"ภูกระดึง" ชื่อนี้คงเป็นชื่อที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติคุ้นหูกันดี และยังเป็นปฐมบทของการเดินป่าบ้านเราอีกด้วย ภูกระดึงอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคน หลากหลายเรื่องราวที่น่าจดจำที่เกิดขึ้นบนภูเขารูปหัวใจดวงใหญ่ที่สุดในโลกดวงนี้ ทำให้เกิดความทรงจำที่หลายคนไปแล้วไปอีก บางคนขึ้นเป็นร้อยๆครั้งก็ยังไม่เบื่อกับที่นี่ "ภูกระดึง"
สำหรับเราแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบและยังอยากไปเยือนภูเขาลูกนี้ในทุกๆปี ช่วงฤดูกาลที่แตกต่าง ทำให้ความสวยงามของภูเขาลูกนี้แตกต่างกันออกไป เราว่าการมาเที่ยวภูกระดึงของคนหนึ่งคน ควรจะมาอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะความสวยงามของแต่ละฤดูกาลและลักษณะทางกายภาพของภูเขาลูกนี้ มีมากกว่าหนึ่ง นั่นแสดงว่าฤดูกาลที่แตกต่างจะให้ความสวยงามและความประทับใจที่แตกต่างกันออกไป และเราจะแยกให้เพื่อนๆได้รู้ว่าควรมาช่วงไหนบ้าง

1. ช่วงปลายฝนต้นหนาว ช่วงนี้จะเป็นช่วงเปิดภูใหม่ๆ ช่วงเดือนตุลาคม ถึง ต้นพฤษจิกายน เสน่ห์ของภูกระดึงช่วงนี้คือการล่าน้ำตก น้ำตกที่นี่มีเยอะมาก นอกจากเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนดให้เดินแล้ว ยังมีน้ำตกอีกหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ของป่าปิด นั่นหมายความว่าไม่อนุญาตให้เข้าชมได้นั่นเอง
2. ช่วงฤดูหนาว ล่าใบเมเปิ้ล ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวและฟินที่สุด เหมาะแก่การพาคนรักมาเดินสัมผัสอากาศหนาวได้เป็นอย่างดี บางช่วงที่หนาวมากๆอุณหภูมิลงมาที่เลขตัวเดียวหรือติดลบเลยก็มี ถ้าโชคดีอาจจะเจอแม่คะนิ้งด้วย เวลาแห่งการล่าใบเมเปิ้ลจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง ต้นมกราคม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กัสภาพอากาศว่าในแต่ละปีนั้น ใบเมเปิ้ลจะแดงและร่วงไวขนาดไหน อันนี้ต้องลุ้นเอา
3.ช่วงซัมเมอร์ ล่าช้างเผือก ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ฟ้าเปิดตลอดทั้งคืน ถ้ามาช่วงวันเดือนมืดเหมาะแก่การที่จะมาถ่ายทางช้างเผือกยิ่งนัก นักท่องเที่ยวที่มาช่วงนี้จะได้สัมผัสความเงียบสงบ เพราะมีคนมาน้อยมาก ร้านค้าก็มีขายบางร้านเท้านั้น บางซำไม่มีร้านค้าเปิดขายของเลย เราเองก็ควรเตรียมน้ำดื่มไปให้พอด้วยนะ ช่วงซัมเมอร์ล่าช้างเผือกจะเป็นช่วงเวลาปลายๆกุมภาพันธ์ ถึง ต้นพฤษภาคม
และยังมีช่วงที่เราแนะนำให้มาอีกช่วงคือ ช่วงก่อนปิดภู 1 อาทิตย์ ซึ่งมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ทำให้น้ำตกเริ่มมีน้ำและที่สำคัญช่วงก่อนปิดภูนี้ ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมีการจัดปลูกป่าและเก็บขยะด้วยนะ ใครที่ชอบการเที่ยวนอกจากได้มาเที่ยวแล้วยังได้บำเพ็ญประโยชน์ด้วยนะ
สำหรับเราเองเราก็ไปมา 3-4 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังอยากกลับไปอีก และสัญญากับตัวเองว่าจะพยายามกลับไปที่นี่ในทุกๆปี วันนี้เราก็อยากจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางส่วนที่เรามี ทั้งการเดินทาง การเตรียมตัว สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปภูกระดึง และยังจะมาแนะนำแผนการเก็บสถานที่ต่างบนภูกระดึงให้ได้เยอะที่สุดโดยใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ให้เพื่อนๆอีกด้วย (ส่วนรายละเอียดการเดินอยู่ด้านล่างสุด)
"ภูกระดึง" เนี่ย เป็นอะไรที่มาง่ายมากเลย ไม่ต้องจองล่วงหน้า และไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง สามารถเดินเที่ยวได้ด้วยตัวเอง ส่วนการเดินทางนั้นก็ง่ายมากเลย ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถตู้เหมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่สะดวกทั้งสิ้น และยังมีอีกการเดินทางอีกแบบนึงที่เราได้รู้มาจากนักท่องเที่ยวบางคนที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรถไกลๆและนานๆ นั่นก็คือการนั่งเครื่องบินแล้วต่อรถประจำทาง
:การเดินทาง:
วิธีที่ 1 : การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว ถ้าใครนำรถส่วนตัวมา ทางอุทยานฯ ก็มีพื้นที่สำหรับจอดรถไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยนะ โดยจอดไว้ที่ลานจอดรถที่ทางอุทยานฯ จัดไว้ให้ใกล้ๆกับที่ทำการอุทยานฯ นั่นแหละ
วิธีที่ 2 : การเดินทางด้วยรถตู้เหมา วิธีนี้ก็สะดวกไม่แพ้วิธีแรก แต่จะมีเพื่อนเยอะขึ้น น่าจะสนุกมากขึ้น ส่วนรถตู้ที่เหมามาก็จอดที่เดียวกับที่จอดรถยนต์ส่วนตัวนั่นแหละ และยังมีพื้นที่ให้คนขับรถกางเต็นท์นอนและมีห้องน้ำสะอาด ร้านค้าไว้ให้บริการอีกด้วย
วิธีที่ 3 : การนั่งรถทัวร์มาจาก กทม. วิธีนี้ก็เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ไปคนเดียวหรือไปแบบคนน้อย และขี้เกียจขับรถเองไกลๆ ซึ่งมันดีตอนขากลับนะ เพราะเราจะเหนื่อยมากจนไม่มีแรงขับรถ เริ่มต้นเลยก็จองตั๋วรถทัวร์จากหมอชิตแล้วมาลงที่ผานกเค้า แล้วก็ต่อรถสองแถวมาที่อุทยานฯ ที่ผาน้ำเค้าจะมีรถสองแถวไว้รับ-ส่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานฯ ค่ารถก็ไม่แพง คนละ 30 บาท เท่านั้นเอง
วิธีที่ 4 : วิธีนี้เป็นวิธีที่เราเพิ่งรู้มา เป็นการนั่งเครื่องบินมาลงที่ขอนแก่น หรือไม่ก็ มาลงที่สนามบิน จ.เลย แล้วก็ต่อรถประจำทางมาที่ อ.ภูกระดึง ถ้ามาจากขอนแก่น ก็นั่งรถบัสสาย ขอนแก่น-เมืองเลย มาเลย ส่วนถ้ามาจากเมืองเลย ก็นั่งรถบัสสาย เมืองเลย-ขอนแก่น มาลงที่ อ. ภูกระดึง ได้เลย

รีวิวนี้เราเอา 2 ช่วงเวลา คือหน้าฝนก่อนปิดภู และช่วงหน้าหนาว เพื่อให้ทุกคนได้เห็นความสวยงามของภูกระดึงได้มากที่สุด มีทั้งน้ำตก และใบเมเปิ้ลแดงๆ ในรีวิวเดียวกัน ซึ่งเราต้องใช้การขึ้นไปเก็บภาพบนภูกระดึงถึง 2 ครั้งเลยที่เดียว ถึงจะได้ภาพมารีวิวของ 2 ฤดูกาลมาอยู่ในรีวิวเดียวกัน


ช่วงก่อนปิดภู จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อยมาก และที่นี่จะเงียบมาก ลูกหาบก็ยังคงหาบของกันแค่บางคน เพื่อนำของมาส่งร้านค้า และลุงลูกหาบบอกว่า ถึงภูจะปิดฤดูกาล 3 เดือน แต่ลุงลูกหาบและลูกหาบคนอื่นๆ หยุดพักกันแค่เดือนเดียวก็กลับมาแบกของขึ้นภูกันอีกครั้ง เพื่อนำของมาตุนไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาตอนเปิดภูกันอีกครั้ง

ขึ้นมาถึงหลังแป เจอลูกหาบแค่คนสองคนเอง

มาถึงลานกางเต็นท์แล้ว มันจะเงียบๆ เหงาๆหน่อย เพราะช่วงนี้มีคนมาน้อยมาก

มาถึง กางเต็นท์เสร็จก็ตรงดิ่งไปที่น้ำตกเลย
น้ำตกวังกวาง

น้ำตกเพ็ญพบใหม่



น้ำตกโผนพบ


น้ำตกถ้ำใหญ่ เรายังไปไม่ถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือ และยังมีอีกหลายน้ำตกที่เรายังเก็บภาพมาไม่ครบ



ลานกางเต็นท์ที่นี่ จะมีน้องกวาง น้องหมูป่าออกมาเยี่ยมที่เต็นท์ด้วยนะ และไม่ใช่มีแค่ตัวเดียว มาเป็นฝูงด้วย


ช่วงหน้าฝนจะมีโอกาสได้เจอทะเลหมอกเยอะกว่าช่วงหน้าหนาว

กิ่งสนรูปหัวใจในตำนาน ใครอยากถ่ายรูปก็ไปตามหาได้ที่ผานกแอ่นนะ


จบไปแล้วสำหรับบรรยากาศช่วงหน้าฝน คิดว่าคงสวยงามและถูกอกถูกใจเพื่อนๆกันบ้าง ต่อไปเราก็รอเสนอความสวยงามในช่วงหน้าหนาวสำหรับฤดูกาลการล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน เราไปมาช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะมากๆ และอากาศก็หนาวมากเช่นกัน

ช่วงหน้าหนาวเนี่ย ร้านค้าจะเปิดแบบจัดเต็ม อาหารจัดเต็ม แต่ราคาก็จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความยากลำบากของการขนขึ้นไป


ขึ้นมาถึงหลังแป ก็จะเจอเลย ต้นเมเปิ้ลที่แดงอยู่ตรงหน้า

มาภูกระดึงช่วงหน้าหนาวเนี่ย รีบเดินไวๆให้ถึงที่กางเต็นท์ไวๆ หาที่กางไวๆ รีบไปอาบน้ำ เพราะตกเย็นมามันจะหนาวมาก จนคุณไม่สามารถที่จะอาบน้ำได้

มาถึงก่อนหาที่กางก่อน เพราะคนจะเยอะมากๆ หาให้อยู่ใกล้กับห้องน้ำด้วยนะ

ตื่นเช้าก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ต้องตื่นตีหน้าเลยนะเพื่อเดินมา เพราะอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ประมาณ 2.5 กม. ต้องมีเจ้าหน้าที่พามา เพราะอาจจะเจอกับช้างป่าได้ ช่วงหน้าหนาวคนก็จะเยอะแบบนี้แหละ



ขากลับจากผานกแอ่น ระหว่างทางจะเจอดอกไม้สวยๆพวกนี้ขึ้นเต็มอยู่ข้างทาง

ชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็กลับมาหาไรรองท้องและพร้อมที่จะเดินไปตามล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน


ถ้าว่างๆก็มาส่งโปสการ์ดหาตัวเองสักหน่อย บอกว่าครั้งนึงเราเคยมาเที่ยวแล้วนะ ภูกระดึง

เส้นทางที่เราใช้เดินวันนี้ ก็จะใช้เส้นทางองค์พระ แล้วตัดเข้าเส้นน้ำตก บางคนเดิน บางคนปั่นจักรยาน

ต้นเมเปิ้ลส่วนใหญ่ก็จะเส้นน้ำตก เราลากยาวตั้งแต่น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกโผนพบ น้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นเส้นที่มีใบเมเปิ้ลเยอะที่สุด






ดินเส้นน้ำตกเสร็จ เราก็ตัดขึ้นเส้นจะไปผาหล่มสัก

มาถึงแถวๆสระอโนดาต เราควรหาร่มแวะกินข้าวก่อน ตอนเช้าก่อนออกเดินทาง สิ่งที่ห้ามลืมคือ น้ำและข้าวกลางวัน ข้าวสามารถสั่งที่ร้านทำให้ได้ บอกจะห่อไปกินกลางทาง หรือบางร้านจะทำไว้แล้ว ลืมไม่ได้นะอันนี้เน้นย้ำ เพราะระหว่างทางไปผาหล่มสักไม่มีร้านค้าแม้แต่ร้านเดียว จนกว่าจะถึงผาหล่มสัก ซึ่งระยะทางมัน 9 กม. ใครทนไหวก็ทนไป แต่เราจะไม่ทน
>>>มีต่อในคอมเม้นท์ที่ 1
พิชิตภูกระดึง 2 ฤดู ฝนปนหนาว (เดินทางด้วยรถประจำทาง) By นายตัวน้อย
สำหรับเราแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบและยังอยากไปเยือนภูเขาลูกนี้ในทุกๆปี ช่วงฤดูกาลที่แตกต่าง ทำให้ความสวยงามของภูเขาลูกนี้แตกต่างกันออกไป เราว่าการมาเที่ยวภูกระดึงของคนหนึ่งคน ควรจะมาอย่างน้อย 3 ครั้ง เพราะความสวยงามของแต่ละฤดูกาลและลักษณะทางกายภาพของภูเขาลูกนี้ มีมากกว่าหนึ่ง นั่นแสดงว่าฤดูกาลที่แตกต่างจะให้ความสวยงามและความประทับใจที่แตกต่างกันออกไป และเราจะแยกให้เพื่อนๆได้รู้ว่าควรมาช่วงไหนบ้าง
1. ช่วงปลายฝนต้นหนาว ช่วงนี้จะเป็นช่วงเปิดภูใหม่ๆ ช่วงเดือนตุลาคม ถึง ต้นพฤษจิกายน เสน่ห์ของภูกระดึงช่วงนี้คือการล่าน้ำตก น้ำตกที่นี่มีเยอะมาก นอกจากเส้นทางที่เจ้าหน้าที่กำหนดให้เดินแล้ว ยังมีน้ำตกอีกหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่ของป่าปิด นั่นหมายความว่าไม่อนุญาตให้เข้าชมได้นั่นเอง
2. ช่วงฤดูหนาว ล่าใบเมเปิ้ล ช่วงนี้เป็นช่วงที่อากาศหนาวและฟินที่สุด เหมาะแก่การพาคนรักมาเดินสัมผัสอากาศหนาวได้เป็นอย่างดี บางช่วงที่หนาวมากๆอุณหภูมิลงมาที่เลขตัวเดียวหรือติดลบเลยก็มี ถ้าโชคดีอาจจะเจอแม่คะนิ้งด้วย เวลาแห่งการล่าใบเมเปิ้ลจะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม ถึง ต้นมกราคม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กัสภาพอากาศว่าในแต่ละปีนั้น ใบเมเปิ้ลจะแดงและร่วงไวขนาดไหน อันนี้ต้องลุ้นเอา
3.ช่วงซัมเมอร์ ล่าช้างเผือก ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าร้อน ใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง ฟ้าเปิดตลอดทั้งคืน ถ้ามาช่วงวันเดือนมืดเหมาะแก่การที่จะมาถ่ายทางช้างเผือกยิ่งนัก นักท่องเที่ยวที่มาช่วงนี้จะได้สัมผัสความเงียบสงบ เพราะมีคนมาน้อยมาก ร้านค้าก็มีขายบางร้านเท้านั้น บางซำไม่มีร้านค้าเปิดขายของเลย เราเองก็ควรเตรียมน้ำดื่มไปให้พอด้วยนะ ช่วงซัมเมอร์ล่าช้างเผือกจะเป็นช่วงเวลาปลายๆกุมภาพันธ์ ถึง ต้นพฤษภาคม
และยังมีช่วงที่เราแนะนำให้มาอีกช่วงคือ ช่วงก่อนปิดภู 1 อาทิตย์ ซึ่งมีฝนตกลงมาบ้างแล้ว ทำให้น้ำตกเริ่มมีน้ำและที่สำคัญช่วงก่อนปิดภูนี้ ทางอุทยานแห่งชาติภูกระดึงมีการจัดปลูกป่าและเก็บขยะด้วยนะ ใครที่ชอบการเที่ยวนอกจากได้มาเที่ยวแล้วยังได้บำเพ็ญประโยชน์ด้วยนะ
สำหรับเราเองเราก็ไปมา 3-4 ครั้ง ตอนนี้ก็ยังอยากกลับไปอีก และสัญญากับตัวเองว่าจะพยายามกลับไปที่นี่ในทุกๆปี วันนี้เราก็อยากจะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์บางส่วนที่เรามี ทั้งการเดินทาง การเตรียมตัว สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปภูกระดึง และยังจะมาแนะนำแผนการเก็บสถานที่ต่างบนภูกระดึงให้ได้เยอะที่สุดโดยใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ให้เพื่อนๆอีกด้วย (ส่วนรายละเอียดการเดินอยู่ด้านล่างสุด)
"ภูกระดึง" เนี่ย เป็นอะไรที่มาง่ายมากเลย ไม่ต้องจองล่วงหน้า และไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่นำทาง สามารถเดินเที่ยวได้ด้วยตัวเอง ส่วนการเดินทางนั้นก็ง่ายมากเลย ทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถทัวร์ รถตู้เหมา ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่สะดวกทั้งสิ้น และยังมีอีกการเดินทางอีกแบบนึงที่เราได้รู้มาจากนักท่องเที่ยวบางคนที่เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากนั่งรถไกลๆและนานๆ นั่นก็คือการนั่งเครื่องบินแล้วต่อรถประจำทาง
:การเดินทาง:
วิธีที่ 1 : การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว เป็นวิธีที่สะดวกที่สุดแล้ว ถ้าใครนำรถส่วนตัวมา ทางอุทยานฯ ก็มีพื้นที่สำหรับจอดรถไว้รองรับนักท่องเที่ยวด้วยนะ โดยจอดไว้ที่ลานจอดรถที่ทางอุทยานฯ จัดไว้ให้ใกล้ๆกับที่ทำการอุทยานฯ นั่นแหละ
วิธีที่ 2 : การเดินทางด้วยรถตู้เหมา วิธีนี้ก็สะดวกไม่แพ้วิธีแรก แต่จะมีเพื่อนเยอะขึ้น น่าจะสนุกมากขึ้น ส่วนรถตู้ที่เหมามาก็จอดที่เดียวกับที่จอดรถยนต์ส่วนตัวนั่นแหละ และยังมีพื้นที่ให้คนขับรถกางเต็นท์นอนและมีห้องน้ำสะอาด ร้านค้าไว้ให้บริการอีกด้วย
วิธีที่ 3 : การนั่งรถทัวร์มาจาก กทม. วิธีนี้ก็เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ไปคนเดียวหรือไปแบบคนน้อย และขี้เกียจขับรถเองไกลๆ ซึ่งมันดีตอนขากลับนะ เพราะเราจะเหนื่อยมากจนไม่มีแรงขับรถ เริ่มต้นเลยก็จองตั๋วรถทัวร์จากหมอชิตแล้วมาลงที่ผานกเค้า แล้วก็ต่อรถสองแถวมาที่อุทยานฯ ที่ผาน้ำเค้าจะมีรถสองแถวไว้รับ-ส่งนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวอุทยานฯ ค่ารถก็ไม่แพง คนละ 30 บาท เท่านั้นเอง
วิธีที่ 4 : วิธีนี้เป็นวิธีที่เราเพิ่งรู้มา เป็นการนั่งเครื่องบินมาลงที่ขอนแก่น หรือไม่ก็ มาลงที่สนามบิน จ.เลย แล้วก็ต่อรถประจำทางมาที่ อ.ภูกระดึง ถ้ามาจากขอนแก่น ก็นั่งรถบัสสาย ขอนแก่น-เมืองเลย มาเลย ส่วนถ้ามาจากเมืองเลย ก็นั่งรถบัสสาย เมืองเลย-ขอนแก่น มาลงที่ อ. ภูกระดึง ได้เลย
รีวิวนี้เราเอา 2 ช่วงเวลา คือหน้าฝนก่อนปิดภู และช่วงหน้าหนาว เพื่อให้ทุกคนได้เห็นความสวยงามของภูกระดึงได้มากที่สุด มีทั้งน้ำตก และใบเมเปิ้ลแดงๆ ในรีวิวเดียวกัน ซึ่งเราต้องใช้การขึ้นไปเก็บภาพบนภูกระดึงถึง 2 ครั้งเลยที่เดียว ถึงจะได้ภาพมารีวิวของ 2 ฤดูกาลมาอยู่ในรีวิวเดียวกัน
ช่วงก่อนปิดภู จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อยมาก และที่นี่จะเงียบมาก ลูกหาบก็ยังคงหาบของกันแค่บางคน เพื่อนำของมาส่งร้านค้า และลุงลูกหาบบอกว่า ถึงภูจะปิดฤดูกาล 3 เดือน แต่ลุงลูกหาบและลูกหาบคนอื่นๆ หยุดพักกันแค่เดือนเดียวก็กลับมาแบกของขึ้นภูกันอีกครั้ง เพื่อนำของมาตุนไว้เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาตอนเปิดภูกันอีกครั้ง
ขึ้นมาถึงหลังแป เจอลูกหาบแค่คนสองคนเอง
มาถึงลานกางเต็นท์แล้ว มันจะเงียบๆ เหงาๆหน่อย เพราะช่วงนี้มีคนมาน้อยมาก
น้ำตกวังกวาง
น้ำตกเพ็ญพบใหม่
น้ำตกโผนพบ
น้ำตกถ้ำใหญ่ เรายังไปไม่ถึงน้ำตกถ้ำสอเหนือ และยังมีอีกหลายน้ำตกที่เรายังเก็บภาพมาไม่ครบ
ลานกางเต็นท์ที่นี่ จะมีน้องกวาง น้องหมูป่าออกมาเยี่ยมที่เต็นท์ด้วยนะ และไม่ใช่มีแค่ตัวเดียว มาเป็นฝูงด้วย
จบไปแล้วสำหรับบรรยากาศช่วงหน้าฝน คิดว่าคงสวยงามและถูกอกถูกใจเพื่อนๆกันบ้าง ต่อไปเราก็รอเสนอความสวยงามในช่วงหน้าหนาวสำหรับฤดูกาลการล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน เราไปมาช่วงวันหยุดปีใหม่ เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไปกันเยอะมากๆ และอากาศก็หนาวมากเช่นกัน
ช่วงหน้าหนาวเนี่ย ร้านค้าจะเปิดแบบจัดเต็ม อาหารจัดเต็ม แต่ราคาก็จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความยากลำบากของการขนขึ้นไป
ตื่นเช้าก็มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ต้องตื่นตีหน้าเลยนะเพื่อเดินมา เพราะอยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์ประมาณ 2.5 กม. ต้องมีเจ้าหน้าที่พามา เพราะอาจจะเจอกับช้างป่าได้ ช่วงหน้าหนาวคนก็จะเยอะแบบนี้แหละ
ขากลับจากผานกแอ่น ระหว่างทางจะเจอดอกไม้สวยๆพวกนี้ขึ้นเต็มอยู่ข้างทาง
ชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จก็กลับมาหาไรรองท้องและพร้อมที่จะเดินไปตามล่าใบเมเปิ้ลแดงกัน
ถ้าว่างๆก็มาส่งโปสการ์ดหาตัวเองสักหน่อย บอกว่าครั้งนึงเราเคยมาเที่ยวแล้วนะ ภูกระดึง
เส้นทางที่เราใช้เดินวันนี้ ก็จะใช้เส้นทางองค์พระ แล้วตัดเข้าเส้นน้ำตก บางคนเดิน บางคนปั่นจักรยาน
ดินเส้นน้ำตกเสร็จ เราก็ตัดขึ้นเส้นจะไปผาหล่มสัก
มาถึงแถวๆสระอโนดาต เราควรหาร่มแวะกินข้าวก่อน ตอนเช้าก่อนออกเดินทาง สิ่งที่ห้ามลืมคือ น้ำและข้าวกลางวัน ข้าวสามารถสั่งที่ร้านทำให้ได้ บอกจะห่อไปกินกลางทาง หรือบางร้านจะทำไว้แล้ว ลืมไม่ได้นะอันนี้เน้นย้ำ เพราะระหว่างทางไปผาหล่มสักไม่มีร้านค้าแม้แต่ร้านเดียว จนกว่าจะถึงผาหล่มสัก ซึ่งระยะทางมัน 9 กม. ใครทนไหวก็ทนไป แต่เราจะไม่ทน
>>>มีต่อในคอมเม้นท์ที่ 1