
ทริปนี้เกิดจากการนั่งดูภาพภูเขาไฟโบรโม่ในอินเตอร์เนตแล้วก็คิดว่าวันนึงจะต้องไปให้ได้ แต่ไม่ถึงข้ามคืน โปรหางแดงก็เปิดจอง 0 บาทวันนั้นพอดี อ้าวโอกาสมาแล้วจองเลยดีกว่า ผ่านไปปีนึงก็ถึงวันที่ต้องเดินทางแล้ว สิ่งที่มโนกลายเป็นความจริงแล้วละ ได้เวลาลากกระเป๋าไปท่องโลกกันแล้ว
เนื่องจากการบินตรงไปสุราบายา อินโดนีเซียอันเป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟโบรโม่นั้นไม่มีบินตรงจากกรุงเทพ เราเลยต้องจองตั๋วไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เที่ยวบินดังนี้
ขาไป =กรุงเทพ-กัวลาลัมเปอร์-สุราบายา
ขากลับ = สุราบายา-กัวลาลัมเปอร์-กรุงเทพ

วันที่ 1
นั่งยาวๆจากกรุงเทพไป กัวลาลัมเปอร์ ต่อไปถึงสุราบายา หลับๆตื่นๆ ก็ถึงสนามบินจูอันดา สุราบายา อินโดนีเซีย แล้วครับมาถึงที่นี่ก็สี่ทุ่มกว่าๆนอนที่นี่หนึ่งคืน เพราะนัดคนขับรถมารับที่โรงแรมในเมืองเพื่อไปโบรโม่ตอนเช้าพรุ่งนี้ครับ พอเครื่องลงรับกระเป๋าออกมา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรถครับ เคาน์เตอร์แทกซี่ ออกมาก็จะเจอติดกับเคาน์เตอร์แลกเงินครับ การถือเงินดอลล่าร์มาแลกเงินรูเปียะห์ที่นี่จะได้เรทที่ดีกว่าแลกที่บ้านเราซึ่งได้เรทไม่ดีและไม่คุ้มครับ ตรงเคาน์เตอร์แทกซี่ ยื่นที่อยู่โรงแรม ให้เจ้าหน้าที่แล้วก็จ่ายเงินค่ารถตรงนั้นเลยครับ

ผมพักที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ สุราบายา ใกล้ๆสนามบินเสียค่าแทกซี่ร้อยกว่าบาทไทยครับ มาถึงโรงแรมขอนอนพักเต็มๆตื่นก่อนครับ พรุ่งนี้ต้องนั่งรถประมาณ 5-6 ชมเพื่อย้ายโรงแรมไปนอนบนโบรโม่กัน ห้องพักจัดว่าคุ้มครับจองมาราคาคืนละ 1,200 รวมอาหารเช้า
วันที่ 2
ถึงเวลาคนขับ ก็มารับไปโบรโม่หลับๆตื่นๆก็มาถึงครับ มาถึงโรงแรมบนโบรโม่แล้วครับ ตื่นเต้นมากเพราะระหว่างทางขึ้นมาก็สวยงามจับใจมาก ทางก็หวาดเสียวสุดๆเพราะลัดเลาะมาตามไหล่เขาแนะนำให้มาถึงก่อนมืดครับ เพราะวิวข้างทางสวยมากและหนาวเย็นมากแนะนำให้เอาเสื้อกันหนาวแบบจัดเต็มมานะครับ เพราะเช้ามืดอีกวันนึงต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว อากาศจะหนาวแบบติดลบครับ

ผมจองโรงแรมบนโบรโม่ Cemara Indah Hotel
ทริปนี้จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนครับ
ตอนแรกจะจองผ่านเว็บจองโรงแรมปรากฎว่าไม่มีห้องว่างเลย เลยค้นหาที่อยู่อีเมล์ของโรงแรมในเน็ตแล้วอีเมล์ไปถาม พร้อมระบุวันที่ต้องการไปพักและประเภทห้อง ประมาณ 1 วันทางโรงแรมก็ตอบกลับมาว่ามีห้องว่าง และให้เรายืนยันว่าจะเข้าพักแน่ๆ ผมเลยระบุเที่ยวบินไปและกลับเพื่อจองรถรับส่งสนามบินด้วย พร้อมทั้งให้เบอร์โทรเพื่อแอดคุยทาง WhatsApp ครับ การจองนี้ทางโรงแรมไม่เก็บค่ามัดจำใดๆเลยครับ ให้มาจ่ายทั้งหมดในวันเช็คอินครับ ก่อนวันเดินทางทางโรงแรมก็ส่ง Whatsapp มาให้เรายืนยันเวลาไปรับที่สุราบายาอีกทีครับ

รายละเอียดแพคเกจที่จองมาเนื่องจากผมจองห้องพัก 1 คืนพร้อมรถรับส่งสนามบินกับทางโรงแรมรวมทั้งค่าเช่ารถจิ๊บพร้อมคนขับ ในราคา 3 ล้านรูเปียห์หรือ 300 ดอลล่าร์ ครับซึ่งรวมทุกอย่างแต่ไม่รวมค่าเข้าชมสถานที่ ก่อนเข้าอุทยานต้องเสียค่าเข้าครับ ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรครับราคาไม่แพงมากครับไม่ถึงห้าสิบบาทไทยครับ

ได้ห้องพักแบบนี้วิวดีมากครับ นอนดูโบรโม่จากในห้องพักได้เลยครับ ทางโรมแรมมีร้านอาหารด้วยครับ วิวดีมากแต่ไม่ได้ใช้บริการ เพราะฝนตกไม่สามารถนั่งข้างนอกได้รวมถึงแขกเยอะโต๊ะเต็มเลยสั่งอาหารเย็นมาทานในห้อง ห้องนี้จริงๆพักได้ถึงสี่คนแต่ก็มาคนเดียวเนอะ เหมาห้องเลย บรรยากาศรอบๆที่พักก็ประมาณนี้
นอนเอาแรงเพราะตีสามต้องตื่นไปดูพระอาทิตย์ที่จุดชมวิว แนะนำให้ตื่นมารอคนขับครับถ้าออกสายบน จุดชมวิวจะไม่มีที่จอดรถส่งผลทำให้ต้องจอดรถไกลและจะต้องเดินขึ้นเขาเองครับ ทั้งเหนื่อยและหนาวควันออกปากออกจมูกเลยครับ
วันที่ 3
ตีสาม คนขับรถจิ๊บมาเคาะที่ประตูห้องครับ ออกเดินทางกันเลย พอมาถึงจุดชมวิว โชคไม่ดีฝนตกทั้งคืนเช้ามาปรอยๆ หมอกลงเยอะจนแทบไม่เห็นวิวเลย

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ผิดหวังมากเลยครับ เดินทางมาตั้งไกลมาเจอแบบนี้ รวมถึงเราด้วย ฮ่าฮ่า แต่ชิวิตต้องไปต่อครับ เดินลงจากจุดชมวิวกินข้าวโพดแป๊บ

เอาว่ะไปปีนปล่องภูเขาไฟต่อละกัน ยังไม่สายมากแดดไม่ร้อน ลงจากเขามาที่ปล่องภูเขาไฟครับที่ตั้งเป็นเหมือนแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูง

อากาศเย็นสบายครับ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มาถึงลานจอดรถจิ๊บแนะนำให้จำเลขทะเบียนรถและจุดจอดไว้ให้ดีครับเพราะตอนลงมาจะมีรถจิ๊บที่เหมือนๆกันมาจอดเป็นร้อยเลยครับ ระวังจะขึ้นผิดคัน จากนั้นก็เดินๆครับใครขึ้นไม่ไหวก็จ้างม้าได้ครับ แต่ถึงตีนเขาก็ต้อง เดินขึ้นอีกทีครับ พกหน้ากากกันฝุ่นไปด้วยนะ แต่ตอนที่ไปโชคดีที่ฝนตกเมื่อคืน ฝุ่นก็เลยไม่ฟุ้งมาก

มาถึงปากปล่องครับชะโงกลงไปมองช่างยิ่งใหญ่มากรวมถึงเสียงปะทุของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท
ต้องระมัดระวังลื่นตกไปนะครับเพราะจะไม่มีใครช่วยได้เลย

หลังจากนั้นก็เดินทางไปชมทุ่งสะวันนาด้านหลังโบรโม่ครับ บรรยากาศต่างกันมากจนไม่น่าเชื่อว่าโบรโม่จะมีที่แบบนี้ สวยงามจับใจ

จากนั้นไปดูทรายกระซิบครับ Whispering Sands ถ่ายภาพถ่ายวิดิโอก็มองไม่เห็นครับ
ทุ่งโล่งๆดูเหมือนไม่มีอะไร เพ่งสายตาดีๆครับจะเห็น ฝุ่นดินภูเขาไฟละอองเล็กๆลอยพริ้วในสายลม ประมาณละอองเกสรครับ
แล้วจะมีเสียงลมเหมือนเสียงกระซิบทั่วท้องทุ่งครับ อัศจรรย์มาก

หลังจากนั้นออกเดินทางจากโบรโม่ กลับโรงแรม ทานอาหารเช้า เช็คเอาท์ เพื่อเดินทางไปชมน้ำตก Madakaripura กันนั่งรถจากโบรโม่ประมาณ 1 ชม. ก็ถึงแล้ว แนะนำให้เตรียมชุดกันฝนรองเท้าแตะ และถุงกันน้ำครับ เพราะต้องเปียกแน่ครับ และเราต้องจ้างไกด์ 1 คนเพื่อพาเข้าไปครับ เดินเท้าสักพักนึงก็ถึงแล้ว น้ำตกเป็นละอองฝน ครับสวยงามและสดชื่นมาก

หลังจากนั้นออกจากน้ำตกก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว คนขับรถก็ขับไปส่งที่สนามบินจูอันดา เป็นอันปิดทริปครับ
ฝากเพจด้วยนะ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/minimeontravel/
[CR] คนเดียวเที่ยวโบรโม่ ภูเขาไฟในตำนานบนเกาะชวา อินโดนีเซีย
ทริปนี้เกิดจากการนั่งดูภาพภูเขาไฟโบรโม่ในอินเตอร์เนตแล้วก็คิดว่าวันนึงจะต้องไปให้ได้ แต่ไม่ถึงข้ามคืน โปรหางแดงก็เปิดจอง 0 บาทวันนั้นพอดี อ้าวโอกาสมาแล้วจองเลยดีกว่า ผ่านไปปีนึงก็ถึงวันที่ต้องเดินทางแล้ว สิ่งที่มโนกลายเป็นความจริงแล้วละ ได้เวลาลากกระเป๋าไปท่องโลกกันแล้ว
เนื่องจากการบินตรงไปสุราบายา อินโดนีเซียอันเป็นที่ตั้งของ ภูเขาไฟโบรโม่นั้นไม่มีบินตรงจากกรุงเทพ เราเลยต้องจองตั๋วไปต่อเครื่องที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เที่ยวบินดังนี้
ขาไป =กรุงเทพ-กัวลาลัมเปอร์-สุราบายา
ขากลับ = สุราบายา-กัวลาลัมเปอร์-กรุงเทพ
วันที่ 1
นั่งยาวๆจากกรุงเทพไป กัวลาลัมเปอร์ ต่อไปถึงสุราบายา หลับๆตื่นๆ ก็ถึงสนามบินจูอันดา สุราบายา อินโดนีเซีย แล้วครับมาถึงที่นี่ก็สี่ทุ่มกว่าๆนอนที่นี่หนึ่งคืน เพราะนัดคนขับรถมารับที่โรงแรมในเมืองเพื่อไปโบรโม่ตอนเช้าพรุ่งนี้ครับ พอเครื่องลงรับกระเป๋าออกมา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีรถครับ เคาน์เตอร์แทกซี่ ออกมาก็จะเจอติดกับเคาน์เตอร์แลกเงินครับ การถือเงินดอลล่าร์มาแลกเงินรูเปียะห์ที่นี่จะได้เรทที่ดีกว่าแลกที่บ้านเราซึ่งได้เรทไม่ดีและไม่คุ้มครับ ตรงเคาน์เตอร์แทกซี่ ยื่นที่อยู่โรงแรม ให้เจ้าหน้าที่แล้วก็จ่ายเงินค่ารถตรงนั้นเลยครับ
ผมพักที่โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ สุราบายา ใกล้ๆสนามบินเสียค่าแทกซี่ร้อยกว่าบาทไทยครับ มาถึงโรงแรมขอนอนพักเต็มๆตื่นก่อนครับ พรุ่งนี้ต้องนั่งรถประมาณ 5-6 ชมเพื่อย้ายโรงแรมไปนอนบนโบรโม่กัน ห้องพักจัดว่าคุ้มครับจองมาราคาคืนละ 1,200 รวมอาหารเช้า
วันที่ 2
ถึงเวลาคนขับ ก็มารับไปโบรโม่หลับๆตื่นๆก็มาถึงครับ มาถึงโรงแรมบนโบรโม่แล้วครับ ตื่นเต้นมากเพราะระหว่างทางขึ้นมาก็สวยงามจับใจมาก ทางก็หวาดเสียวสุดๆเพราะลัดเลาะมาตามไหล่เขาแนะนำให้มาถึงก่อนมืดครับ เพราะวิวข้างทางสวยมากและหนาวเย็นมากแนะนำให้เอาเสื้อกันหนาวแบบจัดเต็มมานะครับ เพราะเช้ามืดอีกวันนึงต้องไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว อากาศจะหนาวแบบติดลบครับ
ผมจองโรงแรมบนโบรโม่ Cemara Indah Hotel
ทริปนี้จองล่วงหน้าประมาณ 2 เดือนครับ
ตอนแรกจะจองผ่านเว็บจองโรงแรมปรากฎว่าไม่มีห้องว่างเลย เลยค้นหาที่อยู่อีเมล์ของโรงแรมในเน็ตแล้วอีเมล์ไปถาม พร้อมระบุวันที่ต้องการไปพักและประเภทห้อง ประมาณ 1 วันทางโรงแรมก็ตอบกลับมาว่ามีห้องว่าง และให้เรายืนยันว่าจะเข้าพักแน่ๆ ผมเลยระบุเที่ยวบินไปและกลับเพื่อจองรถรับส่งสนามบินด้วย พร้อมทั้งให้เบอร์โทรเพื่อแอดคุยทาง WhatsApp ครับ การจองนี้ทางโรงแรมไม่เก็บค่ามัดจำใดๆเลยครับ ให้มาจ่ายทั้งหมดในวันเช็คอินครับ ก่อนวันเดินทางทางโรงแรมก็ส่ง Whatsapp มาให้เรายืนยันเวลาไปรับที่สุราบายาอีกทีครับ
รายละเอียดแพคเกจที่จองมาเนื่องจากผมจองห้องพัก 1 คืนพร้อมรถรับส่งสนามบินกับทางโรงแรมรวมทั้งค่าเช่ารถจิ๊บพร้อมคนขับ ในราคา 3 ล้านรูเปียห์หรือ 300 ดอลล่าร์ ครับซึ่งรวมทุกอย่างแต่ไม่รวมค่าเข้าชมสถานที่ ก่อนเข้าอุทยานต้องเสียค่าเข้าครับ ซึ่งไม่มีปัญหาอะไรครับราคาไม่แพงมากครับไม่ถึงห้าสิบบาทไทยครับ
ได้ห้องพักแบบนี้วิวดีมากครับ นอนดูโบรโม่จากในห้องพักได้เลยครับ ทางโรมแรมมีร้านอาหารด้วยครับ วิวดีมากแต่ไม่ได้ใช้บริการ เพราะฝนตกไม่สามารถนั่งข้างนอกได้รวมถึงแขกเยอะโต๊ะเต็มเลยสั่งอาหารเย็นมาทานในห้อง ห้องนี้จริงๆพักได้ถึงสี่คนแต่ก็มาคนเดียวเนอะ เหมาห้องเลย บรรยากาศรอบๆที่พักก็ประมาณนี้
นอนเอาแรงเพราะตีสามต้องตื่นไปดูพระอาทิตย์ที่จุดชมวิว แนะนำให้ตื่นมารอคนขับครับถ้าออกสายบน จุดชมวิวจะไม่มีที่จอดรถส่งผลทำให้ต้องจอดรถไกลและจะต้องเดินขึ้นเขาเองครับ ทั้งเหนื่อยและหนาวควันออกปากออกจมูกเลยครับ
วันที่ 3
ตีสาม คนขับรถจิ๊บมาเคาะที่ประตูห้องครับ ออกเดินทางกันเลย พอมาถึงจุดชมวิว โชคไม่ดีฝนตกทั้งคืนเช้ามาปรอยๆ หมอกลงเยอะจนแทบไม่เห็นวิวเลย
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ผิดหวังมากเลยครับ เดินทางมาตั้งไกลมาเจอแบบนี้ รวมถึงเราด้วย ฮ่าฮ่า แต่ชิวิตต้องไปต่อครับ เดินลงจากจุดชมวิวกินข้าวโพดแป๊บ
เอาว่ะไปปีนปล่องภูเขาไฟต่อละกัน ยังไม่สายมากแดดไม่ร้อน ลงจากเขามาที่ปล่องภูเขาไฟครับที่ตั้งเป็นเหมือนแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูง
อากาศเย็นสบายครับ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ มาถึงลานจอดรถจิ๊บแนะนำให้จำเลขทะเบียนรถและจุดจอดไว้ให้ดีครับเพราะตอนลงมาจะมีรถจิ๊บที่เหมือนๆกันมาจอดเป็นร้อยเลยครับ ระวังจะขึ้นผิดคัน จากนั้นก็เดินๆครับใครขึ้นไม่ไหวก็จ้างม้าได้ครับ แต่ถึงตีนเขาก็ต้อง เดินขึ้นอีกทีครับ พกหน้ากากกันฝุ่นไปด้วยนะ แต่ตอนที่ไปโชคดีที่ฝนตกเมื่อคืน ฝุ่นก็เลยไม่ฟุ้งมาก
มาถึงปากปล่องครับชะโงกลงไปมองช่างยิ่งใหญ่มากรวมถึงเสียงปะทุของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิท
ต้องระมัดระวังลื่นตกไปนะครับเพราะจะไม่มีใครช่วยได้เลย
หลังจากนั้นก็เดินทางไปชมทุ่งสะวันนาด้านหลังโบรโม่ครับ บรรยากาศต่างกันมากจนไม่น่าเชื่อว่าโบรโม่จะมีที่แบบนี้ สวยงามจับใจ
จากนั้นไปดูทรายกระซิบครับ Whispering Sands ถ่ายภาพถ่ายวิดิโอก็มองไม่เห็นครับ
ทุ่งโล่งๆดูเหมือนไม่มีอะไร เพ่งสายตาดีๆครับจะเห็น ฝุ่นดินภูเขาไฟละอองเล็กๆลอยพริ้วในสายลม ประมาณละอองเกสรครับ
แล้วจะมีเสียงลมเหมือนเสียงกระซิบทั่วท้องทุ่งครับ อัศจรรย์มาก
หลังจากนั้นออกเดินทางจากโบรโม่ กลับโรงแรม ทานอาหารเช้า เช็คเอาท์ เพื่อเดินทางไปชมน้ำตก Madakaripura กันนั่งรถจากโบรโม่ประมาณ 1 ชม. ก็ถึงแล้ว แนะนำให้เตรียมชุดกันฝนรองเท้าแตะ และถุงกันน้ำครับ เพราะต้องเปียกแน่ครับ และเราต้องจ้างไกด์ 1 คนเพื่อพาเข้าไปครับ เดินเท้าสักพักนึงก็ถึงแล้ว น้ำตกเป็นละอองฝน ครับสวยงามและสดชื่นมาก
หลังจากนั้นออกจากน้ำตกก็ถึงเวลากลับบ้านแล้ว คนขับรถก็ขับไปส่งที่สนามบินจูอันดา เป็นอันปิดทริปครับ
ฝากเพจด้วยนะ ขอบคุณครับ https://www.facebook.com/minimeontravel/