ประตูที่ปิดตาย
อากาศอบอ้าวในเวลาเที่ยงวันส่งผลให้เนื้อตัวและเสื้อผ้าของใครก็ตามที่กำลังเดินอยู่ภายใต้เปลวระอุของดวงอาทิตย์ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลังเดินเท้าตามถนนส่วนบุคคลซึ่งเป็นถนนดินเส้นแคบๆ มาระยะหนึ่งวิชัยก็มาหยุดตัวเองอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง
สายตากวาดมองไปทั่ว ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่มีแม้กระทั่งผู้ดูแล บ้านหลังนี้ถูกปล่อยให้ร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่เขายังเด็ก มันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเนื้อที่กินอาณาเขตกว้างขวางที่ดูจะแปลกแยกออกจากชุมชนรอบๆ
จนถึงบัดนี้ที่เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ความเจริญเดินทางมาถึงชุมชนแห่งนี้แล้ว แต่ที่นี่ก็ยังเหมือนเดิมราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง นานจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงว่าเขาเคยอยู่ที่นี่ หลังจากย้ายออกไปเขาก็ไม่เคยกลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกเลย
บ้านหลังนี้เป็นมรดกเพียงชิ้นเดียวของพ่อ เป็นบ้านที่ทุกคนในครอบครัวเคยอาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันเป็นสถานที่ที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น ภาพวันเวลาเปี่ยมสุขเหล่านั้นคล้ายติดแน่นในความทรงจำ หากแต่บางทีมันก็กลับดูเลือนรางอย่างน่าประหลาดเมื่อเขาพยายามนึกรายละเอียดเหล่านั้นให้ออก
วิชัยปลดแม่กุญแจออก สนิมที่เกาะกินทำให้สลักติดแน่นจนต้องออกแรงกระชากสองสามที รั้วบ้านก็มีสภาพไม่ต่างกัน มันผุพังจนไม่หลงเหลือร่องรอยของสีฟ้าสดใสที่เคยทาทับไว้ วัชพืชนานาพันธุ์เจริญงอกงามจับจองจนเต็มพื้นที่ในรั้วจนแน่น
เมื่อก่อนประตูรั้วบานนี้เคยปิดกั้นไม่ให้เขาออกไปวิ่งซุกซนนอกบ้าน เขาเคยพยายามหนีไปเล่นข้างนอกโดยการปีนรั้วจนถูกตีเมื่อพ่อจับได้ ภาพเด็กตัวน้อยในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงกีฬาขาสั้นถูกพ่อจับท่อนแขนไว้และหวดด้วยไม้เรียวในมโนภาพปรากฏขึ้นหน้าประตูรั้ว
พ่อ...ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึงขังเสมอ
เขากลัวพ่อ อาจจะเป็นเพราะความทรงจำในวัยเด็ก รอยยับย่นบนใบหน้า สีหน้าจริงจังที่ไม่เคยปรากฏรอยยิ้มให้เห็น ท่านไม่เคยเล่นหัวหรือช่วยกันทำกิจกรรมอะไรร่วมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวจบจนวันสุดท้ายของชีวิตท่าน พ่อที่ติดฝังอยู่ในความคิดของเขานั้นจึงเป็นคนน่ากลัว น่ากลัวจนทำให้บางครั้งเขาไม่อยากนึกถึง เขาเกลียดแววตาและท่าทางแบบนั้นของท่าน
เมื่อก้าวข้ามผ่านเข้ามาในอาณาเขตรั้วบ้าน อากาศเย็นจากความร่มครึ้มก็แผ่มากระทบผิวกาย ต้นมะม่วงต้นนี้ เมื่อก่อนมันเคยออกผลเต็มต้นจากการเอาใจใส่ดูแลของคนในบ้าน ภาพเด็กชายวิชัยกำลังปีนลำต้น ขึ้นกิ่งนั้นเกาะกิ่งนี้เพื่อเก็บเอาผลมะม่วงไปให้แม่ทำน้ำปลาหวานปรากฏขึ้นเป็นภาพจางๆ ซ้อนทับกับต้นมะม่วงตรงหน้า
ที่ใต้ต้นมะม่วงตรงนั้น ภาพรางๆ ของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา แม้ไม่ชัดเจนแต่เขาก็รู้ว่านั่นคือแม่ นางเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม อ้อมกอดที่อบอุ่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขานึกถึงเสมอ นางกำลังยืนรออยู่ที่ตรงนั้นเพื่อรับลูกมะม่วงจากเขา
และ...อะไรนะ
เขานึกไม่ออกว่าเรื่องราวต่อจากนี้เป็นอย่างไร และยิ่งนึกไม่ออกเมื่อพยายามทำให้บุคคลในมโนภาพเด่นชัดกว่านี้ แม่จากเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก เขาเด็กเกินกว่าจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจน รู้จากพ่อเพียงว่านางจากไปเพราะอาการหัวใจวาย
วิชัยเดินต่อมายังประตูบ้าน มันทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี ดังนั้น จึงยังรอดพ้นจากการกัดแทะของฝูงปลวก มือลูบบานประตู ฝุ่นหนาที่ฉาบตัวอยู่ร่วงกราวอย่างไร้แรงต่อต้าน เขาสอดลูกกุญแจเพื่อปลดล็อคแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องเอาไว้อย่างแน่นหนา
ในอดีตพ่อเป็นผู้ลงกลอนประตูและคล้องกุญแจตัวนี้ ภาพแผ่นหลังของท่านและกระเป๋าสัมภาระวางระเกะระกะเต็มหน้าประตูไปหมดผุดขึ้นมาในความทรงจำ เมื่อก่อนมันเคยเป็นบานประตูที่ดูทรงพลังและเคร่งขรึมอย่างน่าประหลาด บานที่เป็นมันเงาจากการขัดถูแลดูใหญ่โตเหลือประมาณในความรู้สึกของเด็กน้อย เขาเคยรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอเวลาได้รับการปกป้องอยู่หลังประตูบานนี้
คล้ายกับมันจะช่วยปิดกั้นความมืดมิดภายนอกออกจากแสงสว่างภายในตัวบ้าน มันเป็นประตูที่แบ่งแยกความอบอุ่นและความเปล่าเปลี่ยวหนาวเหน็บให้ออกจากกันอย่างชัดเจน ทว่าบัดนี้มันกลับกลายเป็นเพียงบานไม้เก่าๆ ที่ไร้ซึ่งความเงางามและความทรงอำนาจหลงเหลืออยู่
วิชัยปลดกลอนทั้งหมด ผลักบานประตูให้เปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นจนแสบแก้วหู ข้าวของในบ้านยังคงอยู่ที่เก่าเพียงแต่ตอนนี้มันผุพังไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกอย่างในนี้ดูทรุดโทรมเหลือกำลังไม่ต่างจากสภาพที่เห็นภายนอก หยากไย่ กลิ่นอับชื้นปกคลุมอยู่ทั่วจนทำให้รู้สึกอึดอัด
แสงจากภายนอกแทรกตัวผ่านมาตามช่องหน้าต่างขุ่นมัวจากฝุ่นหนาเตอะและตามรอยแตกบริเวณฝาผนัง รอยรองเท้าถูกประทับไว้บนพื้นหินขัดในแต่ละฝีก้าวที่เคลื่อนตัวผ่านไป
พ่อเคยใช้ม้านั่งไม้ตรงนั้นเป็นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ทุกเช้า ที่นั่น ในห้องครัว ภาพรางๆ ของแม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเย็นแสนอร่อย ที่หน้าจอโทรทัศน์ขนาดสิบสี่นิ้ว เด็กชายสองคนกำลังเพลิดเพลินไปกับภาพการ์ตูนและกำลังเล่นหัวกันอยู่อย่างสนุกสนาน
บนโซฟานุ่มตัวนั้น เด็กชายวิชัยและ...
เอ๊ะ...เขา...เขากับใคร
ภาพในหัวที่ปรากฏขึ้นนั้น เขากำลังอยู่กับเด็กอีกคน เด็กคนนั้นคือใคร วิชัยรู้สึกว่าเขากำลังจะนึกเรื่องๆ หนึ่งออก มันคล้ายจะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่เขาเคยลืมมันไป สายตามองไล่ไปยังบันไดไม้ นั่นเป็นทางขึ้นลงเพียงทางเดียวของบ้านหลังนี้
เด็กทั้งสองในห้วงความคิดกำลังวิ่งเล่นขึ้นลงอยู่ตรงนั้น เด็กชายวิชัยวิ่งนำหน้าขึ้นไปในขณะที่เด็กอีกคนวิ่งตามกันไปติดๆ เสียงดุเสียงเตือนของพ่อดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ได้ทำให้เด็กทั้งสองหยุด พวกเขาวิ่งต่อไปยังชั้นบน
วิชัยก้าวช้าๆ ตามเด็กในมโนภาพขึ้นไป บางครั้งบางเสี้ยววินาทีดูเหมือนภาพตรงหน้าจะสว่างไสวขึ้นคล้ายกับภาพเหล่านั้นเด่นชัดและกำลังไหลพรั่งพรูแทรกมิติแห่งกาลเวลากลับมาอยู่ตรงหน้า แต่บางครั้งภาพก็กลับมืดมัวลงคล้ายความทรงจำทั้งหมดจะดับวูบไป
เส้นเลือดบริเวณขมับบีบตัวตุ้บๆ เขายกมือขึ้นคลึงเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการและหวังว่ามันจะช่วยให้เขานึกอะไรออกมาได้มากกว่านี้ ชั้นบนมีสามห้อง ห้องทั้งสามเรียงตัวกันเป็นแนวเดียวกับระเบียง ห้องของพ่อแม่อยู่ใกล้บันได ตรงกลางเป็นห้องของเขา
แล้วอีกห้องล่ะ สุดระเบียงเป็นห้องของใคร
ภาพตัดสลับไปมาในหัวจนทำให้วิชัยไม่สามารถแยกแยะเนื้อความในนั้นได้อย่างชัดเจน เขาพาตัวเองที่เริ่มมีอาการปวดหัวหนักขึ้นให้มาหยุดอยู่หน้าห้องที่สุดระเบียง ห้องนี้ไม่อยู่ในความทรงจำของเขา มันดูไม่คุ้นเคยทั้งๆ ที่ก็เป็นห้องหนึ่งในบ้านหลังนี้ วิชัยเอื้อมมือเปิดประตูห้อง ลูกบิดส่งผ่านความเย็นเยียบมาสู่มือ
หลังประตูบานนี้มีอะไร
เขาพยายามนึก รู้สึกถึงความน่ากลัวอะไรบางอย่างหลังบานประตู ขนทั่วกายพร้อมใจกันตั้งชัน แล้วบานประตูก็เปิดแง้มออก ในห้องมีตู้ไม้ขนาดย่อมสภาพคร่ำคร่า เตียงนอนเล็กๆ คลุมด้วยผ้าลายการ์ตูนที่เขารู้จักดี อีกมุมเป็นชั้นหนังสือที่ตอนนี้แต่ละเล่มผุเปื่อยจนไม่สามารถอ่านได้อีกแล้ว
ใจเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ เขากำลังจะนึกอะไรออก ทั้งๆ ที่ห้องนี้ไม่อยู่ในความทรงจำ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง มันเป็นความคุ้นเคย ใช่ เขารู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี้มากๆ ฉับพลันภาพแบบเดียวกันทว่าใหม่กว่าเด่นชัดซ้อนทับขึ้นมากับภาพตรงหน้า สิ่งต่างๆ ในห้องนี้ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ภาพที่อยู่ในก้นบึ้งแห่งความทรงจำค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
เด็กชายสองคนเด้งตัวไปมาบนเตียงนอน เด็กคนหนึ่งหยิบหนังสือการ์ตูนมาอ่านให้เด็กอีกคนหนึ่งฟัง เสียงหัวเราะอย่างสดใสร่าเริงของทั้งสองดังแว่วผ่านกาลเวลามา ภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่นซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คนปรากฏขึ้น ช่างเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความรักจากพ่อและแม่
พ่อที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าภาพสุดท้ายที่ได้เห็นมาก บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้มและความอารีย์ ท่านชอบเล่นหัวและเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ลูกทั้งสองฟังเสมอ และแม่ที่ทำหน้าที่เป็นแม่และแม่บ้านของบ้านหลังนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
วิชัยออกจากห้องสุดระเบียงด้วยความงุนงง และเข้าไปในห้องของพ่อแม่ที่หน้าบันได ห้องนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพียงทว่าเมื่อสังเกตดีๆ บนเตียงขนาดใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขาวสะอาดกลับมีคราบสกปรกสีขุ่นแห้งเกรอะกรังเป็นวงกว้างเปื้อนอยู่
โสตประสาทได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากชั้นล่างอีกครั้ง เสียงตึงตังจากเด็กทั้งสองดังไล่ตามขั้นบันไดขึ้นมา เสียงพ่อดุมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ไม่ได้ทำให้สองพี่น้องหยุด ทั้งคู่วิ่งเข้ามาในห้องและผ่านตัวของวิชัยไป สีหน้ายิ้มแย้ม เสียงหัวเราะดังกังวาลไปทั่วบ้าน
ทั้งคู่กระโดดขึ้นเตียง เล่นต่อสู้กันอยู่พักหนึ่งก่อนจะช่วยกันรื้อค้นห้องของพ่อแม่ น้องหยิบวัตถุสีดำเป็นมันเงาที่มีผิวสัมผัสเย็นเยียบออกมาจากลิ้นชักก่อนจะจ่อปลายกระบอกไปยังพี่ชาย ทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างสนุกสนานกับของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งค้นพบในห้องพ่อ
วิชัยมองเด็กทั้งสองตรงหน้า ความเย็นแผ่ซ่านไปตามไขสันหลังจนเย็นเฉียบถึงสมอง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง รับรู้ได้ทันทีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“อย่า....”
เขาตะโกนอย่างลืมตัวโดยลืมนึกไปว่ามันคือภาพในอดีต ทั้งหมดที่กำลังเห็นเป็นภาพจากความทรงจำของเขาเอง
และ
เปรี้ยง...งงง
พี่ชายล้มลงแน่นิ่งไป ของเหลวสีแดงข้นไหลทะลักออกมา น้องชายตาค้าง ตัวสั่นเทา ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก แม่และพ่อวิ่งตามเสียงสนั่นขึ้นมาดู น้องชายหันกลับไปมองท่านทั้งสองด้วยน้ำตานองหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและหวาดหวั่น
พ่อวิ่งไปหาพี่ชายที่กำลังนอนนิ่งอยู่
แม้ล้มฟุบลงกับพื้น
พ่อหันมามองแม่
เสียงเอะอะโกลาหลดังไปทั่ว
หลังจากนั้นวิชัยก็เหมือนกับจะลืมอะไรบางอย่างไปจนหมดสิ้น เขาจำได้เพียงแผ่นหลังของพ่อที่กำลังลงกลอนประตูไม้ สัมภาระวางกองอยู่เต็มไปหมด ท่านหันกลับมาพูดอะไรบางอย่างและจูงมือเขาออกจากบ้านไป
นับจากนั้นพ่อก็ไม่เคยมีรอยยิ้มให้เห็นอีก
ประตูที่ปิดตาย (เรื่องสั้นในกิจกรรมถุงมือนักเขียน)
อากาศอบอ้าวในเวลาเที่ยงวันส่งผลให้เนื้อตัวและเสื้อผ้าของใครก็ตามที่กำลังเดินอยู่ภายใต้เปลวระอุของดวงอาทิตย์ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หลังเดินเท้าตามถนนส่วนบุคคลซึ่งเป็นถนนดินเส้นแคบๆ มาระยะหนึ่งวิชัยก็มาหยุดตัวเองอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านหลังหนึ่ง
สายตากวาดมองไปทั่ว ไร้ผู้อยู่อาศัย ไม่มีแม้กระทั่งผู้ดูแล บ้านหลังนี้ถูกปล่อยให้ร้างมาเนิ่นนานตั้งแต่เขายังเด็ก มันเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเนื้อที่กินอาณาเขตกว้างขวางที่ดูจะแปลกแยกออกจากชุมชนรอบๆ
จนถึงบัดนี้ที่เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน ความเจริญเดินทางมาถึงชุมชนแห่งนี้แล้ว แต่ที่นี่ก็ยังเหมือนเดิมราวกับกาลเวลาหยุดนิ่ง นานจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้วว่าตั้งแต่เมื่อใด รู้เพียงว่าเขาเคยอยู่ที่นี่ หลังจากย้ายออกไปเขาก็ไม่เคยกลับมาเยือนบ้านหลังนี้อีกเลย
บ้านหลังนี้เป็นมรดกเพียงชิ้นเดียวของพ่อ เป็นบ้านที่ทุกคนในครอบครัวเคยอาศัยอยู่ร่วมกันเมื่อครั้งยังเยาว์วัย มันเป็นสถานที่ที่อัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้น ภาพวันเวลาเปี่ยมสุขเหล่านั้นคล้ายติดแน่นในความทรงจำ หากแต่บางทีมันก็กลับดูเลือนรางอย่างน่าประหลาดเมื่อเขาพยายามนึกรายละเอียดเหล่านั้นให้ออก
วิชัยปลดแม่กุญแจออก สนิมที่เกาะกินทำให้สลักติดแน่นจนต้องออกแรงกระชากสองสามที รั้วบ้านก็มีสภาพไม่ต่างกัน มันผุพังจนไม่หลงเหลือร่องรอยของสีฟ้าสดใสที่เคยทาทับไว้ วัชพืชนานาพันธุ์เจริญงอกงามจับจองจนเต็มพื้นที่ในรั้วจนแน่น
เมื่อก่อนประตูรั้วบานนี้เคยปิดกั้นไม่ให้เขาออกไปวิ่งซุกซนนอกบ้าน เขาเคยพยายามหนีไปเล่นข้างนอกโดยการปีนรั้วจนถูกตีเมื่อพ่อจับได้ ภาพเด็กตัวน้อยในชุดเสื้อกล้ามสีขาวกางเกงกีฬาขาสั้นถูกพ่อจับท่อนแขนไว้และหวดด้วยไม้เรียวในมโนภาพปรากฏขึ้นหน้าประตูรั้ว
พ่อ...ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมขึงขังเสมอ
เขากลัวพ่อ อาจจะเป็นเพราะความทรงจำในวัยเด็ก รอยยับย่นบนใบหน้า สีหน้าจริงจังที่ไม่เคยปรากฏรอยยิ้มให้เห็น ท่านไม่เคยเล่นหัวหรือช่วยกันทำกิจกรรมอะไรร่วมกันเลยแม้แต่ครั้งเดียวจบจนวันสุดท้ายของชีวิตท่าน พ่อที่ติดฝังอยู่ในความคิดของเขานั้นจึงเป็นคนน่ากลัว น่ากลัวจนทำให้บางครั้งเขาไม่อยากนึกถึง เขาเกลียดแววตาและท่าทางแบบนั้นของท่าน
เมื่อก้าวข้ามผ่านเข้ามาในอาณาเขตรั้วบ้าน อากาศเย็นจากความร่มครึ้มก็แผ่มากระทบผิวกาย ต้นมะม่วงต้นนี้ เมื่อก่อนมันเคยออกผลเต็มต้นจากการเอาใจใส่ดูแลของคนในบ้าน ภาพเด็กชายวิชัยกำลังปีนลำต้น ขึ้นกิ่งนั้นเกาะกิ่งนี้เพื่อเก็บเอาผลมะม่วงไปให้แม่ทำน้ำปลาหวานปรากฏขึ้นเป็นภาพจางๆ ซ้อนทับกับต้นมะม่วงตรงหน้า
ที่ใต้ต้นมะม่วงตรงนั้น ภาพรางๆ ของใครคนหนึ่งผุดขึ้นมา แม้ไม่ชัดเจนแต่เขาก็รู้ว่านั่นคือแม่ นางเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม อ้อมกอดที่อบอุ่นจะเป็นสิ่งแรกที่เขานึกถึงเสมอ นางกำลังยืนรออยู่ที่ตรงนั้นเพื่อรับลูกมะม่วงจากเขา
และ...อะไรนะ
เขานึกไม่ออกว่าเรื่องราวต่อจากนี้เป็นอย่างไร และยิ่งนึกไม่ออกเมื่อพยายามทำให้บุคคลในมโนภาพเด่นชัดกว่านี้ แม่จากเขาไปตั้งแต่ยังเล็ก เขาเด็กเกินกว่าจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ชัดเจน รู้จากพ่อเพียงว่านางจากไปเพราะอาการหัวใจวาย
วิชัยเดินต่อมายังประตูบ้าน มันทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี ดังนั้น จึงยังรอดพ้นจากการกัดแทะของฝูงปลวก มือลูบบานประตู ฝุ่นหนาที่ฉาบตัวอยู่ร่วงกราวอย่างไร้แรงต่อต้าน เขาสอดลูกกุญแจเพื่อปลดล็อคแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องเอาไว้อย่างแน่นหนา
ในอดีตพ่อเป็นผู้ลงกลอนประตูและคล้องกุญแจตัวนี้ ภาพแผ่นหลังของท่านและกระเป๋าสัมภาระวางระเกะระกะเต็มหน้าประตูไปหมดผุดขึ้นมาในความทรงจำ เมื่อก่อนมันเคยเป็นบานประตูที่ดูทรงพลังและเคร่งขรึมอย่างน่าประหลาด บานที่เป็นมันเงาจากการขัดถูแลดูใหญ่โตเหลือประมาณในความรู้สึกของเด็กน้อย เขาเคยรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอเวลาได้รับการปกป้องอยู่หลังประตูบานนี้
คล้ายกับมันจะช่วยปิดกั้นความมืดมิดภายนอกออกจากแสงสว่างภายในตัวบ้าน มันเป็นประตูที่แบ่งแยกความอบอุ่นและความเปล่าเปลี่ยวหนาวเหน็บให้ออกจากกันอย่างชัดเจน ทว่าบัดนี้มันกลับกลายเป็นเพียงบานไม้เก่าๆ ที่ไร้ซึ่งความเงางามและความทรงอำนาจหลงเหลืออยู่
วิชัยปลดกลอนทั้งหมด ผลักบานประตูให้เปิดออก เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังลั่นจนแสบแก้วหู ข้าวของในบ้านยังคงอยู่ที่เก่าเพียงแต่ตอนนี้มันผุพังไปจนไม่เหลือเค้าเดิม ทุกอย่างในนี้ดูทรุดโทรมเหลือกำลังไม่ต่างจากสภาพที่เห็นภายนอก หยากไย่ กลิ่นอับชื้นปกคลุมอยู่ทั่วจนทำให้รู้สึกอึดอัด
แสงจากภายนอกแทรกตัวผ่านมาตามช่องหน้าต่างขุ่นมัวจากฝุ่นหนาเตอะและตามรอยแตกบริเวณฝาผนัง รอยรองเท้าถูกประทับไว้บนพื้นหินขัดในแต่ละฝีก้าวที่เคลื่อนตัวผ่านไป
พ่อเคยใช้ม้านั่งไม้ตรงนั้นเป็นที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ทุกเช้า ที่นั่น ในห้องครัว ภาพรางๆ ของแม่กำลังง่วนอยู่กับการเตรียมมื้อเย็นแสนอร่อย ที่หน้าจอโทรทัศน์ขนาดสิบสี่นิ้ว เด็กชายสองคนกำลังเพลิดเพลินไปกับภาพการ์ตูนและกำลังเล่นหัวกันอยู่อย่างสนุกสนาน
บนโซฟานุ่มตัวนั้น เด็กชายวิชัยและ...
เอ๊ะ...เขา...เขากับใคร
ภาพในหัวที่ปรากฏขึ้นนั้น เขากำลังอยู่กับเด็กอีกคน เด็กคนนั้นคือใคร วิชัยรู้สึกว่าเขากำลังจะนึกเรื่องๆ หนึ่งออก มันคล้ายจะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ที่เขาเคยลืมมันไป สายตามองไล่ไปยังบันไดไม้ นั่นเป็นทางขึ้นลงเพียงทางเดียวของบ้านหลังนี้
เด็กทั้งสองในห้วงความคิดกำลังวิ่งเล่นขึ้นลงอยู่ตรงนั้น เด็กชายวิชัยวิ่งนำหน้าขึ้นไปในขณะที่เด็กอีกคนวิ่งตามกันไปติดๆ เสียงดุเสียงเตือนของพ่อดังมาจากที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่ได้ทำให้เด็กทั้งสองหยุด พวกเขาวิ่งต่อไปยังชั้นบน
วิชัยก้าวช้าๆ ตามเด็กในมโนภาพขึ้นไป บางครั้งบางเสี้ยววินาทีดูเหมือนภาพตรงหน้าจะสว่างไสวขึ้นคล้ายกับภาพเหล่านั้นเด่นชัดและกำลังไหลพรั่งพรูแทรกมิติแห่งกาลเวลากลับมาอยู่ตรงหน้า แต่บางครั้งภาพก็กลับมืดมัวลงคล้ายความทรงจำทั้งหมดจะดับวูบไป
เส้นเลือดบริเวณขมับบีบตัวตุ้บๆ เขายกมือขึ้นคลึงเบาๆ เพื่อบรรเทาอาการและหวังว่ามันจะช่วยให้เขานึกอะไรออกมาได้มากกว่านี้ ชั้นบนมีสามห้อง ห้องทั้งสามเรียงตัวกันเป็นแนวเดียวกับระเบียง ห้องของพ่อแม่อยู่ใกล้บันได ตรงกลางเป็นห้องของเขา
แล้วอีกห้องล่ะ สุดระเบียงเป็นห้องของใคร
ภาพตัดสลับไปมาในหัวจนทำให้วิชัยไม่สามารถแยกแยะเนื้อความในนั้นได้อย่างชัดเจน เขาพาตัวเองที่เริ่มมีอาการปวดหัวหนักขึ้นให้มาหยุดอยู่หน้าห้องที่สุดระเบียง ห้องนี้ไม่อยู่ในความทรงจำของเขา มันดูไม่คุ้นเคยทั้งๆ ที่ก็เป็นห้องหนึ่งในบ้านหลังนี้ วิชัยเอื้อมมือเปิดประตูห้อง ลูกบิดส่งผ่านความเย็นเยียบมาสู่มือ
หลังประตูบานนี้มีอะไร
เขาพยายามนึก รู้สึกถึงความน่ากลัวอะไรบางอย่างหลังบานประตู ขนทั่วกายพร้อมใจกันตั้งชัน แล้วบานประตูก็เปิดแง้มออก ในห้องมีตู้ไม้ขนาดย่อมสภาพคร่ำคร่า เตียงนอนเล็กๆ คลุมด้วยผ้าลายการ์ตูนที่เขารู้จักดี อีกมุมเป็นชั้นหนังสือที่ตอนนี้แต่ละเล่มผุเปื่อยจนไม่สามารถอ่านได้อีกแล้ว
ใจเต้นรัวอย่างไม่รู้สาเหตุ เขากำลังจะนึกอะไรออก ทั้งๆ ที่ห้องนี้ไม่อยู่ในความทรงจำ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง มันเป็นความคุ้นเคย ใช่ เขารู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี้มากๆ ฉับพลันภาพแบบเดียวกันทว่าใหม่กว่าเด่นชัดซ้อนทับขึ้นมากับภาพตรงหน้า สิ่งต่างๆ ในห้องนี้ยังอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ภาพที่อยู่ในก้นบึ้งแห่งความทรงจำค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
เด็กชายสองคนเด้งตัวไปมาบนเตียงนอน เด็กคนหนึ่งหยิบหนังสือการ์ตูนมาอ่านให้เด็กอีกคนหนึ่งฟัง เสียงหัวเราะอย่างสดใสร่าเริงของทั้งสองดังแว่วผ่านกาลเวลามา ภาพครอบครัวอันแสนอบอุ่นซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสี่คนปรากฏขึ้น ช่างเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความรักจากพ่อและแม่
พ่อที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าภาพสุดท้ายที่ได้เห็นมาก บนใบหน้ามีแต่รอยยิ้มและความอารีย์ ท่านชอบเล่นหัวและเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ลูกทั้งสองฟังเสมอ และแม่ที่ทำหน้าที่เป็นแม่และแม่บ้านของบ้านหลังนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
วิชัยออกจากห้องสุดระเบียงด้วยความงุนงง และเข้าไปในห้องของพ่อแม่ที่หน้าบันได ห้องนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพียงทว่าเมื่อสังเกตดีๆ บนเตียงขนาดใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยขาวสะอาดกลับมีคราบสกปรกสีขุ่นแห้งเกรอะกรังเป็นวงกว้างเปื้อนอยู่
โสตประสาทได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากชั้นล่างอีกครั้ง เสียงตึงตังจากเด็กทั้งสองดังไล่ตามขั้นบันไดขึ้นมา เสียงพ่อดุมาจากที่ไหนสักแห่งแต่ไม่ได้ทำให้สองพี่น้องหยุด ทั้งคู่วิ่งเข้ามาในห้องและผ่านตัวของวิชัยไป สีหน้ายิ้มแย้ม เสียงหัวเราะดังกังวาลไปทั่วบ้าน
ทั้งคู่กระโดดขึ้นเตียง เล่นต่อสู้กันอยู่พักหนึ่งก่อนจะช่วยกันรื้อค้นห้องของพ่อแม่ น้องหยิบวัตถุสีดำเป็นมันเงาที่มีผิวสัมผัสเย็นเยียบออกมาจากลิ้นชักก่อนจะจ่อปลายกระบอกไปยังพี่ชาย ทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างสนุกสนานกับของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งค้นพบในห้องพ่อ
วิชัยมองเด็กทั้งสองตรงหน้า ความเย็นแผ่ซ่านไปตามไขสันหลังจนเย็นเฉียบถึงสมอง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าและแผ่นหลัง รับรู้ได้ทันทีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
“อย่า....”
เขาตะโกนอย่างลืมตัวโดยลืมนึกไปว่ามันคือภาพในอดีต ทั้งหมดที่กำลังเห็นเป็นภาพจากความทรงจำของเขาเอง
และ
เปรี้ยง...งงง
พี่ชายล้มลงแน่นิ่งไป ของเหลวสีแดงข้นไหลทะลักออกมา น้องชายตาค้าง ตัวสั่นเทา ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก แม่และพ่อวิ่งตามเสียงสนั่นขึ้นมาดู น้องชายหันกลับไปมองท่านทั้งสองด้วยน้ำตานองหน้า ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและหวาดหวั่น
พ่อวิ่งไปหาพี่ชายที่กำลังนอนนิ่งอยู่
แม้ล้มฟุบลงกับพื้น
พ่อหันมามองแม่
เสียงเอะอะโกลาหลดังไปทั่ว
หลังจากนั้นวิชัยก็เหมือนกับจะลืมอะไรบางอย่างไปจนหมดสิ้น เขาจำได้เพียงแผ่นหลังของพ่อที่กำลังลงกลอนประตูไม้ สัมภาระวางกองอยู่เต็มไปหมด ท่านหันกลับมาพูดอะไรบางอย่างและจูงมือเขาออกจากบ้านไป
นับจากนั้นพ่อก็ไม่เคยมีรอยยิ้มให้เห็นอีก