อันเนื่องมาจากตกงานแบบได้เงินชดเชย เลยถือโอกาสไปเที่ยวมันเสียเลย ซึ่งทุกคนในบ้านเห็นพ้องต้องกันว่าไปไต้หวันกันดีกว่า แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะกลับมาแล้วชอบไต้หวันกันทั้งบ้าน
ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินข่าวเรื่องเทศกาลภาพยนตร์สารคดีจากไต้หวันครั้งแรกในประเทศไทย ก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากไปดูสักเท่าไหร่

จนกระทั่งได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง Stranger in The Mountain แล้วรู้สึกสนใจ จองตั๋วทันที เพราะโฆษณาว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับลูกหลานของกองพัน 93 ที่ผาตั้ง จังหวัดเชียงใหม่ และที่ไต้หวัน โดยพูดถึงคนพลัดถิ่นที่ไม่รู้สึกว่าเป็นคนของที่ไหนสักแห่ง
ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่า มีคำถามในใจมากมาย หลายคำถามก็ได้รับคำตอบในเรื่อง หลายคำถามมากระจ่างหลังหนังจบ จากคำตอบของคุณลิซ หนึ่งในซับเจค ( เข้าใจว่าคงเป็นทำหนังสารคดีเพราะได้ยินทั้งในการสัมภาษณ์และอ่านจากข้อเขียนของคนในวงการนี้)
หนังนำเสนอเรื่องของคน 3 กลุ่ม กลุ่มแรกที่เปิดเรื่องมาคือ ลูกหลานรุ่นที่ 2 และ 3 ของกองพัน 93 จากยูนาน ของสาธารณรัฐจีน (ประเทศไทยเรียกว่าคณะชาติจีน) ที่ตกค้างอยู่บนดอยทางภาคเหนือของไทย กลุ่มที่สองคือ ลูกหลานรุ่นที่ 2 ของกองทัพสาธารณรัฐจีน จากมณฑลยูนาน ที่อพพยมาอยู่ที่บนดอย (จำชื่อไม่ได้ ) ทางตอนกลางของไต้หวัน และกลุ่มที่ 3 คือครอบครัวที่อพพยจากพม่ามาอยู่บนดอย แต่ครอบครัวนี้บอกว่าไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นคนจีนจากยูนาน

เรื่องราวของกองพัน 93 นั้น เคยอ่านประวัติศาสตร์มาแล้วจากหลายแหล่ง ข้อมูลที่นำเสนอในหนังจึงไม่ได้ทำให้ฉันตื่นเต้น มีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมาตลอดเรื่องว่า คนรุ่นที่สอง รุ่นที่สาม ที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยยังไม่รู้สึกว่าเป็นคนไทยอีกหรือ
ฉันมีเพื่อนที่ปู่ย่าเป็นคนจีนอพพย ม่าม้า (เรียกตามเพื่อน) ก็เป็นคนจีนที่ยึดถือธรรมเนียมจีน แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนจีน เพื่อนเคยเล่าให้ฟังขำ ๆ ว่าช่วงที่กฎหมายเปิดช่องให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินในรูปบริษัท ม่าม้าบ่นทำนองไม่เห็นด้วยว่า
" อีกหน่อยพวกคนจีนก็มาซื้อกันหมด"
เพื่อนก็เลยแซวว่า
"อ้าว ม้า เราไม่ใช่คนจีนหรือ"
ครอบครัวฉันไม่ว่าฝั่งพ่อหรือแม่ ไม่มีเชื้อสายจีนเลย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเพื่อนเชื้อสายจีน หรือเชื้อสายอื่น ไม่ใช่คนไทย กลับสนุกด้วยซ้ำที่ได้ไปทำอะไรตามธรรมเนียมคนอื่น เคยมีปีหนึ่งม่าม้าก็ฝากอังเป่ามาให้ เพราะเคยบ่นว่าอยากได้อังเป่าบ้าง อยากรู้ว่ารู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าตรุษจีนจะมีไก่ ขนมเทียน ขนมเข่ง ให้กินทุกปี เพราะแม่เป็นครู เหล่าผู้ปกครองลูกศิษย์ที่เป็นคนจีนก็จะนำของหลังไหว้มาให้เสมอ
และเท่าที่สังเกตเพื่อนฝูง คนรอบตัวทุกคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติอะไร จะลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว ล้วนแต่คิดว่าตนเองเป็นไทยทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับไทยกลืนชาติเก่งหรืออะไร แต่มันเพราะแผ่นดินนี้ไม่ได้แบ่งแยกใครออกจากกัน เว้นแต่จะหาเรื่องดราม่า อันนั้นก็ตัวใครตัวมัน ไปเถียงกันเองแล้วกัน
คำโฆษณาของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ฉันอยากรู้มากว่า ทำไมยังรู้สึกว่ายังเป็นคนแปลกหน้าบนแผ่นนี้กันอยู่ ( เป็นคนละประเด็นกับการอพพยเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ที่ผู้กำกับพยายามแทรกเข้ามา ประเด็นนี้มันซับซ้อนกว่านั้น จึงลากจูงคนดูไปให้งงเปล่า ๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน )
หลังจากดูหนังจบและฟังคำตอบจากคุณลิซ ซึ่งเป็นซับเจคคนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ แล้วทำให้คิดว่า
งานเขียน ภาพยนตร์ (จะบันเทิงหรือสารคดี) ล้วนเป็นมุมมองของคนเจ้าของงาน ซึ่งแน่นอนย่อมมีอคติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีหลายข้อมูลที่สารคดีก็เลือกนำเสนอเฉพาะที่ผู้กำกับอยากให้คนอื่นเข้าใจเช่นนั้น และละเลยข้อมูลบางประการ เพื่อให้ทิศทางของสารคดีเป็นไปตามที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสาร
แน่นอนว่านั่นคงเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของผู้กำกับและคนไต้หวันจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า
คนไต้หวันล้วนเป็นคนแปลกหน้าคนนั้น
Stranger in The Mountain ใครคือคนแปลกหน้า
ถึงอย่างนั้นเมื่อได้ยินข่าวเรื่องเทศกาลภาพยนตร์สารคดีจากไต้หวันครั้งแรกในประเทศไทย ก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากไปดูสักเท่าไหร่
จนกระทั่งได้ดูตัวอย่างหนังเรื่อง Stranger in The Mountain แล้วรู้สึกสนใจ จองตั๋วทันที เพราะโฆษณาว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับลูกหลานของกองพัน 93 ที่ผาตั้ง จังหวัดเชียงใหม่ และที่ไต้หวัน โดยพูดถึงคนพลัดถิ่นที่ไม่รู้สึกว่าเป็นคนของที่ไหนสักแห่ง
ตลอดเวลา 2 ชั่วโมงกว่า มีคำถามในใจมากมาย หลายคำถามก็ได้รับคำตอบในเรื่อง หลายคำถามมากระจ่างหลังหนังจบ จากคำตอบของคุณลิซ หนึ่งในซับเจค ( เข้าใจว่าคงเป็นทำหนังสารคดีเพราะได้ยินทั้งในการสัมภาษณ์และอ่านจากข้อเขียนของคนในวงการนี้)
หนังนำเสนอเรื่องของคน 3 กลุ่ม กลุ่มแรกที่เปิดเรื่องมาคือ ลูกหลานรุ่นที่ 2 และ 3 ของกองพัน 93 จากยูนาน ของสาธารณรัฐจีน (ประเทศไทยเรียกว่าคณะชาติจีน) ที่ตกค้างอยู่บนดอยทางภาคเหนือของไทย กลุ่มที่สองคือ ลูกหลานรุ่นที่ 2 ของกองทัพสาธารณรัฐจีน จากมณฑลยูนาน ที่อพพยมาอยู่ที่บนดอย (จำชื่อไม่ได้ ) ทางตอนกลางของไต้หวัน และกลุ่มที่ 3 คือครอบครัวที่อพพยจากพม่ามาอยู่บนดอย แต่ครอบครัวนี้บอกว่าไม่ใช่คนพม่าแต่เป็นคนจีนจากยูนาน
เรื่องราวของกองพัน 93 นั้น เคยอ่านประวัติศาสตร์มาแล้วจากหลายแหล่ง ข้อมูลที่นำเสนอในหนังจึงไม่ได้ทำให้ฉันตื่นเต้น มีแต่คำถามที่ผุดขึ้นมาตลอดเรื่องว่า คนรุ่นที่สอง รุ่นที่สาม ที่อพยพมาอยู่ในเมืองไทยยังไม่รู้สึกว่าเป็นคนไทยอีกหรือ
ฉันมีเพื่อนที่ปู่ย่าเป็นคนจีนอพพย ม่าม้า (เรียกตามเพื่อน) ก็เป็นคนจีนที่ยึดถือธรรมเนียมจีน แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนจีน เพื่อนเคยเล่าให้ฟังขำ ๆ ว่าช่วงที่กฎหมายเปิดช่องให้คนต่างชาติมาซื้อที่ดินในรูปบริษัท ม่าม้าบ่นทำนองไม่เห็นด้วยว่า
" อีกหน่อยพวกคนจีนก็มาซื้อกันหมด"
เพื่อนก็เลยแซวว่า
"อ้าว ม้า เราไม่ใช่คนจีนหรือ"
ครอบครัวฉันไม่ว่าฝั่งพ่อหรือแม่ ไม่มีเชื้อสายจีนเลย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าเพื่อนเชื้อสายจีน หรือเชื้อสายอื่น ไม่ใช่คนไทย กลับสนุกด้วยซ้ำที่ได้ไปทำอะไรตามธรรมเนียมคนอื่น เคยมีปีหนึ่งม่าม้าก็ฝากอังเป่ามาให้ เพราะเคยบ่นว่าอยากได้อังเป่าบ้าง อยากรู้ว่ารู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าตรุษจีนจะมีไก่ ขนมเทียน ขนมเข่ง ให้กินทุกปี เพราะแม่เป็นครู เหล่าผู้ปกครองลูกศิษย์ที่เป็นคนจีนก็จะนำของหลังไหว้มาให้เสมอ
และเท่าที่สังเกตเพื่อนฝูง คนรอบตัวทุกคน ไม่ว่าจะเชื้อชาติอะไร จะลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว ล้วนแต่คิดว่าตนเองเป็นไทยทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับไทยกลืนชาติเก่งหรืออะไร แต่มันเพราะแผ่นดินนี้ไม่ได้แบ่งแยกใครออกจากกัน เว้นแต่จะหาเรื่องดราม่า อันนั้นก็ตัวใครตัวมัน ไปเถียงกันเองแล้วกัน
คำโฆษณาของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำให้ฉันอยากรู้มากว่า ทำไมยังรู้สึกว่ายังเป็นคนแปลกหน้าบนแผ่นนี้กันอยู่ ( เป็นคนละประเด็นกับการอพพยเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ที่ผู้กำกับพยายามแทรกเข้ามา ประเด็นนี้มันซับซ้อนกว่านั้น จึงลากจูงคนดูไปให้งงเปล่า ๆ ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน )
หลังจากดูหนังจบและฟังคำตอบจากคุณลิซ ซึ่งเป็นซับเจคคนหนึ่งในหนังเรื่องนี้ แล้วทำให้คิดว่า
งานเขียน ภาพยนตร์ (จะบันเทิงหรือสารคดี) ล้วนเป็นมุมมองของคนเจ้าของงาน ซึ่งแน่นอนย่อมมีอคติ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มีหลายข้อมูลที่สารคดีก็เลือกนำเสนอเฉพาะที่ผู้กำกับอยากให้คนอื่นเข้าใจเช่นนั้น และละเลยข้อมูลบางประการ เพื่อให้ทิศทางของสารคดีเป็นไปตามที่ผู้กำกับต้องการจะสื่อสาร
แน่นอนว่านั่นคงเป็นความรู้สึกลึก ๆ ของผู้กำกับและคนไต้หวันจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า
คนไต้หวันล้วนเป็นคนแปลกหน้าคนนั้น