'พงศ์เทพ' สวน พรรคการเมืองไม่ได้ใช้ จีที 200 เลือกผู้สมัคร อัด พวก 0.4 ห้ามโซเชียล
https://www.matichon.co.th/politics/news_1112506
พงศ์เทพ ซัด ไพรมารีปาหี่ ชี้ พรรคเลือกผู้สมัครเองดีกว่า ไม่ได้ใช้ จีที 200 เลือก อัด พวก 0.4 ห้ามใช้โซเชียล 4.0
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นาย
พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไพรมารีโหวตตามแบบฉบับของสภานิติบัญัติแห่งชาติ(สนช.) ไม่ได้เป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชนตั้งแต่ต้น ไม่ได้วางระบบไว้อย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ต้องการเพิ่มความยุ่งยาก สร้างปัญหาให้แก่พรรคการเมือง เพราะ พ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับใหม่ ส่งผลให้แต่ละพรรคการเมืองเหลือสมาชิกไม่มาก สุดท้ายจะกลายเป็นไพรมารีปาหี่ เนื่องจากให้สมาชิกพรรคไม่กี่คน เป็นคนเลือกผู้รับสมัคร พร้อมมัดมือกรรมการบริหารพรรค ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนวิธีการให้สมาชิกพรรคได้มีส่วนร่วม ในการเลือกผู้รับสมัครครั้งนี้ บ่งชี้ 2 อย่าง
1.ชี้ให้เห็นว่าระบบที่ทำมาตอนต้นนั้น ไม่มีความรอบคอบ
2.การคิดระบบประหลาดเช่นนี้ออกมา หวังสร้างปัญหาให้พรรคการเมือง แต่กลับทำให้พรรคพวกตัวเองก็มีปัญาหาด้วย
จึงเป็นไปได้ที่ คสช.จะเห็นแล้วว่าไพรมารีโหวตที่คิดมาแต่แรกนั้น พรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องแก้ไขปัญหาแบบขอไปที เพื่อพรรคพวกตัวเอง แม้ทำให้พรรคอื่นได้รับประโยชน์ด้วยก็ตาม
“ไม่ต้องมีไพรมารีโหวต ทุกพรรคก็อยากให้ผู้สมัครของตัวเองได้คะแนนเยอะๆกันทั้งนั้น ก่อนส่งผู้สมัครเขาก็จะพยายามฟังเสียงประชาชนอยู่แล้ว ว่าควรส่งใครลง วิธีการคิดและฟังประชาชนของพรรคการเมืองมันดีกว่าไพรมารีปาหี่นี้อีก พรรคการเมืองไม่ได้นั่งเทียนแล้วส่งคนนั้นคนนี้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เขาไม่ได้เอาจีที 200 มาชี้ว่าคนไหนควรจะเป็น กฎหมายที่ออกมาสมัย คสช.มีปัญหาเยอะไปหมด เป็นเรื่องหนักของรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะ คสช.ยังบีบให้แก้ยากด้วย”
นาย
พงศ์เทพ กล่าวถึงการที่จะมีการควบคุมการหาเสียงในโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลพยายามนำประเทศไปสู่ 4.0 แต่คนที่ทำล้วนมาอยู่ในยุค 0.4 ทั้งสิ้น เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเลย ทั้งนี้เราควรสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงน้อยที่สุด เพราะการใช้เงินน้อยในการหาเสียง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลควรส่งเสริมให้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่าการปิดกั้น หากกลัวว่าจะมาผลกระทบในแง่ลบตามมา รัฐบาลก็จะสามารถตีกรอบการใช้ได้ด้วย เช่น ให้ผู้สมัครมายืนยันการใช้สื่อออนไลน์ของตัวเอง ซึ่งจะง่ายต่อการตรวจสอบของ กกต.หากมีการบิดเบือนข้อมูล ที่แล้วมาบรรดานักการเมือง ต่างก็มีการใช้สื่อออนไลน์ติดต่อสื่อสาร เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าจงใจเปิดกันมากในช่วงนี้ เพราะมีการทำกันมากแล้ว
"วราวุธ"จี้รัฐวางกรอบคุมหาเสียงโซเชียลให้ชัด
https://www.dailynews.co.th/politics/663778
"วราวุธ"แกนนำ ชทพ. ย้อนรัฐบาลปมคุมเข้มหาเสียงทางโซเชียล ชี้มีความซับซ้อน เหตุอะไรทำได้ - อะไรห้าม แนะขีดเส้นวางกรอบให้ชัดเจน
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นาย
วราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีรัฐบาล คณะรักษาความแห่งชาติ (คสช.)เตรียมหามาตรการคุมเข้มการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า เชื่อว่าหากมีมาตรการในกรณีนี้ออกมา ทุกพรรคการเมืองทั้งเก่า และใหม่ คงจะมีผลกระทบกันถ้วนหน้า แต่ก่อนที่ถึงมีมาตรการออกมา ตนอยากขอความชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้องว่า การหาเสียงทางโซเชียลมีเดียคืออะไร เพราะที่ผ่านมา กิจกรรมต่างๆ เช่น การลงพื้นที่ พบปะชาวบ้าน หรือ แม้แต่ตนที่ร่วมทำกิจกรรมกับมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส แจกทุกการศึกษาแก่นักเรียนผู้ยากไร้มาเป็น10 ปีแล้ว ก็นำรูปมาโพสต์บอกกล่าวกับแฟนเพจได้ทราบทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารไปในสาธารณะ แม้ขณะนี้คสช.จะยังไม่อนุญาต แต่เมื่อถึงวันที่มีการคลายล็อกให้ เราก็ไม่สามารถจำกัดให้แค่เฉพาะสมาชิกพรรคเท่านั้นที่สามารถติดตามเรา
"โลกโซเชียลเป็นอะไรที่ซับซ้อน การกลั่นแกล้งกันในโลกออนไลน์บางกรณีที่ผ่านมาต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความจริงนาน บางกรณีพิสูจน์ไม่ได้ เพราะอาจโพสต์มาจากภายนอกประเทศ ดังนั้น การจำกัดการใช้ช่องทางนี้ จึงต้องพิจารณาถึงความเป็นไปในโลกออนไลน์ด้วย " นาย
วราวุธ กล่าวและว่า สำหรับพรรคการเมือง หากมองในแง่ดีถือเป็นช่องทางที่ประหยัด แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะถ้ามีการเพิ่มยอดแฟนเพจก็ต้องเสียเงินเพิ่ม จึงอยากขอความชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาคิดคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายของพรรคหรือไม่.
'ไพบูลย์' ชี้ 'คสช.' ไม่ควรปิดช่องทางโซเชียลฯ พรรคสื่อสารกับสมาชิก
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/811883
"ไพบูลย์" ชี้ "คสช." ไม่ควรปิดช่องทางโซเชียลมีเดีย พรรคสื่อสารกับสมาชิก เหตุไม่ใช่การหาเสียง
นาย
ไพบูลย์ นิติตะวัน ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พูดถึงกติกาของการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ล่าสุดห้ามให้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊กแฟนเพจ โฆษณาชวนเชื่อ โดยยอมรับกติกาดังกล่าวได้ในช่วงก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ประกาศวันเลือกตั้ง เพราะเข้าใจว่าคสช.ต้องการจัดระเบียบ เรื่องการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตาม คสช. ควรเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง สามารถสื่อสารไปยังสมาชิกพรรคได้ ผ่านทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงประกาศเชิญชวนให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคได้ เพราะ การสื่อสารไปยังสมาชิกพรรค หรือเชิญชวนประชาชนให้สมัครฯ นั้นไม่ใช่การรณรงค์หาเสียง
นาย
ไพบูลย์ ยังกล่าวถึงการคลายล็อกทางการเมืองโดยใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ว่า โดยเชื่อว่าจะประกาศคำสั่งหรือกติกาที่คลายล็อกหลังการประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนประเด็นที่เป็นทางออกของการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค (ไพรมารี่โหวต) ที่เบื้องต้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯระบุจะใช้ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร แทน ไพรมารี่โหวตนั้น เชื่อว่า รายละเอียดมาตรา 44 ที่แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองจะกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการขั้นตอนใดบ้าง เพราะหากเขียนว่าเว้นการใช้ไพรมารี่โหวตเท่านั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองเขียนรายละเอียดและขั้นตอนบังคับไว้
"ผมเชื่อว่าเมื่อมาตรา 44 ออกมาไม่ให้มีไพรมารี่โหวต จะไม่กระทบกับการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครว่าต้องผ่านกระบวนการสรรหาผู้สมัคร เนื่องจากคำสั่งคสช. นั้นเป็นระดับที่เท่ากับกฎหมายลูก นอกจากนั้นการเว้นใช้ไพรมารี่โหวต จะไม่ทำลายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางต่อการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะการให้มีคณะกรรมการสรรหา ถือเป็นกระบวนการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมระดับหนึ่ง" นาย
ไพบูลย์ กล่าว
นาย
ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า แม้คำสั่งตามมาตรา 44 ที่เตรียมประกาศจะเว้นการใช้ไพรมารี่โหวต แต่พรรคการเมืองใดที่มีความพร้อมยังสามารถปฏิบัติตามกฎหมายเดิมได้ เพราะไม่ใช่การยกเลิกไปโดยถาวร อย่างไรก็ตามกรณีที่มีบุคคลที่เห็นว่ามาตรา 44 แย้งหรือขัดกับรัฐธรรมนูญ สามารถใช้ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเนื้อหาได้ ซึ่งตนเชื่อว่าจะไม่ทำให้มีปัญหาต่อที่กระทบต่อการเลือกตั้ง ขณะที่ว่าที่พรรคประชาชนปฏิรูปยืนยันจะใช้ไพรมารี่โหวตในระบบเขตเลือกตั้งแน่นอน ขณะที่ระบบบัญชีรายชื่อต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหลังจากเห็นเนื้อหาคลายล็อกแล้ว.
'อนุทิน' ค้าน อีอีซี-รถไฟความเร็วสูง ชี้ ควรเอาเงินหลายแสนล้านมาพัฒนาคนในประเทศก่อน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1112575
“อนุทิน” แนะ รัฐนำเงินไปพัฒนาคนก่อนสร้างรถไฟความเร็วสูง-ลงทุนอีอีซี ถาม ใครจะโดยสารรถไฟความเร็วสูง หากเกษตรกรชนบทรายได้ไม่แน่นอน
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับความคุ้มค่าจากการใช้งบประมาณมหาศาลสร้างรถไฟความเร็วสูง และการดำเนินโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ว่า
ไม่ได้ปฏิเสธการสร้างรถไฟความเร็วสูงและโครงการอีอีซี แต่ต้องการนำเม็ดเงินจำนวนนี้ ไปพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้คนรากหญ้า มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง มีการศึกษาที่ดีขึ้น เป็นรากฐานและกำลังการผลิตที่สำคัญของชาติ เมื่อคนเข้มแข็ง ชาติเข้มแข็ง จากนั้น จึงค่อยพัฒนาต่อยอดในส่วนอื่นต่อไป
“ไม่ใช่ผมจะไม่ทำรถไฟเร็วสูงหรือยุบอีอีซี แต่ผมต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยรวมก่อน ประเทศไทยป่วยมานาน เพิ่งออกจากห้องไอซียู ก็ควรจะค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพด้วยการทำกายภาพบำบัดให้ทรงตัวได้มั่นคงก่อน จากนั้นก็เริ่มเดินให้เร็วขึ้นแล้วจึงวิ่งไม่ใช่ออกมาแล้ววิ่งเลย แล้วก็ต้องล้มอีก เที่ยวนี้อาจไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกก็ได้ …
ผมถามว่า รถไฟความเร็วสูง ใครจะเป็นผู้โดยสาร ในเมื่อคนชนบทส่วนใหญ่มีรายได้จากภาคเกษตรที่ไม่แน่นอน บางช่วงผลผลิตราคาตกต่ำ ขอให้ผม ไปหาผู้โดยสารมาให้ก่อนจะดีหรือไม่
ผมถามว่าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใน กทม. อีกหลายเส้นทาง ทั้งที่ตอนนี้การจราจรใน กทม.ติดไปทุกเส้นทาง ยังไม่พออีกหรือ
ผมไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาประเทศ แต่ผมเห็นว่าโครงการอีอีซี บุคลากรในเทคโนโลยีชั้นสูงหรือยัง
เราควรจะนำเม็ดเงินหลายแสนล้านบาท มาพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศ ให้มีความพร้อมก่อนจะดีกว่าหรือไม่
ลูกหลานเป็นหนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกจากรั้วสถาบันการศึกษา จำนวนหลายล้านคน เป็นเงินหลายแสนล้านบาท กำลังทยอยไปสู่กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องบังคับคดี ถูกหักเงินเดือน ถูกยึดที่ทำกิน ถูกยึดรถ ยึดบ้าน ขายทอดตลาด
ผมจึงเห็นว่าเราควรต้องกลับมาจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศเสียใหม่”
JJNY : 6in1 พงศเทพสวน/วราวุธจี้/ไพบูลย์ชี้ ใช้โซเชี่ยล/อนุทินค้านรถไฟครส./ลุ้นขอขึ้นภาษีสนามบิน/รับมือระบายน้ำ2เขื่อน
https://www.matichon.co.th/politics/news_1112506
พงศ์เทพ ซัด ไพรมารีปาหี่ ชี้ พรรคเลือกผู้สมัครเองดีกว่า ไม่ได้ใช้ จีที 200 เลือก อัด พวก 0.4 ห้ามใช้โซเชียล 4.0
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไพรมารีโหวตตามแบบฉบับของสภานิติบัญัติแห่งชาติ(สนช.) ไม่ได้เป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชนตั้งแต่ต้น ไม่ได้วางระบบไว้อย่างบริสุทธิ์ใจ แต่ต้องการเพิ่มความยุ่งยาก สร้างปัญหาให้แก่พรรคการเมือง เพราะ พ.ร.ป.พรรคการเมืองฉบับใหม่ ส่งผลให้แต่ละพรรคการเมืองเหลือสมาชิกไม่มาก สุดท้ายจะกลายเป็นไพรมารีปาหี่ เนื่องจากให้สมาชิกพรรคไม่กี่คน เป็นคนเลือกผู้รับสมัคร พร้อมมัดมือกรรมการบริหารพรรค ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนวิธีการให้สมาชิกพรรคได้มีส่วนร่วม ในการเลือกผู้รับสมัครครั้งนี้ บ่งชี้ 2 อย่าง
1.ชี้ให้เห็นว่าระบบที่ทำมาตอนต้นนั้น ไม่มีความรอบคอบ
2.การคิดระบบประหลาดเช่นนี้ออกมา หวังสร้างปัญหาให้พรรคการเมือง แต่กลับทำให้พรรคพวกตัวเองก็มีปัญาหาด้วย
จึงเป็นไปได้ที่ คสช.จะเห็นแล้วว่าไพรมารีโหวตที่คิดมาแต่แรกนั้น พรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องแก้ไขปัญหาแบบขอไปที เพื่อพรรคพวกตัวเอง แม้ทำให้พรรคอื่นได้รับประโยชน์ด้วยก็ตาม
“ไม่ต้องมีไพรมารีโหวต ทุกพรรคก็อยากให้ผู้สมัครของตัวเองได้คะแนนเยอะๆกันทั้งนั้น ก่อนส่งผู้สมัครเขาก็จะพยายามฟังเสียงประชาชนอยู่แล้ว ว่าควรส่งใครลง วิธีการคิดและฟังประชาชนของพรรคการเมืองมันดีกว่าไพรมารีปาหี่นี้อีก พรรคการเมืองไม่ได้นั่งเทียนแล้วส่งคนนั้นคนนี้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เขาไม่ได้เอาจีที 200 มาชี้ว่าคนไหนควรจะเป็น กฎหมายที่ออกมาสมัย คสช.มีปัญหาเยอะไปหมด เป็นเรื่องหนักของรัฐบาลชุดต่อไปที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะ คสช.ยังบีบให้แก้ยากด้วย”
นายพงศ์เทพ กล่าวถึงการที่จะมีการควบคุมการหาเสียงในโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลพยายามนำประเทศไปสู่ 4.0 แต่คนที่ทำล้วนมาอยู่ในยุค 0.4 ทั้งสิ้น เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีเลย ทั้งนี้เราควรสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงน้อยที่สุด เพราะการใช้เงินน้อยในการหาเสียง ย่อมเป็นประโยชน์ต่อระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลควรส่งเสริมให้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่าการปิดกั้น หากกลัวว่าจะมาผลกระทบในแง่ลบตามมา รัฐบาลก็จะสามารถตีกรอบการใช้ได้ด้วย เช่น ให้ผู้สมัครมายืนยันการใช้สื่อออนไลน์ของตัวเอง ซึ่งจะง่ายต่อการตรวจสอบของ กกต.หากมีการบิดเบือนข้อมูล ที่แล้วมาบรรดานักการเมือง ต่างก็มีการใช้สื่อออนไลน์ติดต่อสื่อสาร เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ว่าจงใจเปิดกันมากในช่วงนี้ เพราะมีการทำกันมากแล้ว
"วราวุธ"จี้รัฐวางกรอบคุมหาเสียงโซเชียลให้ชัด
https://www.dailynews.co.th/politics/663778
"วราวุธ"แกนนำ ชทพ. ย้อนรัฐบาลปมคุมเข้มหาเสียงทางโซเชียล ชี้มีความซับซ้อน เหตุอะไรทำได้ - อะไรห้าม แนะขีดเส้นวางกรอบให้ชัดเจน
เมื่อวันที่ 1 ก.ย. นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวถึงกรณีรัฐบาล คณะรักษาความแห่งชาติ (คสช.)เตรียมหามาตรการคุมเข้มการหาเสียงผ่านโซเชียลมีเดีย ว่า เชื่อว่าหากมีมาตรการในกรณีนี้ออกมา ทุกพรรคการเมืองทั้งเก่า และใหม่ คงจะมีผลกระทบกันถ้วนหน้า แต่ก่อนที่ถึงมีมาตรการออกมา ตนอยากขอความชัดเจนจากผู้ที่เกี่ยวข้องว่า การหาเสียงทางโซเชียลมีเดียคืออะไร เพราะที่ผ่านมา กิจกรรมต่างๆ เช่น การลงพื้นที่ พบปะชาวบ้าน หรือ แม้แต่ตนที่ร่วมทำกิจกรรมกับมูลนิธิบรรหาร-แจ่มใส แจกทุกการศึกษาแก่นักเรียนผู้ยากไร้มาเป็น10 ปีแล้ว ก็นำรูปมาโพสต์บอกกล่าวกับแฟนเพจได้ทราบทุกครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นการสื่อสารไปในสาธารณะ แม้ขณะนี้คสช.จะยังไม่อนุญาต แต่เมื่อถึงวันที่มีการคลายล็อกให้ เราก็ไม่สามารถจำกัดให้แค่เฉพาะสมาชิกพรรคเท่านั้นที่สามารถติดตามเรา
"โลกโซเชียลเป็นอะไรที่ซับซ้อน การกลั่นแกล้งกันในโลกออนไลน์บางกรณีที่ผ่านมาต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความจริงนาน บางกรณีพิสูจน์ไม่ได้ เพราะอาจโพสต์มาจากภายนอกประเทศ ดังนั้น การจำกัดการใช้ช่องทางนี้ จึงต้องพิจารณาถึงความเป็นไปในโลกออนไลน์ด้วย " นายวราวุธ กล่าวและว่า สำหรับพรรคการเมือง หากมองในแง่ดีถือเป็นช่องทางที่ประหยัด แต่ก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะถ้ามีการเพิ่มยอดแฟนเพจก็ต้องเสียเงินเพิ่ม จึงอยากขอความชัดเจนว่า สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาคิดคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายของพรรคหรือไม่.
'ไพบูลย์' ชี้ 'คสช.' ไม่ควรปิดช่องทางโซเชียลฯ พรรคสื่อสารกับสมาชิก
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/811883
"ไพบูลย์" ชี้ "คสช." ไม่ควรปิดช่องทางโซเชียลมีเดีย พรรคสื่อสารกับสมาชิก เหตุไม่ใช่การหาเสียง
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พูดถึงกติกาของการหาเสียงเลือกตั้ง ที่ล่าสุดห้ามให้ใช้สื่อโซเชียลมีเดีย อาทิ เฟซบุ๊กแฟนเพจ โฆษณาชวนเชื่อ โดยยอมรับกติกาดังกล่าวได้ในช่วงก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ประกาศวันเลือกตั้ง เพราะเข้าใจว่าคสช.ต้องการจัดระเบียบ เรื่องการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ อย่างไรก็ตาม คสช. ควรเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมือง สามารถสื่อสารไปยังสมาชิกพรรคได้ ผ่านทางโซเชียลมีเดีย รวมถึงประกาศเชิญชวนให้ประชาชนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคได้ เพราะ การสื่อสารไปยังสมาชิกพรรค หรือเชิญชวนประชาชนให้สมัครฯ นั้นไม่ใช่การรณรงค์หาเสียง
นายไพบูลย์ ยังกล่าวถึงการคลายล็อกทางการเมืองโดยใช้อำนาจหัวหน้า คสช. ตามมาตรา 44 ว่า โดยเชื่อว่าจะประกาศคำสั่งหรือกติกาที่คลายล็อกหลังการประกาศพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ส่วนประเด็นที่เป็นทางออกของการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค (ไพรมารี่โหวต) ที่เบื้องต้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯระบุจะใช้ คณะกรรมการสรรหาผู้สมัคร แทน ไพรมารี่โหวตนั้น เชื่อว่า รายละเอียดมาตรา 44 ที่แก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองจะกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะดำเนินการขั้นตอนใดบ้าง เพราะหากเขียนว่าเว้นการใช้ไพรมารี่โหวตเท่านั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองเขียนรายละเอียดและขั้นตอนบังคับไว้
"ผมเชื่อว่าเมื่อมาตรา 44 ออกมาไม่ให้มีไพรมารี่โหวต จะไม่กระทบกับการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่ ร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครว่าต้องผ่านกระบวนการสรรหาผู้สมัคร เนื่องจากคำสั่งคสช. นั้นเป็นระดับที่เท่ากับกฎหมายลูก นอกจากนั้นการเว้นใช้ไพรมารี่โหวต จะไม่ทำลายเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางต่อการเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะการให้มีคณะกรรมการสรรหา ถือเป็นกระบวนการที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมระดับหนึ่ง" นายไพบูลย์ กล่าว
นายไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า แม้คำสั่งตามมาตรา 44 ที่เตรียมประกาศจะเว้นการใช้ไพรมารี่โหวต แต่พรรคการเมืองใดที่มีความพร้อมยังสามารถปฏิบัติตามกฎหมายเดิมได้ เพราะไม่ใช่การยกเลิกไปโดยถาวร อย่างไรก็ตามกรณีที่มีบุคคลที่เห็นว่ามาตรา 44 แย้งหรือขัดกับรัฐธรรมนูญ สามารถใช้ช่องทางศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความเนื้อหาได้ ซึ่งตนเชื่อว่าจะไม่ทำให้มีปัญหาต่อที่กระทบต่อการเลือกตั้ง ขณะที่ว่าที่พรรคประชาชนปฏิรูปยืนยันจะใช้ไพรมารี่โหวตในระบบเขตเลือกตั้งแน่นอน ขณะที่ระบบบัญชีรายชื่อต้องพิจารณารายละเอียดอีกครั้งหลังจากเห็นเนื้อหาคลายล็อกแล้ว.
'อนุทิน' ค้าน อีอีซี-รถไฟความเร็วสูง ชี้ ควรเอาเงินหลายแสนล้านมาพัฒนาคนในประเทศก่อน
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1112575
“อนุทิน” แนะ รัฐนำเงินไปพัฒนาคนก่อนสร้างรถไฟความเร็วสูง-ลงทุนอีอีซี ถาม ใครจะโดยสารรถไฟความเร็วสูง หากเกษตรกรชนบทรายได้ไม่แน่นอน
เมื่อวันที่ 1 กันยายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับความคุ้มค่าจากการใช้งบประมาณมหาศาลสร้างรถไฟความเร็วสูง และการดำเนินโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ว่า
ไม่ได้ปฏิเสธการสร้างรถไฟความเร็วสูงและโครงการอีอีซี แต่ต้องการนำเม็ดเงินจำนวนนี้ ไปพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้คนรากหญ้า มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างทั่วถึง มีการศึกษาที่ดีขึ้น เป็นรากฐานและกำลังการผลิตที่สำคัญของชาติ เมื่อคนเข้มแข็ง ชาติเข้มแข็ง จากนั้น จึงค่อยพัฒนาต่อยอดในส่วนอื่นต่อไป
“ไม่ใช่ผมจะไม่ทำรถไฟเร็วสูงหรือยุบอีอีซี แต่ผมต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชนโดยรวมก่อน ประเทศไทยป่วยมานาน เพิ่งออกจากห้องไอซียู ก็ควรจะค่อยๆ ฟื้นฟูสภาพด้วยการทำกายภาพบำบัดให้ทรงตัวได้มั่นคงก่อน จากนั้นก็เริ่มเดินให้เร็วขึ้นแล้วจึงวิ่งไม่ใช่ออกมาแล้ววิ่งเลย แล้วก็ต้องล้มอีก เที่ยวนี้อาจไม่มีโอกาสลุกขึ้นมาอีกก็ได้ …
ผมถามว่า รถไฟความเร็วสูง ใครจะเป็นผู้โดยสาร ในเมื่อคนชนบทส่วนใหญ่มีรายได้จากภาคเกษตรที่ไม่แน่นอน บางช่วงผลผลิตราคาตกต่ำ ขอให้ผม ไปหาผู้โดยสารมาให้ก่อนจะดีหรือไม่
ผมถามว่าโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าใน กทม. อีกหลายเส้นทาง ทั้งที่ตอนนี้การจราจรใน กทม.ติดไปทุกเส้นทาง ยังไม่พออีกหรือ
ผมไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาประเทศ แต่ผมเห็นว่าโครงการอีอีซี บุคลากรในเทคโนโลยีชั้นสูงหรือยัง
เราควรจะนำเม็ดเงินหลายแสนล้านบาท มาพัฒนาทรัพยากรบุคคลในประเทศ ให้มีความพร้อมก่อนจะดีกว่าหรือไม่
ลูกหลานเป็นหนี้ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกจากรั้วสถาบันการศึกษา จำนวนหลายล้านคน เป็นเงินหลายแสนล้านบาท กำลังทยอยไปสู่กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องบังคับคดี ถูกหักเงินเดือน ถูกยึดที่ทำกิน ถูกยึดรถ ยึดบ้าน ขายทอดตลาด
ผมจึงเห็นว่าเราควรต้องกลับมาจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศเสียใหม่”