ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะชวาตะวันออกและสิงคโปร์ ตอนที่ 1

         

            กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวของตนเองอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงหายไปนาน   มาครั้งนี้จะมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะกันที่ประเทศอินโดนีเซียและพ่วงแถมต่อท้ายด้วยการแวะเดินเที่ยวเล่นที่ประเทศสิงคโปร์ก่อนกลับในทริปนี้     โดยกระทู้นี้จะเป็นการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเพื่อตามล่าหาโบราณสถานกลุ่มจันทิในศิลปะชวาตะวันออก   ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นเช่น  น้ำตก  หรือภูเขาไฟจัดเป็นของแถมในทริปนี้นะครับ   ซึ่งผมจะตระเวนขี่รถเที่ยวเป็นวงกลมเริ่มตั้งแต่เมืองสุราบายาไปจนถึงเมืองมาลังแล้ววกกลับยังจุดเดิมที่เมืองสุราบายากันนะครับ
             ถ้าใครเป็นคอชอบของเก่า  ชอบดูโบราณสถานรีวิวกระทู้นี้ก็น่าจะถูกใจคุณนะครับ   แต่ถ้าไม่ใช่คอประวัติศาสตร์แล้วคุณก็สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลวิธีการเดินทางและร่วมเที่ยวขี่รถชมจันทิไปกับผมได้นะครับ   เผื่อโอกาสดีได้ไปเที่ยวที่ชวาตะวันออกเหมือนผมจะได้บรรจุสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นไว้ในลิสต์การเดินทางของคุณได้   
             ถ้าพร้อมออกเดินทางแล้ว  มาทำความรู้จักกับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะชวาตะวันออกและสิงคโปร์ 12  วันของผมก่อนนะครับ



วันแรก :   เดินทางจากกรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ – สุราบายา

            ทริปนี้ผมออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ตี  4  ครึ่งเพื่อมาขึ้นเครื่องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์  ประเทศมาเลเซีย  แล้วบินต่อไปที่เมืองสุราบายา  ประเทศอินโดนีเซีย    กว่าจะถึงสนามบินจูอันดาของเมืองสุราบายาก็ปาไปเวลา  3  โมงเย็นแล้ว  



              ผมนั่งรถบัสดัมริจากสนามบินเข้ามายังสถานีขนส่งรถบัสของเมืองสุราบายา   แล้วจึงเปลี่ยนมานั่งรถบัสเข้าเมืองสุราบายา   นั่งคันที่วิ่งผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าทุนจุนกันพลาซ่า   เพราะโรงแรมที่พักของผมคืนนี้อยู่ใกล้กับห้างดังกล่าว  

                     ทั้ง ๆ ที่ดูระยะทางแล้ว   รถวิ่งจากสถานีขนส่งเข้ามายังใจกลางเมืองก็ไม่ไกลมาก  ระยะทางประมาณ  17  กิโลเมตร  แต่ก็ใช้เวลาวิ่ง  1  ช.ม. พอดี  เพราะรถบัสจอดรับส่งผู้โดยสารทุกป้าย ประกอบกับตอนเย็นใกล้พลบค่ำรถราที่นี่เยอะน่าดู  รถติดไม่ต่างจากกรุงเทพฯ บ้านเราเลย   รอบนี้นั่งรถจากสนามบินมายังโรงแรมที่พักในเมืองประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเพราะนั่งรถบัส 2 ต่อแทนการนั่งแท็กซี่เข้ามา   เสียค่าเดินทางพร้อมค่ากระเป๋าสัมภาระเป็นเงิน   37,000  Rp.  (86  บาท)


คืนนี้ไม่มีอะไรมากเดินเล่นห้างทุนจุนกันพลาซ่าที่อยู่ใกล้ที่พัก  และพักที่โรงแรมวาร์นาคัลเจอร์  (ค่าที่พักคืนละ  945  บาท)  

วันที่ 3   :   เที่ยวชมกลุ่มน้ำตกต่าง ๆ รอบภูเขาไฟอรชุน

                        ขอตัดมาเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในวันที่ 3  เลยรึกันนะครับ   เพราะวันที่ 2   พักผ่อนอยู่ในโรงแรม   เดินสำรวจเมืองสุราบายา  และช็อปปิ้งซื้อของที่ห้างทุนจุนกันพลาซ่า    หลังจากที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์มาส่งรถให้ที่โรงแรมที่พักแล้ว   ผมก็ขี่รถไปพักที่โรงแรมคืนที่ 2  ที่อยู่เชิงภูเขาไฟอรชุน


               โรงแรมที่พักแห่งนี้มีลักษณะเป็นรีสอร์ทตากอากาศอยู่บนภูเขา   บรรยากาศคล้ายที่พักแถวเขาค้อของบ้านเรา   อากาศก็เย็นสบายชิว ๆ ไม่หนาว     ใช้เวลาขี่รถไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง  (ระยะทางประมาณ  57  กิโลเมตร)  
   

                 มาพักคืนนี้บรรยากาศดูเงียบ ๆ  ไม่เจอแขกที่มาพักคนอื่นเลย   สงสัยไม่ใช่ช่วงวันหยุดก็เลยไม่มีชาวอินโดนีเซียมาพักเลย   ส่วนชาวต่างชาติไม่ต้องพูดถึงไม่มีย่ำกรายเข้ามาแน่นอนยกเว้นผม..  555
                 ตลอดการเที่ยวในทริปนี้ผมไม่เจอชาวต่างชาติมาเที่ยวในสถานที่หลายแห่งเลยเจอแต่คนท้องถิ่นมานั่งเล่นและเที่ยวชมกันเอง   ยกเว้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ และสิงคโปร์ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังจึงเจอคนไทยและชาวต่างชาติเยอะ    ผมว่าดีนะทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวนั้นได้อย่างเต็มที่ และเที่ยวชมได้จุใจอย่างสงบ  


              ตื่นเช้ามาก็มีวิวภูเขาไฟอรชุนเสิร์ฟมาถึงที่หน้าระเบียงห้องพัก   เรียกว่าที่พักอยู่ในตำแหน่งวิวสวยนะครับ   กลางคืนดูดาวบนดินจากระเบียงห้องพัก  (มองเห็นแสงไฟในเมืองที่อยู่ด้านล่างภูเขา)  กลางวันดูวิวภูเขาไฟใกล้โรงแรม   ห้องพักที่นี่คืนละ  1,010  บาท   ทุกห้องไม่มีแอร์นะครับ  แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะร้อน เพราะที่นี่อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี   


                 ตอนสาย ๆ  ผมขี่รถออกไปเที่ยวชมกลุ่มน้ำตกที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก   เริ่มจากน้ำตกแรกคือ  น้ำตกคาเคก โบโด (Air Terjun  Kakek  Bodo)   ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักแค่เกือบ  2  กิโลเมตร  


                 มาเที่ยวชมน้ำตกเป็นคนแรก  ยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนมากันเลย   จอดรถไว้หน้าป้ายน้ำตก  แล้วซื้อตั๋วค่าเข้าชมน้ำตก 25,000 Rp. (58  บาท)  


                 วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส   ตรงลานจอดรถหน้าทางเข้าน้ำตก  สามารถมองเห็นวิวภูเขาไฟอรชุนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้อย่างชัดเจน   



                ทางเดินเข้าไปชมน้ำตกร่มรื่นย์ด้วยต้นสนและไม้พุ่มขนาดเล็กที่เขียวขจี   ระยะทางเดินขึ้นเนินลงเนินประมาณ  400  เมตร    เดินประมาณ  10  นาทีก็ถึง   ก็จะเห็นสายน้ำตกทิ้งตัวดิ่งลงมาจากหน้าผา  ตรงดิ่งเป็นสายเดียว  



               น้ำตกที่ผมไปชมที่ละแวกนี้ทั้ง  3  แห่งก็มีลีลาการตกคล้ายกันคือ  ตกเป็นสายเดียวทิ้งดิ่งลงมาจากหน้าผามีความสูงไล่เลี่ยกันประมาณตึก  8  ชั้น    


                     ชมน้ำตกได้สักพักก็เริ่มมีคนท้องถิ่นแวะเวียนเข้าชมน้ำตกกัน   ผมก็เลยกลับออกขี่รถไปชมน้ำตกแห่งต่อไปอีกแห่งหนึ่งนั่นก็คือ  น้ำตกพูทุก บรูโน ไพรเจน  (Air Terjun  Putuk  Truno Prigen)  ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก   

                 ถนนที่นี่ขับขี่สบายเป็นทางราดยางตลอด  เป็นทางขึ้นเขาลงเขาสลับกันไป   เส้นทางที่ขี่รถไปชมน้ำตก


                น้ำตกแห่งนี้ต้องเสียค่าเข้าชมบวกค่าจอดรถเป็นเงิน  22,000 Rp. (51 บาท)   จากจุดจำหน่ายตั๋วเดินเข้าไปตามทางสักเล็กน้อยก็น้ำตกแล้ว    น้ำตกแห่งนี้เข้าไม่ลึก  อยู่ใกล้ลานจอดรถกว่าน้ำตกแรก    

ป้ายชื่อน้ำตก  อยู่ใกล้กับจุดจำหน่ายตั๋วเข่าชมน้ำตกและลานจอดรถ


ทางเดินเข้าชมน้ำตกเค้าทำเป็นทางเดินปูด้วยอิฐตัวหนอน  เดินสบายไม่ต้องกลัวเปื้อนโคลน


                  ผมว่าน้ำตกแห่งนี้มอง ๆ ไปก็ดูคล้ายน้ำตกแม่สุรินทร์ที่อยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนของบ้านเรานะครับ   เพียงแต่น้ำตกแห่งนี้จะตกลงมามีความสูงน้อยกว่าน้ำตกแม่สุรินทร์  



                  ส่วนลีลาการตกของน้ำตกและบรรยากาศรอบน้ำตกที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นอย่างหนาแน่นเหมือนน้ำตกแม่สุรินทร์ของบ้านเราเป๊ะเลย

               ส่วนน้ำตกแห่งสุดท้ายที่ผมได้ไปชมในวันนี้คือ  น้ำตกดลุนดุง (Air Terjun Dlunddung)   ตั้งอยู่ห่างจากน้ำตกพูทุก บรูโน ไพรเจน ไปราว  8  กิโลเมตร  แต่ใช้เวลาขี่รถครึ่งชั่วโมงเพราะเป็นทางขึ้นเขาและลงเขาตลอด  


                 ขี่รถชมวิวไปได้เรื่อย ๆ  ที่นี่รถราน้อย   ทำให้รถมอเตอร์ไซค์สามารถขับขี่ได้สบาย ๆ  
บรรยากาศชิว ๆ  แม้จะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว  แต่อากาศกลับไม่ร้อน  เพราะอยู่บนเขามีลมเย็น ๆ พัดผ่านมาเสมอ  


                 วิวข้างทางที่นี่สวยดีนะครับ   เราจะเห็นท้องทุ่งนา  นาขั้นบันไดตามเนินสลับกับบ้านคน  โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงและภูเขาไฟที่ตั้งตระหง่าน   ผืนป่าที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่มาก  จึงทำให้น้ำตกทุกแห่งที่นี่ยังมีน้ำอยู่เสมอ

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่