มีเรื่องเล่าวันนี้ สดๆ ร้อนๆ ค่ะ วันนี้มีธุระต้องส่งลูกสาวไปสอบที่โรงเรียนครึ่งวัน ไม่รู้จะไปรอไหน ก็เลยไปรอที่ห้างฯ และไปทำหน้า (เมโส ) ที่เพื่อนซื้อคอร์สไว้ แต่เพื่อนไม่ได้มา ให้เรามาทำแทน .. พอทำหน้าเสร็จ ก็เดินเตร่ไปเรื่อยๆ แต่ได้ยินเสียงกรี้ดแว่วมา และคนเดินผ่านบอกว่า ดารามาๆ (ปกติไม่ได้สนใจเท่าไหร่) แต่หูผึ่งเพราะเขาว่า ดาราคนนั้นคือ ณเดช โอ้ยย .. ตายๆ ขวัญใจ รักมาก รักที่สุด ในบรรดา ดาราทั้งหลายเลย ต้องไปเกาะขอบดูเป็นขวัญตา สักหน่อยเหอะ...
ตรงไปเลยค่ะ ชั้น G โซนตู้ปลา คนเต็มเลย เอาๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เขย่งขาสั้นๆ ดูไปกับเขา อ่อๆ ลูก..ณเดชของช้านน..ลูกมาร่วมงานเปิดสาขาใหม่ คลีนิคความงาม แห่งใหม่ในภาคเหนือ (เขาเรียกว่า คลีนิคหรือป่าว ไม่แน่ใจ แต่ก็คือ สถานที่ ที่เขา เสนอขายทำความงามให้กับใบหน้า น่ะ)
ชุ่มฉ่ำหัวใจแท้ๆ .. เห็นตัวเป็นๆ ละเว้ย.. 555... แต่เราก็มาถึงตอนใกล้จบงาน สักแป้บลูกชายก็ลงไปถ่ายรูป แล้วลูกชายก็จากไป...... พอลูกไป เราก็เดินออกไป อ้อมมาทางที่เขาจัดงาน ก็มีน้องๆ คนสวย ที่เขาทำหน้าที่ขายคอร์สความงามของคลีนิคนี้ให้กับคนทั่วไปอยู่ น้องเขามาทัก (คือตั้งใจแล้วว่า ไม่คิดจะซื้อ เพราะยังมีคอร์สเหลือกับที่อื่นๆ ไม่ได้ไปอีกเยอะ) แต่น้องเขาทักเรื่องตา ว่าพี่ไปทำทีไหนมาค่ะ อยากทำบ้าง บอกหน่อยสิคะ ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ... ไอ้เราก็ใจดี บอกน้องเขาไป คิดว่าจะช่วยให้ข้อมูลเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะให้เขาพาไปนั่งฟังหรอก แต่น้องเขาก็มีวิธีพูดนะ เขาบอกว่า ขอพี่ไปเซนต์ชื่อให้หนูหน่อย เซนต์เฉยๆ ไม่ต้องบอกเบอร์โทรอะไร ประมาณว่าน้องจะเอายอดคนที่มา (คิดเองนะคะ) ก็ สงสารน้องเขา ก็เลยไปเขียนให้เขา แล้วก็คงเดินออกไปที่อื่นต่อ...
แต่น้องเขาก็ถาม... โน่นนี่นั่น... แบบกันเอง...เราก็ตกหลุมพราง...ก็ให้คำตอบไป บอกว่า เดินมาดู ณเดช เพราะชอบน้องเขามาก ถึงขั้นเอาไปตั้งชื่อหมาที่บ้านเลย (อันนี้รักจริงๆ นะคะ...หมาน้อยชิวาว่าเรา มันหล่อมาก ) เขาก็ติชมใบหน้าเหี่ยวๆ เหียกๆ ของเราไป ... ไม่ว่ากันค่ะ สี่สิบกว่าแล้ว เขาก็ถามไปว่า พี่อยากทำอะไรเกี่ยวกับใบหน้ามั้ย ก็บอกว่า มีสิ มีในใจอยู่ แต่เงินยังไม่มี ............เขาก็บอกว่า เดี๋ยวน้องให้ผู้จัดการน้องมาหานะคะ.... (อันนี้คงเพราะเราเปิดช่องให้เขาด้วย แต่เป็นคนพูดตรงๆ อ่ะค่ะ คิดอะไร ก็บอกไปตามนั้น ) หายแว้บ ไป สักพัก ก็มาพร้อมกับผู้จัดการเขา เขาก็แนะนำตัวว่า เขาเป็นผู้จัดการของคลีนิคเสริมความงามนี้ ประจำอยู่ที่สาขาทาง อีสาน แต่เป็นคนเหนือ พอดีมีงาน ก็มาช่วยกัน ตรงนี้ (สถานการณ์ทั่วไปคือ เสียงดัง คนเยอะ)
เขาชวนร้อยไหม ก็บอกว่าไม่เอาค่ะ เข็ดละ เขาก็หยุดไป ทีนี้ชวนทำฟิลเลอร์ ร่องแก้ม ที่เป็นปัญหาของเรา เราก็ฟังๆ ไป ( แต่คิดในใจไว้ ว่าไม่ซื้อแน่ๆ เรายังไม่พร้อม ตังค์ไม่มี แต่ก็นั่งฟังกับน้องเขาไป ) เขาก็พูดๆ บอกว่า ฟิลเลอร์ของน้อง แพงค่ะ ซีซีละ 25,000.- ของพี่ ต้องใช้ 2 ซีซี เป็น 50,000.- แต่ถ้าพี่ซื้อในงานวันนี้ น้องให้เหลือแค่ 35,000.-
คิดในใจ .. โอ้..แม่จ้าว ลดเยอะ ขนาดนี้เชียว และเราก็ปากเร็ว พูดออกไปว่า "เดี๋ยวน้องก็จะลดคุณภาพของพี่..ละสิ" ( ก็จาก 5 หมื่น เหลือ 3.5 หมื่น.. ไง.. ลดไป หมื่นห้า... )
พูดแค่เนี้ยะ.... แค่นี้จริงๆ มาเป็นชุดเลยค่ะ ... (เอาเท่าที่จำได้นะ อาจจะไม่เรียงประโยค) " พี่ดูถูกน้องเกินไปแล้ว น้องเป็นถึงผู้จัดการนะคะ บริษัทน้องก็ใหญ่โต ไม่ให้เกียรติ กันเลย ฯลฯ " ปากด่าเรานะคะ ด่าเรื่อยๆ ซ้ำๆ แต่ก็ยังมีใจพูดต่อ ว่า ถ้าพี่ซื้อวันนี้ ได้ราคานี้ น้องขอเป็นเคสตัวอย่าง (ไม่น่าจะใช้คำพูดนี้ แต่ฟังไม่ชัดค่ะ หูอื้อ โดนด่า 555 ) เราก็ใจดี ยิ้มอยู่นะ แล้วเขาก็ยังพูดแกมบังคับให้เราซื้อ ก็เลยพูดว่า "มันไม่เวิร์คหรอก" ( ก็แหม...ด่าเราปาวๆ แล้วเราจะจ่ายเงินให้ทำไม... ไม่บ้าก็โง่ ละ งานนี้ ) แล้วลุกขึ้นยืน เขาพูดว่า " พี่พูดไม่ให้เกียรติน้องเลย น้องเป็นถึงผู้จัดการนะคะ " (คือย้ำคำว่า ไม่ให้เกียรติ กับ เป็นผู้จัดการ หลายรอบมาก) เราก็เลยพูดไปว่า " พี่ก็แค่พูดไปแค่นี้เอง" และกะจะพูดต่อว่า ยังไงก็ขอ
โทษละกัน ถ้าน้องฟังไม่เข้าหู... แต่....พูดยังไม่จบประโยคค่ะ
เขาด่าสวนมาเลยค่ะ " มันไม่ควรพูด คิดไว้ในใจก็พอมั้ยคะ คำพูดแบบนี้ ฯลฯ ย้ำคำเดิม ว่าไม่ให้เกียรติ และเขาเป็นระดับผู้จัดการ" เราก็ยิ้มๆ แล้วก็ ขยับเก้าอี้หนี (คิดในใจค่ะ .. กูก็ระดับเจ้าของธุรกิจนะเว้ย ไม่ได้ขอกินเงินเดือนใคร) .....ยังไม่หยุดค่ะ " การพูดจาแบบนี้ มันส่อ!!!! และทำท่าบุ้ย ปาก ชี้ปาก มาทางเรา แต่ตอนนั้นเรา ลุกขึ้นยืนแล้วไง ได้ยินไม่ชัดละ แต่คำว่า มันส่อ!!! ก้องกังวานในหูเลยค่ะ เหมือน ท่าทางผู้จัดการ จะพูดซ้ำๆ ต่อ แล้วเราก็เดินหนี ออกมา แบบ งงๆ ...
มารู้ตัวก็เดินมาห้องน้ำของห้างฯ ละ เพิ่งคิดได้ เอ๊า... มันด่าถึงสกุลรุนชาติเลยนี่หว่า... แล้วมาคิดเจ็บใจ ทีหลัง ความรุ้สึกช้าจริงๆ ป้าเอ๊ยยยย!
นี่ล่ะ เลยมาขอ ระบาย ลงพันทิปปปปป..
อันนี้ เป็นความคิดเห็นนะ ว่า....จริงๆ มันมีคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าเราเจอคำพูดแบบนี้ เป็นเรา เราจะพูด ประมาณว่า "อุ้ยตายๆ คุณพี่ขา บริษัทของเราใหญ่โต ขนาดนี้ ไม่เอาชื่อเสียงไปแลกหรอกค่ะ คุณพี่อาจจะไปเจอ ไปฟังว่า มีที่อื่นทำแบบนี้ แต่ของเราไม่มีทางทำเด็ดขาดค่ะ เราแกะกล่องให้คุณพี่ดูต่อหน้าทุกครั้ง ทุกอย่าง แม้แต่เข็มฉีด ก็ไม่มีทำซ้ำกับใคร คุณพี่มั่นใจได้ค่ะ วันนี้เรามาเพื่อโปรโมท ยอมขายสินค้าขาดทุนเพื่อให้ได้ลูกค้า และติดใจในบริการของเรา จนไม่หนีไปทีอื่น คุณพี่มั่นใจได้เลยนะคะ.. ไม่มีหรอกค่ะ ลดคุณภง คุณภาพ"
แบบนี้ จบสวยกว่ามั้ย..พูดแบบนี้ เรานี่ จ่ายม้ดจำให้เลย อ้ะ...เชื่อสิ ต่อให้ไม่ได้พกตังค์ไป ก็จะไปกด เอทีเอ็มให้ เดี๋ยวนั้นเลย.. เราสายเปย์ อยู่ละ..
อีกอย่าง เรามองว่า ในเมื่อคุณ ทำงานด้านการขายบริการความงาม คุณต้องเจอกับผู้คนหลากหลาย ต่อวัน ต่อสัปดาห์ ต่อเดือน เป็นพันเป็นหมื่นคน คุณต้องรู้ว่า ผู้คนทุกคน แตกต่าง แล้ววุฒิภาวะระดับผู้จัดการสาขาสำหรับสงานด้านการขายบริการ ควรได้รับการฝึกฝนที่แข็งแรงมามากพอสมควร คุณถึงได้ตำแหน่งนี้ แต่ที่คุณทำกับเราในวันนี้ เราว่า ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้เลย ..ว่ามั้ย..
คิดบวกอีกที ... คำพูดนั้น ออกมาจากปากคุณ คุณก็รับมันไปละกัน เนาะ
อ่อ.. บทสรุปนี้คือ ความผิดของ ณเดช นะ เพราะ ณเดช ทำให้ป้าต้องไปดู เพราะป้าต้องไปดู ทำให้ป้าโดนด่า ยันบุพการี... เอื้อออกกก
โดนพนักงานขายคอร์สความงามด่า เพราะรักณเดช แท้ๆ เลยเรา!!
ตรงไปเลยค่ะ ชั้น G โซนตู้ปลา คนเต็มเลย เอาๆ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เขย่งขาสั้นๆ ดูไปกับเขา อ่อๆ ลูก..ณเดชของช้านน..ลูกมาร่วมงานเปิดสาขาใหม่ คลีนิคความงาม แห่งใหม่ในภาคเหนือ (เขาเรียกว่า คลีนิคหรือป่าว ไม่แน่ใจ แต่ก็คือ สถานที่ ที่เขา เสนอขายทำความงามให้กับใบหน้า น่ะ)
ชุ่มฉ่ำหัวใจแท้ๆ .. เห็นตัวเป็นๆ ละเว้ย.. 555... แต่เราก็มาถึงตอนใกล้จบงาน สักแป้บลูกชายก็ลงไปถ่ายรูป แล้วลูกชายก็จากไป...... พอลูกไป เราก็เดินออกไป อ้อมมาทางที่เขาจัดงาน ก็มีน้องๆ คนสวย ที่เขาทำหน้าที่ขายคอร์สความงามของคลีนิคนี้ให้กับคนทั่วไปอยู่ น้องเขามาทัก (คือตั้งใจแล้วว่า ไม่คิดจะซื้อ เพราะยังมีคอร์สเหลือกับที่อื่นๆ ไม่ได้ไปอีกเยอะ) แต่น้องเขาทักเรื่องตา ว่าพี่ไปทำทีไหนมาค่ะ อยากทำบ้าง บอกหน่อยสิคะ ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ... ไอ้เราก็ใจดี บอกน้องเขาไป คิดว่าจะช่วยให้ข้อมูลเฉยๆ ไม่ได้คิดว่าจะให้เขาพาไปนั่งฟังหรอก แต่น้องเขาก็มีวิธีพูดนะ เขาบอกว่า ขอพี่ไปเซนต์ชื่อให้หนูหน่อย เซนต์เฉยๆ ไม่ต้องบอกเบอร์โทรอะไร ประมาณว่าน้องจะเอายอดคนที่มา (คิดเองนะคะ) ก็ สงสารน้องเขา ก็เลยไปเขียนให้เขา แล้วก็คงเดินออกไปที่อื่นต่อ...
แต่น้องเขาก็ถาม... โน่นนี่นั่น... แบบกันเอง...เราก็ตกหลุมพราง...ก็ให้คำตอบไป บอกว่า เดินมาดู ณเดช เพราะชอบน้องเขามาก ถึงขั้นเอาไปตั้งชื่อหมาที่บ้านเลย (อันนี้รักจริงๆ นะคะ...หมาน้อยชิวาว่าเรา มันหล่อมาก ) เขาก็ติชมใบหน้าเหี่ยวๆ เหียกๆ ของเราไป ... ไม่ว่ากันค่ะ สี่สิบกว่าแล้ว เขาก็ถามไปว่า พี่อยากทำอะไรเกี่ยวกับใบหน้ามั้ย ก็บอกว่า มีสิ มีในใจอยู่ แต่เงินยังไม่มี ............เขาก็บอกว่า เดี๋ยวน้องให้ผู้จัดการน้องมาหานะคะ.... (อันนี้คงเพราะเราเปิดช่องให้เขาด้วย แต่เป็นคนพูดตรงๆ อ่ะค่ะ คิดอะไร ก็บอกไปตามนั้น ) หายแว้บ ไป สักพัก ก็มาพร้อมกับผู้จัดการเขา เขาก็แนะนำตัวว่า เขาเป็นผู้จัดการของคลีนิคเสริมความงามนี้ ประจำอยู่ที่สาขาทาง อีสาน แต่เป็นคนเหนือ พอดีมีงาน ก็มาช่วยกัน ตรงนี้ (สถานการณ์ทั่วไปคือ เสียงดัง คนเยอะ)
เขาชวนร้อยไหม ก็บอกว่าไม่เอาค่ะ เข็ดละ เขาก็หยุดไป ทีนี้ชวนทำฟิลเลอร์ ร่องแก้ม ที่เป็นปัญหาของเรา เราก็ฟังๆ ไป ( แต่คิดในใจไว้ ว่าไม่ซื้อแน่ๆ เรายังไม่พร้อม ตังค์ไม่มี แต่ก็นั่งฟังกับน้องเขาไป ) เขาก็พูดๆ บอกว่า ฟิลเลอร์ของน้อง แพงค่ะ ซีซีละ 25,000.- ของพี่ ต้องใช้ 2 ซีซี เป็น 50,000.- แต่ถ้าพี่ซื้อในงานวันนี้ น้องให้เหลือแค่ 35,000.-
คิดในใจ .. โอ้..แม่จ้าว ลดเยอะ ขนาดนี้เชียว และเราก็ปากเร็ว พูดออกไปว่า "เดี๋ยวน้องก็จะลดคุณภาพของพี่..ละสิ" ( ก็จาก 5 หมื่น เหลือ 3.5 หมื่น.. ไง.. ลดไป หมื่นห้า... )
พูดแค่เนี้ยะ.... แค่นี้จริงๆ มาเป็นชุดเลยค่ะ ... (เอาเท่าที่จำได้นะ อาจจะไม่เรียงประโยค) " พี่ดูถูกน้องเกินไปแล้ว น้องเป็นถึงผู้จัดการนะคะ บริษัทน้องก็ใหญ่โต ไม่ให้เกียรติ กันเลย ฯลฯ " ปากด่าเรานะคะ ด่าเรื่อยๆ ซ้ำๆ แต่ก็ยังมีใจพูดต่อ ว่า ถ้าพี่ซื้อวันนี้ ได้ราคานี้ น้องขอเป็นเคสตัวอย่าง (ไม่น่าจะใช้คำพูดนี้ แต่ฟังไม่ชัดค่ะ หูอื้อ โดนด่า 555 ) เราก็ใจดี ยิ้มอยู่นะ แล้วเขาก็ยังพูดแกมบังคับให้เราซื้อ ก็เลยพูดว่า "มันไม่เวิร์คหรอก" ( ก็แหม...ด่าเราปาวๆ แล้วเราจะจ่ายเงินให้ทำไม... ไม่บ้าก็โง่ ละ งานนี้ ) แล้วลุกขึ้นยืน เขาพูดว่า " พี่พูดไม่ให้เกียรติน้องเลย น้องเป็นถึงผู้จัดการนะคะ " (คือย้ำคำว่า ไม่ให้เกียรติ กับ เป็นผู้จัดการ หลายรอบมาก) เราก็เลยพูดไปว่า " พี่ก็แค่พูดไปแค่นี้เอง" และกะจะพูดต่อว่า ยังไงก็ขอ
โทษละกัน ถ้าน้องฟังไม่เข้าหู... แต่....พูดยังไม่จบประโยคค่ะ
เขาด่าสวนมาเลยค่ะ " มันไม่ควรพูด คิดไว้ในใจก็พอมั้ยคะ คำพูดแบบนี้ ฯลฯ ย้ำคำเดิม ว่าไม่ให้เกียรติ และเขาเป็นระดับผู้จัดการ" เราก็ยิ้มๆ แล้วก็ ขยับเก้าอี้หนี (คิดในใจค่ะ .. กูก็ระดับเจ้าของธุรกิจนะเว้ย ไม่ได้ขอกินเงินเดือนใคร) .....ยังไม่หยุดค่ะ " การพูดจาแบบนี้ มันส่อ!!!! และทำท่าบุ้ย ปาก ชี้ปาก มาทางเรา แต่ตอนนั้นเรา ลุกขึ้นยืนแล้วไง ได้ยินไม่ชัดละ แต่คำว่า มันส่อ!!! ก้องกังวานในหูเลยค่ะ เหมือน ท่าทางผู้จัดการ จะพูดซ้ำๆ ต่อ แล้วเราก็เดินหนี ออกมา แบบ งงๆ ...
มารู้ตัวก็เดินมาห้องน้ำของห้างฯ ละ เพิ่งคิดได้ เอ๊า... มันด่าถึงสกุลรุนชาติเลยนี่หว่า... แล้วมาคิดเจ็บใจ ทีหลัง ความรุ้สึกช้าจริงๆ ป้าเอ๊ยยยย!
นี่ล่ะ เลยมาขอ ระบาย ลงพันทิปปปปป..
อันนี้ เป็นความคิดเห็นนะ ว่า....จริงๆ มันมีคำพูดที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าเราเจอคำพูดแบบนี้ เป็นเรา เราจะพูด ประมาณว่า "อุ้ยตายๆ คุณพี่ขา บริษัทของเราใหญ่โต ขนาดนี้ ไม่เอาชื่อเสียงไปแลกหรอกค่ะ คุณพี่อาจจะไปเจอ ไปฟังว่า มีที่อื่นทำแบบนี้ แต่ของเราไม่มีทางทำเด็ดขาดค่ะ เราแกะกล่องให้คุณพี่ดูต่อหน้าทุกครั้ง ทุกอย่าง แม้แต่เข็มฉีด ก็ไม่มีทำซ้ำกับใคร คุณพี่มั่นใจได้ค่ะ วันนี้เรามาเพื่อโปรโมท ยอมขายสินค้าขาดทุนเพื่อให้ได้ลูกค้า และติดใจในบริการของเรา จนไม่หนีไปทีอื่น คุณพี่มั่นใจได้เลยนะคะ.. ไม่มีหรอกค่ะ ลดคุณภง คุณภาพ"
แบบนี้ จบสวยกว่ามั้ย..พูดแบบนี้ เรานี่ จ่ายม้ดจำให้เลย อ้ะ...เชื่อสิ ต่อให้ไม่ได้พกตังค์ไป ก็จะไปกด เอทีเอ็มให้ เดี๋ยวนั้นเลย.. เราสายเปย์ อยู่ละ..
อีกอย่าง เรามองว่า ในเมื่อคุณ ทำงานด้านการขายบริการความงาม คุณต้องเจอกับผู้คนหลากหลาย ต่อวัน ต่อสัปดาห์ ต่อเดือน เป็นพันเป็นหมื่นคน คุณต้องรู้ว่า ผู้คนทุกคน แตกต่าง แล้ววุฒิภาวะระดับผู้จัดการสาขาสำหรับสงานด้านการขายบริการ ควรได้รับการฝึกฝนที่แข็งแรงมามากพอสมควร คุณถึงได้ตำแหน่งนี้ แต่ที่คุณทำกับเราในวันนี้ เราว่า ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ได้เลย ..ว่ามั้ย..
คิดบวกอีกที ... คำพูดนั้น ออกมาจากปากคุณ คุณก็รับมันไปละกัน เนาะ
อ่อ.. บทสรุปนี้คือ ความผิดของ ณเดช นะ เพราะ ณเดช ทำให้ป้าต้องไปดู เพราะป้าต้องไปดู ทำให้ป้าโดนด่า ยันบุพการี... เอื้อออกกก