🥕~มาลาริน~ปีทองของข้าวไทย ลุงตู่อวดปีนี้ส่งออกข้าวทะลุ 10 ล้านตัน..น่ายินดีเกษตรกรนครปฐมยิ้มหัวปลีส่งออก หัวละ 1,000 บ.


"ปีทองของข้าวไทย” นายกฯโวปีนี้ส่งออกข้าวทะลุ 10 ล้านตัน


"ปีทองของข้าวไทย” นายกฯโวปีนี้ส่งออกข้าวทะลุ 10 ล้านตัน

นายกฯลั่นรัฐบาลนำพาพี่น้องเกษตรกรไปสู่การปฏิรูปภาคการเกษตรให้ได้ วอนเข้าใจ-ร่วมมือสร้างวิถีปฏิบัติใหม่ แก้ไขของเก่าที่หมักหมม ชูปี 2561 "ปีทองของข้าวไทย” คาดส่งออกข้าวทะลุ 10 ล้านตันแน่ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคมว่า ยินดีกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกแห่งที่ได้รับรางวัลการบริหารจัดการที่ดี และที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน เพื่อจูงใจและส่งเสริม อปท.ทั่วประเทศพัฒนาการบริหารจัดการท้องถิ่นของตนเอง ทั้งจัดบริการสาธารณะหรือกิจกรรมสาธารณะให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล จากกุศโลบายดังกล่าวจะก่อให้เกิด อปท.ต้นแบบที่มีแนวทางปฏิบัติที่ดี อีกทั้งยังจะสร้างความกระตือรือร้น ใช้ความคิด ความรู้ความสามารถ และพัฒนาทีมงานใน อปท.ไปด้วยในตัว แสดงออกถึงระดับความพร้อมในการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น นำมาซึ่งประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนทุกคน

สำหรับเรื่องขยะต้องการย้ำเตือนให้เกิดความตระหนักให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือ ร่วมใจกัน เพราะลำพังภาครัฐเองคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศได้ หากเราสามารถดำเนินการอย่างต่อเนื่อง น่าจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างการเลิกใช้ถุงพลาสติกได้อย่างยั่งยืน รวมแก้ปัญหาน้ำเสีย โดยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ต้องอยู่บนพื้นฐานการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ผ่านมาหรือยุค 3.0สร้างปัญหาสะสม หมักหมม ให้กับบ้านเมืองของเรามากมาย มีทั้งวิกฤติ และโอกาส 

วันนี้เราต้องเปลี่ยนหลักคิด สร้างวิถีปฏิบัติใหม่ เพื่อแก้ไขของเก่า และป้องกันของใหม่ ไม่ให้ผิดพลาดซ้ำรอยเดิม ปัจจุบันนั้นปัญหาแม่น้ำลำคลอง น้ำเน่าเสีย ที่ถูกระบายลงสู่ท้องทะเลไทย นับเป็นวัฏจักร – ห่วงโซ่ของน้ำที่น่าห่วงกังวล ตนกำลังพูดถึง ก็คือสาเหตุของปัญหา ที่เกิดขึ้นในหลากหลายกิจกรรม ทั้งที่เราทุกคนรับรู้และที่เราไม่เคยสนใจ ที่ต้องนำมากล่าว ไม่ได้ต้องการจะกล่าวโทษใคร เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนได้ตระหนัก และร่วมกันรับผิดชอบ ปัญหาเหล่านี้ จะหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของประเทศ แต่การพัฒนาที่ยั่งยืน ต้องเป็นการพัฒนาทางวัตถุและจิตใจควบคู่กันไปด้วย

ขณะที่การสร้างอนาคตประเทศไทย จะสำเร็จสมบูรณ์ไม่ได้เลย ถ้าวันนี้เราไม่มีรากฐานที่แข็งแรงของภาคการเกษตร ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ หากมองย้อนกลับไปจนถึงปัจจุบันนี้ ทุกอย่างค่อยๆ ปรับเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น อาจจะค่อนข้างช้า เพราะเป็นคนส่วนใหญ่ รัฐบาลมุ่งเสริมสร้างให้เกิดรากฐานที่ดี เพื่อจะเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เราจะสร้างชาติผ่านภาคการเกษตรที่สำคัญไปด้วยกัน เราทิ้งเขาไว้ไม่ได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นคง เข้มแข็ง ยั่งยืน ภาคการเกษตรเปรียบเสมือนรากฐานที่สำคัญของประเทศ ถ้ารากต้นไม้แข็งแรง ต้นไม้จึงจะเติบโตแผ่กิ่งก้านใบออกดอกติดผลได้ 

วันนี้ต้องสร้างภาคการเกษตรของเราเข้มแข็ง มีกระบวนการสร้างและพัฒนาพึ่งพาตนเอง วันนี้การส่งเสริมการเกษตรของไทยยังคงต้องเน้นผ่านกระบวนการกลุ่มสร้างความเข้มแข็งผ่านองค์กรเกษตรกร สำหรับสถานการณ์ข้าวในปีนี้ หลายประเทศต้องประสบกับปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ทำให้พื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวเอเชีย  ก็เป็น“ปีทองของข้าวไทย” อีกปีหนึ่ง เมื่อปีที่แล้วซึ่งไทยส่งออกข้าวทั้งสิ้น 11.63 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.93 แสนล้านบาท  คาดว่าปีนี้จะส่งออกข้าวได้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านตัน ก็จะเป็นผลดีต่อราคาข้าวเปลือกในประเทศ และไม่ใช่เฉพาะเรื่องข้าวอย่างเดียว รวมไปถึงพืชผลทางการเกษตรอื่นๆของประเทศด้วย เราจะได้ใช้โอกาสนี้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต ที่จะไม่นำมาสู่วังวนทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ตกต่ำ เนื่องจากจำนวนผลิตมากเกินไป

ทั้งนี้เป็นเพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะเห็นว่าอะไรที่ราคาดีก็เฮโลกันปลูกพืชชนิดเดียวกันในเวลาเดียวกัน ตลาดที่มีอยู่เท่าเดิมรองรับไม่ไหว เมื่อผลผลิตล้นตลาด เมื่อสถานการณ์นอกประเทศหรือที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ เขาเป็นปรกติ ข้าวมันก็เกิน เกินความต้องการ เราก็ถูกกดราคา ราคาที่เคยดีอยู่ก็ตกต่ำกลับเป็นปัญหาซ้ำๆ เดิมๆ อยู่แบบนี้ถ้าเราไม่ปรับเปลี่ยน ไม่เชื่อคำแนะนำของภาครัฐ  ไม่ใช้ข้อมูลทางดิจิตอลออกไปเสริมด้วย เราก็จะไม่รู้อะไรเลย เราจะผลิตอย่างเดียวให้มากที่สุด ให้ได้เงินมากที่สุด จริงๆ แล้วมันยิ่งได้เงินน้อยลง ต้องผลิตแต่พอสมควร ให้คำนึงถึงการตลาดด้วยเสมอ รัฐบาลนี้จะนำพาพี่น้องเกษตรกรไปสู่การปฏิรูปภาคการเกษตรให้ได้  ก็ขอเพียงความเข้าใจและร่วมมือเท่านั้น 

นอกจากนี้สินค้าเกษตรหลายชนิด เรายังสามารถปลูกเพื่อทำรายได้กลับเข้าสู่ประเทศ ทั้ง กล้วยไม้ ทุเรียน ลำไย มังคุด กาแฟ และอีกหลายชนิดสินค้านะครับ ที่จะสามารถสร้างสินค้าเกษตรให้มีความเข้มแข็งขึ้น เราจำเป็นที่จะต้องเดินไปพร้อมๆกันทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และจะต้องสาน “พลังประชารัฐ” ร่วมกัน จะสามารถสร้างมูลค่าการผลิตภาคเกษตรGDP คิดเป็นมวลรวมภาคเกษตรได้ 1.35 ล้านล้านบาท และในสัปดาห์นี้ รัฐบาล โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร จัดงานเกษตรสร้างชาติขึ้น ระหว่างวันที่ 30 ส.ค.-2 ก.ย.ณ สวนลุมพินี


http://www.banmuang.co.th/news/politic/123636


เกษตรกรนครปฐมยิ้มรับหัวปลีส่งออก หัวละ 1,000 บาท




นครปฐม - เกษตรกรเตรียมเฮ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียนิยมนำหัวปลีไปประกอบอาหารทดแทนการบริโภคเนื้อสัตว์ ราคาสูงถึงหัวละ 1 พันบาท ขณะที่ประเทศไทยแทบไม่มีราคา ปูเสื่อรอยอดสั่งซื้ออย่างมีความหวัง 
       
       นายแสวง พรรธน์วัฒนากร อายุ 63 ปี หมู่ 11 ตำบลห้วยม่วง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เกษตรกรปลูกกล้วยน้ำว้าขาย บนพื้นที่ 13 ไร่ เผยว่า ขณะนี้หัวปลีไทยที่ขายในประเทศเยอรมนี มีราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 1,000 บาท หรือหัวละ 6-8 ยูโร อีกทั้งยังหาซื้อได้ยากอีกด้วย แต่สำหรับในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ปลูกกล้วยน้ำว้ากันได้ทุกจังหวัด และมีหัวปลีจำนวนมาก จึงทำให้หัวปลีไม่ค่อยมีราคา ขณะนี้ยังรอกลุ่มผู้ส่งออกมารับซื้อ ซึ่งคิดว่าน่าจะได้ราคาเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว เป็นทางเลือกที่ดี และสดใสสำหรับเกษตรกรหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้
       
       จากการสอบถามบรรดาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดปฐมมงคล (ตลาดใหญ่นครปฐม) ก็พบว่า มีการนำหัวปลีมาวางขายกันไม่มากนัก ร้านละ 5-10 กิโลกรัม ขายในราคา กิโลกรัมละ 10 บาท แตกต่างจากกลุ่มผู้ส่งออกซึ่งจะมาเหมาหัวปลีเพื่อไปจำหน่ายยังกลุ่มประเทศแถวทวีปยุโรป ซึ่งมีข้อมูลว่า ที่นั่นยังขาดตลาด และต้องมีการจองคิวกันโดยไม่มีกำหนด ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ราคาของหัวปลีของเกษตรกรมีราคาดีขึ้นในอนาคตด้วย
       
       ทั้งนี้ เนื่องจากหัวปลีจะมีความเหนียวของเส้นใยเป็นไฟเบอร์ชั้นดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพร ทั้งการรับประทาน หรือนำมาใช้เป็นยารักษาภายนอกได้อีกด้วย สรรพคุณของหัวปลียังมีอีกมากมาย เช่น บำรุงรักษาฟันให้แข็งแรง ทำให้ฟันขาวสะอาด บำรุงรักษานม สำหรับแม่ลูกอ่อนได้เป็นอย่างดี ช่วยแก้อาการเจ็บท้อง รักษาโรคกระเพาะ รักษาแผลสด และดูดหนอง
       
       บรรเทาอาการบวมจากแมลงสัตว์กัดต่อย ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยในเรื่องโรคเบาหวาน บำรุงรักษาธาตุ บำรุงเลือด ช่วยโรคโลหิตจาง ช่วยให้โลหิตไหลเวียนดี บำรุงรักษาไส้ รักษาแผลในปากให้หายเร็วขึ้น ช่วยเรื่องปากเปื่อยยุ่ย แก้ร้อนใน ทำให้ทรวงอกแต่งตึง ไม่หย่อนยาน เพิ่มธาตุเหล็กในร่างกาย และบำรุงผิวพรรณให้นวลเนียน ดูแล้วผ่องใสขึ้น ดังนั้น ในประเทศเยอรมนีจึงนำจุดเด่นของหัวปลีไทย นำมาทำเป็นอาหารกันอย่างแพร่หลาย
       
       สำหรับหัวปลี สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้อย่างหลากหลาย เช่น แกงต้มข่าไก่ แกงเลียง ชุบแป้งทอด ยำกบ ห่อหมก ต้มจิ้มน้ำพริก ใช้เป็นผักดิบกินแก้มกับผัดไทย ขนมจีนน้ำยา เป็นต้น แต่คนไทยจำนวนมากยังมองหัวปลีไม่มีคุณค่าอะไรมากนัก ทำให้ราคาขายหัวปลีมีราคาค่อนข้างถูก และเจ้าของสวนบางแห่งถึงกับต้องตัดทิ้งอย่างไร้คุณค่าอีกด้วย

https://www.news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000085541





https://www.news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000085541


หัวปลี หรือ ปลีกล้วยไทย โด่งดังในเยอรมัน กก.ละ 1,000 บาท แถมขาดตลาดอีกด้วย




หัวปลี หรือ ปลีกล้วย ของไทยเรา น่าจะเป็นอาหารพื้นบ้านเราที่หลายๆ คนรู้จักกันดีนะครับ ปกติเราก็ตัดปลีกล้วยทิ้งบ้าง เพื่อไม่ให้มันแย่งอาหารกล้วยที่มันออกมาครบทุกหวีแล้ว บ้างก็เอาไปขาย บ้านเราเต็มที่ก็ กก.ละ 20-40 บาท ซึ่งคนที่ซื้อก็เอาไปทำ แกงหัวปลี, เป็นผักกินกับขนมจีนก็อร่อยดี, เอาไปยำก็อร่อย แต่ตอนนี้ ที่เยอรมัน กลุ่มที่เรียกว่า วีแกน ซึ่งก็คือกลุ่มที่กินมังสวิรัติ เขานิยมกินหัวปลีไทยของเรา เพราะนอกจากอร่อยแล้ว ยังมีประโยชน์มากมาย ทำให้ตอนนี้ ขายดี จนราคาสูงถึง กิโลกรัมละ 1,000 บาท โห แบบนี้ ไปรับซื้อชาวบ้าน แล้วส่งขายเยอรมันกันดีไหมนี่ ฮ่าๆ


สืบเนื่องจาก อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เปิดเผยว่า นครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมัน มีแนวโน้มในการนำหัวปลีมาทำเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ทำให้หัวปลีมีราคาแพง และขาดตลาด จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ค้าส่งออกไทย จะได้นำหัวปลีเข้าสู่ตลาดเยอรมันได้มากขึ้นอีกด้วย




หัวปลี มีประโยชน์มากมาย



หัวปลีไทย ส่วนใหญ่จะตัดก็ต่อเมื่อกล้วยออกมาครบทุกหวีแล้ว



https://talk.mthai.com/inbox/462502.html


ปีทองของข้าวไทยจริงๆค่ะ  ในยุคอื่นก็ไม่มีให้เห็น

ผลผลิตอื่นๆก็ดีขึ้นนะคะ

ยินดีไปด้วยค่ะ...flowerflowerflowerflowerflower


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่