Eon – Aeon เป็นระยะเวลาอันยาวนาน เทียบได้กับ กัป ในศาสนาพุทธ ที่นับเวาตั้งแต่เริ่มต้นถึงจุดจบของเอกภพ ในโมเดลจักรวาลแต่เดิม เชื่อกันว่า ถ้าค่า Density Parameter ของจักรวาล (โอเมก้า) มากกว่า 1 สุดท้ายจักรวาลจะหดตัวเข้าสู่ช่วง Big Crunch ถ้าค่า Density Parameter ของจักรวาลน้อยกว่า 1 จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆจนจบลงที่ Heat Death ซึ่ง และถ้าค่า Density Parameter =1 จักรวาลจะยังขยายตัวแต่จะช้าลงตามเวลา แต่มันจะไม่มีแรงพอที่จะดึงกาแลคซี่ต่างๆกลับลงมาเป็น Big Crunch ค่า Density Parameter ของจักรวาลของเรามีค่าใกล้ 1 มากๆ แต่ถึงกระนั้น จักรวาลก็ยังขยายตัวด้วยความเร่ง ตรงนี้อาจเป็นผลจาก Dark Energy และ ในมุมมองของนักฟิสิกส์ การที่จักรวาลขยายตัวด้วยความเร่ง จุดจบของจักรวาลแบบ Big Crunch นั้นเป็นไปไม่ได้
อนึ่ง เพื่อให้การถกเถียงเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ ต้องขอร้องชาวศาสนาว่า อย่าคอมเม้นต์ "อจินไตย" หรือโพสอ้างพระสูตรใดๆในกระทู้นี้ กระทู้นี้ ไม่ได้แทกห้องศาสนา และคำว่ากัป ผมเอามาใช้แค่เพราะเป็นคำไทยที่ใกล้เคียงกับคำว่า Eon ที่สุดเท่านั้นครับ
สำหรับความเชื่อของศาสนาพุทธ จักรวาลจะมีการเกิด ดับ และเกิดใหม่ วนเป็นวงจร การที่จักรวาลมีการขยายตัวด้วยความเร่ง โมเดลการเกิดและดับของจักรวาลในลักษณะของจักรวาลปิด (Big Bang -> Big Crunch -> Big Bang …) ก็ต้องถือว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) เห็นว่า การเกิดและดับของจักรวาล อาจมีลักษณะเป็นวงจรได้ในอีกรูปแบบ โดย เพนโรส เชื่อว่าจักรวาล มีการเกิดอย่างต่อเนื่อง จาก Big Bang อวกาศที่เกิดขึ้นก่อเกิดมวลสาร ขยายตัว ดึงดูด กลายเป็นหยดดาว เผาไหม้ด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ กลายเป็นหลุมดำ และสูญเสียไปกับ Hawking Radiation แล้วมันก็เกิด Big bang ขึ้นใหม่[1] และเพราะในโมเดล CCC มันไม่มีขอบเขตอะไรกั้นการเดินทางผ่านระหว่างกัป ในโมเดลของเพนโรส เราจึงควรจะสามารถพบเห็นเศษซากของกัปที่แล้วจาก Big bang ครั้งก่อน อยู่ในพื้นหลัง Cosmic Microwave Background
รูปที่ 1 โมเดลจักรวาลปิดและจักรวาลเปิด กรณีจักรวาลแลล Conformal Cyclic Cosmology ปรากฏการณ์ Big Bang เกิดขึ้น จนสสารสาบสูญไปเป็นหลุมดำแล้วกลายเป็นรังสีฮอว์กิ้ง แล้ว Big Bang ใหม่ก็กำเนิดขึ้นมา
Conformal Cyclic Cosmology (CCC) ซากของเอกภพร้างจากกัปก่อน
จุดจบของเอกภพ เมื่อเวลาผ่านไป มวลสาร ดวงดาวต่างๆจะถูกดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงและกลายเป็นหลุมดำ และเมื่อเวลาผ่านไปอีก หลุมดำก็จะระเหยผ่านกระบวนการ Hawking radiation เหลือเพียงโฟตอน และกราวิตอน ซึ่งสิ่งที่เดินทางด้วยความเร็วแสงจะไม่สัมผัสถึงเวลา จักรวาลที่ไม่มีเวลาจะคล้ายกับสภาพเริ่มต้นของเอกภพ และ เพนโรส เชื่อว่า มันจะเริ่มเกิด Big Bang ใหม่
แล้วมันจะมีอะไรเหลือเป็นหลักฐานให้เราสังเกตได้ล่ะ?
แม้ว่าสสาร หรือหลุมดำแห่งกัปที่แล้วจะไม่เหลืออยู่ ไม่มีแม้แต่คลื่นแรงโน้มถ่วง แต่พลังงานที่คายออกจากการระเหยของหลุมดำจะยังคงหลงเหลือซ่อนอยู่ใน Cosmic Microwave Background
รูปที่ 2 ลักษณะของการ Polarization ของคลื่น CMB ณจุด Hawking Point
พลังงานพื้นฐานที่เหลือนี้ คือซากที่เพนโรสค้นหา เรียกว่า Hawking Point โดยเป็นจุดที่มีการหมุนวนของ CMB ที่เกิดการ Polarization เพราะการมีอยู่ของสิ่งตกค้างจากเอกภพที่แล้ว [2]
สำหรับปรากฎการณ์ Polarization ของ CMB ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ และในวงการวิทยาศาสตร์กระแสหลัก ก็เชื่อว่ามันเกิดจากกระบวนการเลนส์แรงโน้มถ่วง หรือจากคลื่นแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของเอกภพที่มีการขยายตัวเร็วมาก เหล่านักวิทยาศาสตร์ย่อมแย้งสมมุติฐานของเพนโรส ที่เล่นของข้ามช็อตไปที่สาเหตุการ Polarization จากกัปที่แล้ว และจากการทดลองจำลองโมเดลการกระจัดจาก CMB ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองซ้ำบ่งชี้ว่า ค่าการ Simulation ของพวกเขาไม่ต่างจากการกระจัดของการ Polarization ของ CMB จริง และมันคงเป็นเรื่องแปลกที่จะเชื่อว่า Simulation ที่ได้ค่าการจำลองใกล้เคียงสิ่งที่มีอยู่จริงจะผิด [3]
แต่ เพนโรส ก็ไม่ยอมหยุดเพราะคำโต้แย้งนี้ เขาได้นำเสนอบทความทางวิชาการที่ใช้การกระจัดของอุณหภูมิพื้นหลัง CMB โดยเทียบกับแบบจำลอง CMB มาตรฐาน คราวนี้ เขาจำลองลึกลงไปถึงระดับความชันของการกระจัดพื้นหลังอุณหภูมิ ไม่ใช่แค่วัดเป็นค่าการกระจายทางสถิติกับค่าเฉลี่ยของ CMB แบบตอนแรก
Conformal Cyclic Cosmology (CCC) ซากของกัปที่แล้วในระดับของอุณหภูมิ CMB
ถ้าหากว่า กัปที่แล้วมีจริง ตามโมเดล CCC การมีอยู่ของโฟตอนและนิวตริโนที่หลงเหลือจากการแผ่รังสีฮอว์กิ้งจากกัปที่แล้ว มันจะเป็นตัวทำให้ Dark matter ของกัปต่อมา ร้อนขึ้น และพลังงานนี้จะกระจายแผ่ออกในลักษณะ Gaussian Distribution ซึ่งเป็นที่มาของ Hawking point[4]
รูปที่ 3 แสดงตำแหน่งของจุด Hawking Point ในพื้นหลังภาพถ่าย Cosmic Microwave Background
ตามความเห็นของผมที่ไปค้นงานวิจัยมาแกะ มันเหมือนกับเพนโรสจะบอกว่า เอกภพที่เกิดใหม่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วและการมีอนุภาคที่มีโมเมนตั้มจากกัปที่แล้วอยู่มันทำให้เกิดสภาพคล้ายการบีบอัดของก๊าซ และเมื่อกระจายตัวออกจะมีการลดลงของอุณหภูมิเกิดเป็นวง Hawking point และ รูปแบบของวง Hawking Point จะมีการไล่ระดับอุณหภูมิจากวงด้านในถึงวงด้านนอกจะสูงกว่าการ Polarization เป็นวงด้วยสาเหตุอื่น (แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรเพราะคำอธิบายทางฟิสิกส์มันก็โหดมาก ก็เอาไว้ประมาณนี้ก่อนละ)
รูปที่ 4 ตัวอย่างข้อมูลที่เพนโรสนำเสนอ คอลัมน์แรก คือเขตรัศมีของวง Hawking Point และ คอลัมน์สอง คือความหนา นับหน่วยเป็นมุมเรเดียน เพราะเราไม่มีวาร์ป นักฟิสิกส์ศึกษาอวกาศจากภาพถ่ายและการอ้างอิงตำแหน่ง จะอ้างเป็นมุมแทนจะพูดถึงระยะทางเป็นเมตรหรือปีแสง ข้อสังเกตของเพนโรสคือ การจำลองค่า Simulation พบความเบี่ยงเบนจากค่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามจริงของ CMB
ในกรณีของ Hawking point เพนโรส เลือกพื้นที่ๆเห็นวงการกระจัดเป็นวงกลมชัดเจน และทำการจำลอง Temperature gradient ระดับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินับจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งเพนโรสบ่งชี้ว่า การเปลี่ยนของระดับอุณหภูมิจาก Hawking Point มีระดับการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าแบบจำลองตามโมเดลจักรวาลปัจจุบัน (คงเป็นเพราะมีการบีบอัดจากแสงและนิวตริโนจากกัปที่แล้ว)
เนื่องจากบทความของเพนโรส รอบล่าสุดนี้เพิ่งออกมาอุ่นๆเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2561 นี่เอง จึงยังไม่เห็นการ Comment โต้แย้งจากอีกฝั่ง สงครามระหว่างโมเดลจักรวาลแบบเกิดแล้วดับ กับเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังต้องฟาดฟันกันต่อไป
โดยสรุป
ในส่วนสุดท้ายของเรื่อง เรามาพูดถึงเรื่อง ความเชื่อ สมมุติฐาน และ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
ในทางวิทยาศาสตร์ การอธิบายปรากฎการณ์ได้เป็นแค่จุดเริ่มต้น เมื่อคำอธิบายนั้นสามารถนำมาใช้ได้เป็นสากลไม่มีข้อยกเว้นยุ่บยั่บ มันถึงจะเริ่มเข้าเค้ามาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์ได้ และทำนายผลได้ และคำอธิบายที่เรียบง่ายกว่า มีข้อยกเว้นน้อยกว่า ทำนายได้กว้างกว่า ย่อมจะถือเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ในบทความที่เพนโรสเขียน การทดลองของเขา อยู่ในระดับของการบ่งชี้แค่ว่า Hawking Point (H) ในภาพ CMB มีสมบัติที่แตกต่างจากการเกิด Polarization ด้วยกลไกอื่นๆที่เรารู้ ดังนั้น การค้นพบกัปที่แล้วของเพนโรส อิงตามคำพูดของเพนโรสก็คือ แค่ระดับของความเป็นไปได้ (Plausible)ว่าโมเดลจักรวาลแบบเกิดดับสลับไป CCC ไม่ได้ขัดแย้ง และ”อาจจะ” ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงผ่านการศึกษา Cosmic Background Microwave (CMB) บางอย่างได้
แต่ถ้ากัปที่แล้วมีจริงตามโมเดล CCC มันก็คงเป็นเรื่องน่าสนุกที่เราจะแต่งนิยายการผจญอวกาศ แทนที่เราจะคิดแค่การเดินทางผ่านดาราจักร ยึดครองกาแลคซี่ บางที มันอาจมีมนุษย์ต่างดาวที่ทราบถึงกลไกการกำเนิดและดับสูญของกัปกัลป์ และสร้างยานดาราขึ้นเป็นประเทศ เป็นอาณาจักร เพื่อเดินทางมุ่งหน้าเข้าจุดศูนย์กลางของ Big Bang เข้าแวะพักเก็บเกี่ยวทรัพยากรในกาแลคซี่รายทางด้วยการเข้าวงโคจรกับหลุมดำใจกลางกาแลคซี่ ในช่วงปลายกัปมันจะต้องรักษาความเร็วใกล้แสงเพื่อให้เวลาในยานเสมือนหยุดนิ่งจนสามารถข้ามกัปที่ระยะเวลา 10
99 ปี โดยที่วัสดุของยานไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจาก Baryon decay ก่อนจะชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าสู่กัปต่อไป
อ้างอิง
[1] https://www.sciencealert.com/penrose-b-mode-hawking-points-sign-previous-universe-in-conformal-cyclic-cosmology
[2] https://arxiv.org/ftp/arxiv/papers/1011/1011.3706.pdf
[3] https://arxiv.org/pdf/1012.1268.pdf
[4] https://arxiv.org/pdf/1808.01740.pdf
Conformal Cyclic Cosmology (CCC) ปฏิบัติการตามหากัปที่แล้ว
Eon – Aeon เป็นระยะเวลาอันยาวนาน เทียบได้กับ กัป ในศาสนาพุทธ ที่นับเวาตั้งแต่เริ่มต้นถึงจุดจบของเอกภพ ในโมเดลจักรวาลแต่เดิม เชื่อกันว่า ถ้าค่า Density Parameter ของจักรวาล (โอเมก้า) มากกว่า 1 สุดท้ายจักรวาลจะหดตัวเข้าสู่ช่วง Big Crunch ถ้าค่า Density Parameter ของจักรวาลน้อยกว่า 1 จักรวาลจะขยายตัวไปเรื่อยๆจนจบลงที่ Heat Death ซึ่ง และถ้าค่า Density Parameter =1 จักรวาลจะยังขยายตัวแต่จะช้าลงตามเวลา แต่มันจะไม่มีแรงพอที่จะดึงกาแลคซี่ต่างๆกลับลงมาเป็น Big Crunch ค่า Density Parameter ของจักรวาลของเรามีค่าใกล้ 1 มากๆ แต่ถึงกระนั้น จักรวาลก็ยังขยายตัวด้วยความเร่ง ตรงนี้อาจเป็นผลจาก Dark Energy และ ในมุมมองของนักฟิสิกส์ การที่จักรวาลขยายตัวด้วยความเร่ง จุดจบของจักรวาลแบบ Big Crunch นั้นเป็นไปไม่ได้
อนึ่ง เพื่อให้การถกเถียงเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ ต้องขอร้องชาวศาสนาว่า อย่าคอมเม้นต์ "อจินไตย" หรือโพสอ้างพระสูตรใดๆในกระทู้นี้ กระทู้นี้ ไม่ได้แทกห้องศาสนา และคำว่ากัป ผมเอามาใช้แค่เพราะเป็นคำไทยที่ใกล้เคียงกับคำว่า Eon ที่สุดเท่านั้นครับ
สำหรับความเชื่อของศาสนาพุทธ จักรวาลจะมีการเกิด ดับ และเกิดใหม่ วนเป็นวงจร การที่จักรวาลมีการขยายตัวด้วยความเร่ง โมเดลการเกิดและดับของจักรวาลในลักษณะของจักรวาลปิด (Big Bang -> Big Crunch -> Big Bang …) ก็ต้องถือว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ ศาสตราจารย์กิตติคุณ โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) เห็นว่า การเกิดและดับของจักรวาล อาจมีลักษณะเป็นวงจรได้ในอีกรูปแบบ โดย เพนโรส เชื่อว่าจักรวาล มีการเกิดอย่างต่อเนื่อง จาก Big Bang อวกาศที่เกิดขึ้นก่อเกิดมวลสาร ขยายตัว ดึงดูด กลายเป็นหยดดาว เผาไหม้ด้วยปฏิกิริยานิวเคลียร์ กลายเป็นหลุมดำ และสูญเสียไปกับ Hawking Radiation แล้วมันก็เกิด Big bang ขึ้นใหม่[1] และเพราะในโมเดล CCC มันไม่มีขอบเขตอะไรกั้นการเดินทางผ่านระหว่างกัป ในโมเดลของเพนโรส เราจึงควรจะสามารถพบเห็นเศษซากของกัปที่แล้วจาก Big bang ครั้งก่อน อยู่ในพื้นหลัง Cosmic Microwave Background
Conformal Cyclic Cosmology (CCC) ซากของเอกภพร้างจากกัปก่อน
จุดจบของเอกภพ เมื่อเวลาผ่านไป มวลสาร ดวงดาวต่างๆจะถูกดึงดูดด้วยแรงโน้มถ่วงและกลายเป็นหลุมดำ และเมื่อเวลาผ่านไปอีก หลุมดำก็จะระเหยผ่านกระบวนการ Hawking radiation เหลือเพียงโฟตอน และกราวิตอน ซึ่งสิ่งที่เดินทางด้วยความเร็วแสงจะไม่สัมผัสถึงเวลา จักรวาลที่ไม่มีเวลาจะคล้ายกับสภาพเริ่มต้นของเอกภพ และ เพนโรส เชื่อว่า มันจะเริ่มเกิด Big Bang ใหม่
แล้วมันจะมีอะไรเหลือเป็นหลักฐานให้เราสังเกตได้ล่ะ?
แม้ว่าสสาร หรือหลุมดำแห่งกัปที่แล้วจะไม่เหลืออยู่ ไม่มีแม้แต่คลื่นแรงโน้มถ่วง แต่พลังงานที่คายออกจากการระเหยของหลุมดำจะยังคงหลงเหลือซ่อนอยู่ใน Cosmic Microwave Background
พลังงานพื้นฐานที่เหลือนี้ คือซากที่เพนโรสค้นหา เรียกว่า Hawking Point โดยเป็นจุดที่มีการหมุนวนของ CMB ที่เกิดการ Polarization เพราะการมีอยู่ของสิ่งตกค้างจากเอกภพที่แล้ว [2]
สำหรับปรากฎการณ์ Polarization ของ CMB ยังเป็นเรื่องใหม่ที่ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ และในวงการวิทยาศาสตร์กระแสหลัก ก็เชื่อว่ามันเกิดจากกระบวนการเลนส์แรงโน้มถ่วง หรือจากคลื่นแรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของเอกภพที่มีการขยายตัวเร็วมาก เหล่านักวิทยาศาสตร์ย่อมแย้งสมมุติฐานของเพนโรส ที่เล่นของข้ามช็อตไปที่สาเหตุการ Polarization จากกัปที่แล้ว และจากการทดลองจำลองโมเดลการกระจัดจาก CMB ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองซ้ำบ่งชี้ว่า ค่าการ Simulation ของพวกเขาไม่ต่างจากการกระจัดของการ Polarization ของ CMB จริง และมันคงเป็นเรื่องแปลกที่จะเชื่อว่า Simulation ที่ได้ค่าการจำลองใกล้เคียงสิ่งที่มีอยู่จริงจะผิด [3]
แต่ เพนโรส ก็ไม่ยอมหยุดเพราะคำโต้แย้งนี้ เขาได้นำเสนอบทความทางวิชาการที่ใช้การกระจัดของอุณหภูมิพื้นหลัง CMB โดยเทียบกับแบบจำลอง CMB มาตรฐาน คราวนี้ เขาจำลองลึกลงไปถึงระดับความชันของการกระจัดพื้นหลังอุณหภูมิ ไม่ใช่แค่วัดเป็นค่าการกระจายทางสถิติกับค่าเฉลี่ยของ CMB แบบตอนแรก
Conformal Cyclic Cosmology (CCC) ซากของกัปที่แล้วในระดับของอุณหภูมิ CMB
ถ้าหากว่า กัปที่แล้วมีจริง ตามโมเดล CCC การมีอยู่ของโฟตอนและนิวตริโนที่หลงเหลือจากการแผ่รังสีฮอว์กิ้งจากกัปที่แล้ว มันจะเป็นตัวทำให้ Dark matter ของกัปต่อมา ร้อนขึ้น และพลังงานนี้จะกระจายแผ่ออกในลักษณะ Gaussian Distribution ซึ่งเป็นที่มาของ Hawking point[4]
ตามความเห็นของผมที่ไปค้นงานวิจัยมาแกะ มันเหมือนกับเพนโรสจะบอกว่า เอกภพที่เกิดใหม่จะขยายตัวอย่างรวดเร็วและการมีอนุภาคที่มีโมเมนตั้มจากกัปที่แล้วอยู่มันทำให้เกิดสภาพคล้ายการบีบอัดของก๊าซ และเมื่อกระจายตัวออกจะมีการลดลงของอุณหภูมิเกิดเป็นวง Hawking point และ รูปแบบของวง Hawking Point จะมีการไล่ระดับอุณหภูมิจากวงด้านในถึงวงด้านนอกจะสูงกว่าการ Polarization เป็นวงด้วยสาเหตุอื่น (แต่ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรเพราะคำอธิบายทางฟิสิกส์มันก็โหดมาก ก็เอาไว้ประมาณนี้ก่อนละ)
ในกรณีของ Hawking point เพนโรส เลือกพื้นที่ๆเห็นวงการกระจัดเป็นวงกลมชัดเจน และทำการจำลอง Temperature gradient ระดับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมินับจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งเพนโรสบ่งชี้ว่า การเปลี่ยนของระดับอุณหภูมิจาก Hawking Point มีระดับการเปลี่ยนแปลงสูงกว่าแบบจำลองตามโมเดลจักรวาลปัจจุบัน (คงเป็นเพราะมีการบีบอัดจากแสงและนิวตริโนจากกัปที่แล้ว)
เนื่องจากบทความของเพนโรส รอบล่าสุดนี้เพิ่งออกมาอุ่นๆเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2561 นี่เอง จึงยังไม่เห็นการ Comment โต้แย้งจากอีกฝั่ง สงครามระหว่างโมเดลจักรวาลแบบเกิดแล้วดับ กับเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังต้องฟาดฟันกันต่อไป
โดยสรุป
ในส่วนสุดท้ายของเรื่อง เรามาพูดถึงเรื่อง ความเชื่อ สมมุติฐาน และ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์
ในทางวิทยาศาสตร์ การอธิบายปรากฎการณ์ได้เป็นแค่จุดเริ่มต้น เมื่อคำอธิบายนั้นสามารถนำมาใช้ได้เป็นสากลไม่มีข้อยกเว้นยุ่บยั่บ มันถึงจะเริ่มเข้าเค้ามาเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ต้องพิสูจน์ได้ และทำนายผลได้ และคำอธิบายที่เรียบง่ายกว่า มีข้อยกเว้นน้อยกว่า ทำนายได้กว้างกว่า ย่อมจะถือเป็นทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ ในบทความที่เพนโรสเขียน การทดลองของเขา อยู่ในระดับของการบ่งชี้แค่ว่า Hawking Point (H) ในภาพ CMB มีสมบัติที่แตกต่างจากการเกิด Polarization ด้วยกลไกอื่นๆที่เรารู้ ดังนั้น การค้นพบกัปที่แล้วของเพนโรส อิงตามคำพูดของเพนโรสก็คือ แค่ระดับของความเป็นไปได้ (Plausible)ว่าโมเดลจักรวาลแบบเกิดดับสลับไป CCC ไม่ได้ขัดแย้ง และ”อาจจะ” ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงผ่านการศึกษา Cosmic Background Microwave (CMB) บางอย่างได้
แต่ถ้ากัปที่แล้วมีจริงตามโมเดล CCC มันก็คงเป็นเรื่องน่าสนุกที่เราจะแต่งนิยายการผจญอวกาศ แทนที่เราจะคิดแค่การเดินทางผ่านดาราจักร ยึดครองกาแลคซี่ บางที มันอาจมีมนุษย์ต่างดาวที่ทราบถึงกลไกการกำเนิดและดับสูญของกัปกัลป์ และสร้างยานดาราขึ้นเป็นประเทศ เป็นอาณาจักร เพื่อเดินทางมุ่งหน้าเข้าจุดศูนย์กลางของ Big Bang เข้าแวะพักเก็บเกี่ยวทรัพยากรในกาแลคซี่รายทางด้วยการเข้าวงโคจรกับหลุมดำใจกลางกาแลคซี่ ในช่วงปลายกัปมันจะต้องรักษาความเร็วใกล้แสงเพื่อให้เวลาในยานเสมือนหยุดนิ่งจนสามารถข้ามกัปที่ระยะเวลา 1099 ปี โดยที่วัสดุของยานไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาจาก Baryon decay ก่อนจะชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าสู่กัปต่อไป
อ้างอิง
[1] https://www.sciencealert.com/penrose-b-mode-hawking-points-sign-previous-universe-in-conformal-cyclic-cosmology
[2] https://arxiv.org/ftp/arxiv/papers/1011/1011.3706.pdf
[3] https://arxiv.org/pdf/1012.1268.pdf
[4] https://arxiv.org/pdf/1808.01740.pdf