▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
ประเทศอินโดนีเซีย
Backpack
บันทึกนักเดินทาง
เที่ยวน้ำตก
เที่ยวต่างประเทศ
ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะชวาตะวันออกและสิงคโปร์ ตอนที่ 1
กลับมารีวิวกระทู้ท่องเที่ยวของตนเองอีกครั้งหลังจากทิ้งช่วงหายไปนาน มาครั้งนี้จะมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะกันที่ประเทศอินโดนีเซียและพ่วงแถมต่อท้ายด้วยการแวะเดินเที่ยวเล่นที่ประเทศสิงคโปร์ก่อนกลับในทริปนี้ โดยกระทู้นี้จะเป็นการเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวเพื่อตามล่าหาโบราณสถานกลุ่มจันทิในศิลปะชวาตะวันออก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นเช่น น้ำตก หรือภูเขาไฟจัดเป็นของแถมในทริปนี้นะครับ ซึ่งผมจะตระเวนขี่รถเที่ยวเป็นวงกลมเริ่มตั้งแต่เมืองสุราบายาไปจนถึงเมืองมาลังแล้ววกกลับยังจุดเดิมที่เมืองสุราบายากันนะครับ
ถ้าใครเป็นคอชอบของเก่า ชอบดูโบราณสถานรีวิวกระทู้นี้ก็น่าจะถูกใจคุณนะครับ แต่ถ้าไม่ใช่คอประวัติศาสตร์แล้วคุณก็สามารถเข้ามาศึกษาข้อมูลวิธีการเดินทางและร่วมเที่ยวขี่รถชมจันทิไปกับผมได้นะครับ เผื่อโอกาสดีได้ไปเที่ยวที่ชวาตะวันออกเหมือนผมจะได้บรรจุสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านั้นไว้ในลิสต์การเดินทางของคุณได้
ถ้าพร้อมออกเดินทางแล้ว มาทำความรู้จักกับทริปตะลุยเดี่ยวขี่รถเที่ยวดะชวาตะวันออกและสิงคโปร์ 12 วันของผมก่อนนะครับ
วันแรก : เดินทางจากกรุงเทพฯ – กัวลาลัมเปอร์ – สุราบายา
ทริปนี้ผมออกเดินทางจากบ้านตั้งแต่ตี 4 ครึ่งเพื่อมาขึ้นเครื่องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย แล้วบินต่อไปที่เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย กว่าจะถึงสนามบินจูอันดาของเมืองสุราบายาก็ปาไปเวลา 3 โมงเย็นแล้ว
ผมนั่งรถบัสดัมริจากสนามบินเข้ามายังสถานีขนส่งรถบัสของเมืองสุราบายา แล้วจึงเปลี่ยนมานั่งรถบัสเข้าเมืองสุราบายา นั่งคันที่วิ่งผ่านหน้าห้างสรรพสินค้าทุนจุนกันพลาซ่า เพราะโรงแรมที่พักของผมคืนนี้อยู่ใกล้กับห้างดังกล่าว
ทั้ง ๆ ที่ดูระยะทางแล้ว รถวิ่งจากสถานีขนส่งเข้ามายังใจกลางเมืองก็ไม่ไกลมาก ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร แต่ก็ใช้เวลาวิ่ง 1 ช.ม. พอดี เพราะรถบัสจอดรับส่งผู้โดยสารทุกป้าย ประกอบกับตอนเย็นใกล้พลบค่ำรถราที่นี่เยอะน่าดู รถติดไม่ต่างจากกรุงเทพฯ บ้านเราเลย รอบนี้นั่งรถจากสนามบินมายังโรงแรมที่พักในเมืองประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเพราะนั่งรถบัส 2 ต่อแทนการนั่งแท็กซี่เข้ามา เสียค่าเดินทางพร้อมค่ากระเป๋าสัมภาระเป็นเงิน 37,000 Rp. (86 บาท)
คืนนี้ไม่มีอะไรมากเดินเล่นห้างทุนจุนกันพลาซ่าที่อยู่ใกล้ที่พัก และพักที่โรงแรมวาร์นาคัลเจอร์ (ค่าที่พักคืนละ 945 บาท)
วันที่ 3 : เที่ยวชมกลุ่มน้ำตกต่าง ๆ รอบภูเขาไฟอรชุน
ขอตัดมาเล่าประสบการณ์ท่องเที่ยวในวันที่ 3 เลยรึกันนะครับ เพราะวันที่ 2 พักผ่อนอยู่ในโรงแรม เดินสำรวจเมืองสุราบายา และช็อปปิ้งซื้อของที่ห้างทุนจุนกันพลาซ่า หลังจากที่ร้านเช่ารถมอเตอร์ไซค์มาส่งรถให้ที่โรงแรมที่พักแล้ว ผมก็ขี่รถไปพักที่โรงแรมคืนที่ 2 ที่อยู่เชิงภูเขาไฟอรชุน
โรงแรมที่พักแห่งนี้มีลักษณะเป็นรีสอร์ทตากอากาศอยู่บนภูเขา บรรยากาศคล้ายที่พักแถวเขาค้อของบ้านเรา อากาศก็เย็นสบายชิว ๆ ไม่หนาว ใช้เวลาขี่รถไปประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง (ระยะทางประมาณ 57 กิโลเมตร)
มาพักคืนนี้บรรยากาศดูเงียบ ๆ ไม่เจอแขกที่มาพักคนอื่นเลย สงสัยไม่ใช่ช่วงวันหยุดก็เลยไม่มีชาวอินโดนีเซียมาพักเลย ส่วนชาวต่างชาติไม่ต้องพูดถึงไม่มีย่ำกรายเข้ามาแน่นอนยกเว้นผม.. 555
ตลอดการเที่ยวในทริปนี้ผมไม่เจอชาวต่างชาติมาเที่ยวในสถานที่หลายแห่งเลยเจอแต่คนท้องถิ่นมานั่งเล่นและเที่ยวชมกันเอง ยกเว้นที่ภูเขาไฟโบรโม่ และสิงคโปร์ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโด่งดังจึงเจอคนไทยและชาวต่างชาติเยอะ ผมว่าดีนะทำให้เราได้ซึมซับบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวนั้นได้อย่างเต็มที่ และเที่ยวชมได้จุใจอย่างสงบ
ตื่นเช้ามาก็มีวิวภูเขาไฟอรชุนเสิร์ฟมาถึงที่หน้าระเบียงห้องพัก เรียกว่าที่พักอยู่ในตำแหน่งวิวสวยนะครับ กลางคืนดูดาวบนดินจากระเบียงห้องพัก (มองเห็นแสงไฟในเมืองที่อยู่ด้านล่างภูเขา) กลางวันดูวิวภูเขาไฟใกล้โรงแรม ห้องพักที่นี่คืนละ 1,010 บาท ทุกห้องไม่มีแอร์นะครับ แต่ไม่ต้องห่วงว่าจะร้อน เพราะที่นี่อากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี
ตอนสาย ๆ ผมขี่รถออกไปเที่ยวชมกลุ่มน้ำตกที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมที่พัก เริ่มจากน้ำตกแรกคือ น้ำตกคาเคก โบโด (Air Terjun Kakek Bodo) ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักแค่เกือบ 2 กิโลเมตร
มาเที่ยวชมน้ำตกเป็นคนแรก ยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนมากันเลย จอดรถไว้หน้าป้ายน้ำตก แล้วซื้อตั๋วค่าเข้าชมน้ำตก 25,000 Rp. (58 บาท)
วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ตรงลานจอดรถหน้าทางเข้าน้ำตก สามารถมองเห็นวิวภูเขาไฟอรชุนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้อย่างชัดเจน
ทางเดินเข้าไปชมน้ำตกร่มรื่นย์ด้วยต้นสนและไม้พุ่มขนาดเล็กที่เขียวขจี ระยะทางเดินขึ้นเนินลงเนินประมาณ 400 เมตร เดินประมาณ 10 นาทีก็ถึง ก็จะเห็นสายน้ำตกทิ้งตัวดิ่งลงมาจากหน้าผา ตรงดิ่งเป็นสายเดียว
น้ำตกที่ผมไปชมที่ละแวกนี้ทั้ง 3 แห่งก็มีลีลาการตกคล้ายกันคือ ตกเป็นสายเดียวทิ้งดิ่งลงมาจากหน้าผามีความสูงไล่เลี่ยกันประมาณตึก 8 ชั้น
ชมน้ำตกได้สักพักก็เริ่มมีคนท้องถิ่นแวะเวียนเข้าชมน้ำตกกัน ผมก็เลยกลับออกขี่รถไปชมน้ำตกแห่งต่อไปอีกแห่งหนึ่งนั่นก็คือ น้ำตกพูทุก บรูโน ไพรเจน (Air Terjun Putuk Truno Prigen) ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่มากนัก
ถนนที่นี่ขับขี่สบายเป็นทางราดยางตลอด เป็นทางขึ้นเขาลงเขาสลับกันไป เส้นทางที่ขี่รถไปชมน้ำตก
น้ำตกแห่งนี้ต้องเสียค่าเข้าชมบวกค่าจอดรถเป็นเงิน 22,000 Rp. (51 บาท) จากจุดจำหน่ายตั๋วเดินเข้าไปตามทางสักเล็กน้อยก็น้ำตกแล้ว น้ำตกแห่งนี้เข้าไม่ลึก อยู่ใกล้ลานจอดรถกว่าน้ำตกแรก
ป้ายชื่อน้ำตก อยู่ใกล้กับจุดจำหน่ายตั๋วเข่าชมน้ำตกและลานจอดรถ
ทางเดินเข้าชมน้ำตกเค้าทำเป็นทางเดินปูด้วยอิฐตัวหนอน เดินสบายไม่ต้องกลัวเปื้อนโคลน
ผมว่าน้ำตกแห่งนี้มอง ๆ ไปก็ดูคล้ายน้ำตกแม่สุรินทร์ที่อยู่จังหวัดแม่ฮ่องสอนของบ้านเรานะครับ เพียงแต่น้ำตกแห่งนี้จะตกลงมามีความสูงน้อยกว่าน้ำตกแม่สุรินทร์
ส่วนลีลาการตกของน้ำตกและบรรยากาศรอบน้ำตกที่มีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นอย่างหนาแน่นเหมือนน้ำตกแม่สุรินทร์ของบ้านเราเป๊ะเลย
ส่วนน้ำตกแห่งสุดท้ายที่ผมได้ไปชมในวันนี้คือ น้ำตกดลุนดุง (Air Terjun Dlunddung) ตั้งอยู่ห่างจากน้ำตกพูทุก บรูโน ไพรเจน ไปราว 8 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาขี่รถครึ่งชั่วโมงเพราะเป็นทางขึ้นเขาและลงเขาตลอด
ขี่รถชมวิวไปได้เรื่อย ๆ ที่นี่รถราน้อย ทำให้รถมอเตอร์ไซค์สามารถขับขี่ได้สบาย ๆ
บรรยากาศชิว ๆ แม้จะเป็นเวลาเที่ยงแล้ว แต่อากาศกลับไม่ร้อน เพราะอยู่บนเขามีลมเย็น ๆ พัดผ่านมาเสมอ
วิวข้างทางที่นี่สวยดีนะครับ เราจะเห็นท้องทุ่งนา นาขั้นบันไดตามเนินสลับกับบ้านคน โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาสูงและภูเขาไฟที่ตั้งตระหง่าน ผืนป่าที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่มาก จึงทำให้น้ำตกทุกแห่งที่นี่ยังมีน้ำอยู่เสมอ