหร่ ผมเคยคุยกันกับแม่ ว่าแม่ไม่อยากให้ยื้อชีวิตไว้จนทรมาน เพราะคนเรายังไงก็คงต้องไปสักวัน ดังนั้นคงยากที่แกจะยอมขายทรัพย์สมบัติที่เก็บไว้มายื้อชีวิตตัวเอง
แต่พออายุเริ่มมากขึ้น ก็เริ่มมีความคิดแวบเรื่องมรดก ใครจะได้เท่าไหร่ เราจะได้เยอะไหม อะไรพวกนี้เข้ามา แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันก็แค่ความคิด ยังไม่ได้เกิดอะไรเป็นรูปธรรม เช่นแบบในละคร ประเภทที่ประจบจนแม่ยอมเซ็นยกบ้านให้อะไรขนาดนั้น
พอมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ ความโลภ มันเปลี่ยนคนได้จริงไหมครับ อย่างครอบครัวเจ้าของตลาด ซอสปรุงรส น้ำพริก ก็ยังเป็นเรื่องเป็นราวกันมาแล้ว
แต่ลองเป็นตัวเรา ถึงเราบอกตัวเองว่า ไม่อยากได้ แต่ถ้าเขาให้ แล้วเกิดให้ไม่เท่ากัน มีคนได้มากได้น้อย เราเองจะวางใจให้สงบได้จริงเหรอครับ