วันนี้เราเพิ่งไปจดทะเบียนหย่ามาค่ะ
เมื่อก่อนเคยคิดว่า เวลาคนไปจดทะเบียนหย่า จะรู้สึกยังไงนะ เศร้า หน่วง หรือยังไง
ในวันนี้ เราได้รู้แล้ว ...
เราตัดสินใจที่จะหย่ากับสามี(เก่า) เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง
แต่เหตุผลหลักๆเลยก็คือ
เราไม่รักกันแล้ว
เราอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ มีลูกกับสามี 1 คน อายุขวบกว่าๆ
เราอาศัยอยู่ในบ้านสามีมาโดยตลอดค่ะ ตั้งแต่ย้ายมา
เราเริ่มมีปัญหาระหองระแหง กับสามีมาตลอดตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่อยู่ด่วยกัน
สาเหตุก็อาจจะเหมือนหลายๆครอบครัวค่ะ คือ มือที่สาม ..
แต่ส่วนตัวเรามองว่า เป็นเพราะความรักของเรา 2 คนไม่แข็งแรงเองต่างหาก เลยทำให้มีมือที่สามเกิดขึ้นมา
และเราเองก็เป็นคนไม่อ่อนหวานด้วย
ตั้งแต่นั้นมาผู้ชายที่เราเคยคิดว่าดี ก็เริ่มเปลี่ยนไป
เรื่องเล็กๆ ก็สามารถเอามาเป็นประเด็นด่าเรา ตกคอกเรา ไม่ว่าจะเป็น
ลืมปิดไฟห้องน้ำ / ออกจากบ้านลืมกระเป๋าตังค์ / รีบออกจากบ้านแล้วไม่ได้พับผ้าห่ม / หรือแม้แค่การเปิดไฟห้องรับแขกโดยไม่ปิดผ้าม่าน
เรียกง่ายๆว่าด่าได้ทุกเรื่อง ... แล้วก็ไม่ได้ด่าเราคนเดียวนะคะ กับพ่อ แม่ และน้องสาวเค้าก็ด่า .. จนเรารู้สึกว่านี่เค้าบ้าหรือเปล่า ทะเลาะกันบ่อยมาก
เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเป็นอารมณ์เลย
ลืมปิดไฟ ก็ปิดสิ / ลืมกระเป๋าตังค์ก็กลับไปเอาสิ คือ ง่ายๆแค่นั้น
พอทะเลาะกันบ่อย มันก็ไม่อยากอยู่ด้วยกัน เค้าก็จะออกนอกบ้านทุกวันหลังเลิกงาน
หลังเราเลิกงานกลับมาบ้านก็จะเจอความว่างเปล่า แม่เค้าก็จะบอกกับเราว่า อย่าทะเลาะ ให้เราเงียบ..
คือเราก็อดทนนะ เพราะเราก็รู้สึกว่า เออ เราก็มีข้อเสีย .. แต่บางครั้งมันก็ท้อ หลายครั้งที่เราเห็นเค้าโมโหใส่พ่อ ใส่แม่เค้าแล้วเรารู้สึกแย่กับผู้ชายคนนี้มาก
เราอดทนจนเราทนไม่ไหว เค้าไล่เราให้ออกไปจากบ้านเค้า เราได้แต่ยืนอึ้ง ในใจนี่นึกแบบ อ้าว อีนี่
ตอนจะให้เราย้ายมาที่นี่ก็ กระ

กระหือรือ เราขอหางานหาการทำก่อน ก็ฟึดฟัด
พอบทจะไล่ก็ไล่เป็นหมูเป็นหมา ... พอเค้าออกไปทำงาน เรานี่ร้องไห้ จะเป็นจะตาย
แล้วถามว่าย้ายไหม ..... ย้ายสิคะ รออะไร
แต่สุดท้าย ก็มีสาเหตุที่ต้องกลับมาค่ะ ...
ต้องยอมรับว่าตอนนั้นยังรัก พอเค้ามาง้อ ก็ยอมค่ะ ใจอ่อนค่ะ
พอกลับไปรอบนี้ เค้าก็บอกเราเลยว่าเค้าอยากมีลูก
ชะนีอย่างเรา ไม่ได้นึกเลย ว่าเค้าทำอะไรกับเราไว้บ้าง
แม้ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะมีลูกแต่ก็เอาวะ มีก็มีวะ
ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เอาอีกแล้วค่ะ แบบเดิม ไล่เราอีกแล้ว
ด้วยเหตุผลเดิมๆค่ะ มีผญ.อื่น
เราก็ไปอีกค่ะ ...คราวนี้ไม่ฟูมฟายแล้วค่ะ
แต่ก็มีเหตุให้ต้องกลับไป ..ใช่ค่ะ เราท้อง
ช่วงแรกๆ เหมือนอะไรๆก็มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
เป็นห่วง ตามใจทุกอย่าง อารมร์ดีไม่ค่อยมีปัญหากันแล้ว
แต่พอผ่านไป สักระยะ เข้าสู่เดือนที่ห้า เราต้องไปหาหมอเอง
เวลาฝนตก ของให้มารับก็ยังถุกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า ตีแบด อยู่กับเพื่อน
ถ้าจะให้ไปรับก็รอไปก่อน ...
เข้าเดือนที่ 6 เราป่วย แล้วไอทั้งคืนแทนที่เค้าจะช่วยดูแล
แต่กลับตื่นขึ้นมาด่าเราว่าทำไมไม่ใส่ผ้าปิดปาก -*-
คือ นอนไม่สะดวกไงเวลาใส่ผ้าปิดปาก ถ้าออกไปข้างนอกปกติก็ใส่นะคะ
พอหลังจากนั้น ก็เอาอีกแล้วค่ะ ..ไล่เรากลับประเทศไทยไปเลยค่ะคราวนี้
เราไม่รู้จะทำยังไงตอนนั้น ... ร้องไห้โฮเลยค่ะ แล้วก็ไม่ได้ย้ายไปไหนหรอก
ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แล้วก้อยู่กันแบบนั้นมาตลอด
กี่คินต่อกี่คืนที่นอนร้องไห้คนเดียว ..
พยายามไม่ร้องค่ะ เพราะกลัวส่งผลต่อลูก
แต่บางครั้งมันก็กลั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ
อยู่แบบอดทนเป็นคนบ้าไปแบบนั้นแหละ
จนคลอด ตอนคลอดเค้าก็ดูแลดีค่ะ
ไปส่งร.พ. เข้าห้องคลอด คอยไปให้กำลังใจ หายใจ 1-2-3 เบ่งไปพร้อมๆกัน
นอนเฝ้าที่ร.พ. นั่นนี่
แต่พอกลับมาบ้านก็เข้ารูปแบบเดิมค่ะ
เค้าทำงานจันทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์
แล้ววันอาทิตย์ ..เค้าก็จะออกไปกับเพื่อน ตลอด สอง สามเดือนแรกที่ลูกคลอด
เราก็ได้แต่บอกเค้าว่า ใช้เวลาอยู่กับลุกบ้าง
เค้าก็เริ่มจะอยู่ติดบ้านมากขึ้น แต่ก้ได้อยู่2-3สัปดาห์ ก็กลับเข้ามาอีหรอบเดิม
พอเข้าเดือนที่ 7 เราเริ่มหมดความอดทนค่ะ
มีอยู่สัปดาห์นึงที่คนเลี้ยงขอลา แล้วเราไม่สามารถลางานได้
เราถามสามีว่าอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้ไหม เค้าก็รับปาก
แต่พอวันก่อนหน้า เราเห็นเค้าเก็บกระเป๋าเหมือนจะไปแคมป์ปิ้ง เราก็แอบปรี๊ด
แต่ก็ยังใจเย็นถามเค้าว่า จะไปไหน ไปกับใคร รู้ใช่ไหมว่าพรุ่งนี้ต้องดูลูก
แต่คำตอยที่ได้คือเงียบ ....
เค้ายิ่งเงียบ เรายิ่งถาม พอยิ่งถามก็ยิ่งโมโห .....
และก็โมโหทั้งคู่ จุดชนวนแตกหัก
เค้าตวาดเรา บอกจะถามทำไม เมื่อก่อนก็ไม่เคยถาม
เราก็สวนกลับว่า ที่ไม่ถามเพราะคิดว่าจะคิดได้ด้วยตัวเอง
เป็นพ่อคนขนาดนี้ นึกว่าจะคิดได้ แต่เปล่าเลย
เค้าเลยบอกกับเราว่า หย่ากันไปเลย ลูกน่ะเค้ายกให้
เราก็ขึ้นค่ะตอนนั้น แต่ก็กอดลูกไว้ ปิดหูลูกแล้วก็พูดด้วยเยือกเย็นว่า อยาก ทำอะไรก็ทำ
แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป
พอวันรุ่งขึ้น เราเลิกงานและก็นั่งเลี้ยงลูกอยู่
เค้าเดินเข้ามาถามว่าจะเอายังไง
เราก็ตอบกลับไปด้วยเสียงเฉยๆว่าก็แล้วแต่
เค้าก็บอกว่า ตามกฏหมายที่นี่ต้องแยกกันอยู่ก่อนถึงจะหย่าได้
เราเลยบอกเค้า ให้เค้าย้ายออกไป เพราะเราจะอยู่กับลูก
ตั้งแต่วันนั้น ... เค้าก็ย้ายออกไปค่ะ
เราไม่ถาม ไม่สนใจด้วยว่าเค้าจะไปอยู่ไหน
เราคิดอยากจะพาลุกกลับไทยหลายครั้ง
แต่ก็สงสารพ่อแม่เค้า เพราะเค้าก็รักหลาน
เราเองก็อยากให้ครอบครัวเค้ารักลูกเรา อยากให้เค้ามีความผูกพันธ์กับครอบครัวทางนี้บ้าง
สามีเราเค้าก็กลับมาบ้านตอนเย็นก่อนที่เราจะกลับในบางครั้งเพื่อมาเล่นกับลุกบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เรากับเค้าแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันทั้งนั้น
ผ่านไป 8 เดือน เหมือนเราได้เริ่มฝึกการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
การที่อยู่โดยไม่มีเค้า แล้วเราก็รู้สึกว่า
มันดี...ดีกว่าตอนมีเค้าอยู่
เราไม่ต้องมานั่งฟังเค้าบ่น ไม่ต้องมานั่งดูสีหน้าเค้าว่าอารมณ์เป็นยังไง
ไม่ต้องถูกตะคอก หรือ ถูกคนโมโหใส่ สุขภาพจิตดีมากเลยค่ะ
เราพาลูกเดินทางคนเดียว ไปเที่ยวต่างประเทศ เที่ยวาสวนสัตว์ ไปว่ายน้ำ
มันดี และมีความสุขมาก และก็ไม่รู้สึกว่า เราต้องการผู้ชายคนนี้ในชีวิตอีกแล้ว
เราเริ่มเตรียมพร้อมเอกสารสำหรับการหย่า ละก็เตรียมใจ บอกคนทางบ้านเราว่าเราจะหย่า
และฟางเส้นสุดท้ายก็มาขาด ตอนที่เราพาลูกกลับมาอยู่เมืองไทย
แล้วคนเลี้ยงลูกเรา ซึ่งเป็นน้องสาวของสามีเรา
ส่งข้อความมาบอกเราว่าเค้าจะๆไม่กลับมาเลี้ยงลูกให้เราแล้ว
เพราะว่าเค้าโดนพี่ชายทุบตี
ตอนนั้นมืดแปดด้านไปหมด เอายังไงดีอีก 3 วันต้องกลับไปแล้ว
ใครจะเลี้ยงลูกตอนเราไปทำงาน จะหาคนเลี้ยงจากไหน ยังไง
เราส่งข้อความหาสามีว่า จะทำยังไง
เค้าตอบเรากลับมาว่า จะให้เค้าหาคนเลี้ยงหรอ
เราเลยบอก ถ้าไม่หาแล้วจะยังไง
ใครจะไปส่งลูกให้คนเลี้ยง ใครจะรับกลับ บลาๆ
1 คำที่เค้าตอบกลับมาว่า
ถ้าจะให้เค้าหาคนเลี้ยง ก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องพวกนี้
เพราะคำตอบนี้เราเลยคุยกับที่บ้านเราว่าขอให้ลูกเราอยู่ที่ไทย
เราโชคดีค่ะ เพราะว่าครอบครัวเราดีมาก และพร้อมซัพพอร์ทเราในทุกๆเรื่อง
ส่วนตัวเราก็ร้องไห้น้ำตาแตก เพราะต้องกลับไปทำงานเนื่องจากติดสัญญา
พอบินกลับมา สิ่งแรกที่คิดคือ ย้ายออก และหย่า
เราไปสถานฑูตไทย เพื่อขอเอกสารสำหรับการหย่า
เวลาช่วงพักกลางวัน ไปดูห้อง ไปยิ่นเอกสารการหย่า
เมื่อวานนี้เราได้ย้ายออกจากบ้านของเค้าเรียบร้อย
และวันนี้ เราก้ได้ทำการหย่า จากเค้าเรียบร้อยแล้ว
เราไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หรือรู้สึกอะไรใดๆเลย ตอนที่เดินทางไปสถานฑูต
เช้าเราก็มาทำงานตามปกติ พอช่วงเบรคก็ใช้เวลาช่วงบรค นั่งรถไปสถานฑูต
เจ้าหน้าที่ทบทวนข้อความในหนังสือหย่า...
ระหว่างนั้น เป็นซีนที่เหมือนละครมาก เพราะเพลงที่เจ้าหน้าที่ฟังมันดังขึ้นมา
"อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเคยมีความสุขเพียงใด ได้เป็นคนที่เธอเคยรักมันดีแค่ไหน แม้ฉันต้องเสียใจ ..."
เรานี่ขำพรืดดดดดด
จากนั้นก็รอท่านกงศุล สักครู่ ก็เข้าไปในห้องที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้
ระหว่างนั้นก้หยิบกุญแจบ้านคืนเค้าไป โดยไม่ได้พูดอะไร
แล้วท่านกงศุลก็มา อ่านข้อความในสัญญาอีกรอบ
แล้วท่านก็เซนต์รับรองใบหย่าให้
พอเรียบร้อย รับเอกสารแยกย้ายกันกลับทางใครทางมัน
เราเลี้ยวขวา สามี(เก่า)เลี้ยวซ้าย
ระหว่างนั้นรู้สึกโล่งใจ ที่ได้เคลียร์ตัวเอง เคลียร์ปัญหาทุกอย่างแล้ว
จากที่เคยคิดว่ามันจะจุกอก อึ้งน้ำตาแตก ...แต่ไม่เลย
มันรู้สึกปลอดโปร่ง และ เหมือนกับเราได้ความเป็นตัวเองกลับมา
ถึงเพื่อนๆผู้หญิงทุกคน
ขอให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆนะคะ... <3
การจดทะเบียนหย่า....ไม่ได้น่าเศร้าอย่างที่คิด
เมื่อก่อนเคยคิดว่า เวลาคนไปจดทะเบียนหย่า จะรู้สึกยังไงนะ เศร้า หน่วง หรือยังไง
ในวันนี้ เราได้รู้แล้ว ...
เราตัดสินใจที่จะหย่ากับสามี(เก่า) เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง
แต่เหตุผลหลักๆเลยก็คือ เราไม่รักกันแล้ว
เราอาศัยอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ มีลูกกับสามี 1 คน อายุขวบกว่าๆ
เราอาศัยอยู่ในบ้านสามีมาโดยตลอดค่ะ ตั้งแต่ย้ายมา
เราเริ่มมีปัญหาระหองระแหง กับสามีมาตลอดตั้งแต่ 6 เดือนแรกที่อยู่ด่วยกัน
สาเหตุก็อาจจะเหมือนหลายๆครอบครัวค่ะ คือ มือที่สาม ..
แต่ส่วนตัวเรามองว่า เป็นเพราะความรักของเรา 2 คนไม่แข็งแรงเองต่างหาก เลยทำให้มีมือที่สามเกิดขึ้นมา
และเราเองก็เป็นคนไม่อ่อนหวานด้วย
ตั้งแต่นั้นมาผู้ชายที่เราเคยคิดว่าดี ก็เริ่มเปลี่ยนไป
เรื่องเล็กๆ ก็สามารถเอามาเป็นประเด็นด่าเรา ตกคอกเรา ไม่ว่าจะเป็น
ลืมปิดไฟห้องน้ำ / ออกจากบ้านลืมกระเป๋าตังค์ / รีบออกจากบ้านแล้วไม่ได้พับผ้าห่ม / หรือแม้แค่การเปิดไฟห้องรับแขกโดยไม่ปิดผ้าม่าน
เรียกง่ายๆว่าด่าได้ทุกเรื่อง ... แล้วก็ไม่ได้ด่าเราคนเดียวนะคะ กับพ่อ แม่ และน้องสาวเค้าก็ด่า .. จนเรารู้สึกว่านี่เค้าบ้าหรือเปล่า ทะเลาะกันบ่อยมาก
เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอามาเป็นอารมณ์เลย
ลืมปิดไฟ ก็ปิดสิ / ลืมกระเป๋าตังค์ก็กลับไปเอาสิ คือ ง่ายๆแค่นั้น
พอทะเลาะกันบ่อย มันก็ไม่อยากอยู่ด้วยกัน เค้าก็จะออกนอกบ้านทุกวันหลังเลิกงาน
หลังเราเลิกงานกลับมาบ้านก็จะเจอความว่างเปล่า แม่เค้าก็จะบอกกับเราว่า อย่าทะเลาะ ให้เราเงียบ..
คือเราก็อดทนนะ เพราะเราก็รู้สึกว่า เออ เราก็มีข้อเสีย .. แต่บางครั้งมันก็ท้อ หลายครั้งที่เราเห็นเค้าโมโหใส่พ่อ ใส่แม่เค้าแล้วเรารู้สึกแย่กับผู้ชายคนนี้มาก
เราอดทนจนเราทนไม่ไหว เค้าไล่เราให้ออกไปจากบ้านเค้า เราได้แต่ยืนอึ้ง ในใจนี่นึกแบบ อ้าว อีนี่
ตอนจะให้เราย้ายมาที่นี่ก็ กระ
พอบทจะไล่ก็ไล่เป็นหมูเป็นหมา ... พอเค้าออกไปทำงาน เรานี่ร้องไห้ จะเป็นจะตาย
แล้วถามว่าย้ายไหม ..... ย้ายสิคะ รออะไร
แต่สุดท้าย ก็มีสาเหตุที่ต้องกลับมาค่ะ ...
ต้องยอมรับว่าตอนนั้นยังรัก พอเค้ามาง้อ ก็ยอมค่ะ ใจอ่อนค่ะ
พอกลับไปรอบนี้ เค้าก็บอกเราเลยว่าเค้าอยากมีลูก
ชะนีอย่างเรา ไม่ได้นึกเลย ว่าเค้าทำอะไรกับเราไว้บ้าง
แม้ชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะมีลูกแต่ก็เอาวะ มีก็มีวะ
ผ่านไปไม่กี่เดือนก็เอาอีกแล้วค่ะ แบบเดิม ไล่เราอีกแล้ว
ด้วยเหตุผลเดิมๆค่ะ มีผญ.อื่น
เราก็ไปอีกค่ะ ...คราวนี้ไม่ฟูมฟายแล้วค่ะ
แต่ก็มีเหตุให้ต้องกลับไป ..ใช่ค่ะ เราท้อง
ช่วงแรกๆ เหมือนอะไรๆก็มีทีท่าว่าจะดีขึ้น
เป็นห่วง ตามใจทุกอย่าง อารมร์ดีไม่ค่อยมีปัญหากันแล้ว
แต่พอผ่านไป สักระยะ เข้าสู่เดือนที่ห้า เราต้องไปหาหมอเอง
เวลาฝนตก ของให้มารับก็ยังถุกปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า ตีแบด อยู่กับเพื่อน
ถ้าจะให้ไปรับก็รอไปก่อน ...
เข้าเดือนที่ 6 เราป่วย แล้วไอทั้งคืนแทนที่เค้าจะช่วยดูแล
แต่กลับตื่นขึ้นมาด่าเราว่าทำไมไม่ใส่ผ้าปิดปาก -*-
คือ นอนไม่สะดวกไงเวลาใส่ผ้าปิดปาก ถ้าออกไปข้างนอกปกติก็ใส่นะคะ
พอหลังจากนั้น ก็เอาอีกแล้วค่ะ ..ไล่เรากลับประเทศไทยไปเลยค่ะคราวนี้
เราไม่รู้จะทำยังไงตอนนั้น ... ร้องไห้โฮเลยค่ะ แล้วก็ไม่ได้ย้ายไปไหนหรอก
ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แล้วก้อยู่กันแบบนั้นมาตลอด
กี่คินต่อกี่คืนที่นอนร้องไห้คนเดียว ..
พยายามไม่ร้องค่ะ เพราะกลัวส่งผลต่อลูก
แต่บางครั้งมันก็กลั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ
อยู่แบบอดทนเป็นคนบ้าไปแบบนั้นแหละ
จนคลอด ตอนคลอดเค้าก็ดูแลดีค่ะ
ไปส่งร.พ. เข้าห้องคลอด คอยไปให้กำลังใจ หายใจ 1-2-3 เบ่งไปพร้อมๆกัน
นอนเฝ้าที่ร.พ. นั่นนี่
แต่พอกลับมาบ้านก็เข้ารูปแบบเดิมค่ะ
เค้าทำงานจันทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์
แล้ววันอาทิตย์ ..เค้าก็จะออกไปกับเพื่อน ตลอด สอง สามเดือนแรกที่ลูกคลอด
เราก็ได้แต่บอกเค้าว่า ใช้เวลาอยู่กับลุกบ้าง
เค้าก็เริ่มจะอยู่ติดบ้านมากขึ้น แต่ก้ได้อยู่2-3สัปดาห์ ก็กลับเข้ามาอีหรอบเดิม
พอเข้าเดือนที่ 7 เราเริ่มหมดความอดทนค่ะ
มีอยู่สัปดาห์นึงที่คนเลี้ยงขอลา แล้วเราไม่สามารถลางานได้
เราถามสามีว่าอยู่บ้านเลี้ยงลูกได้ไหม เค้าก็รับปาก
แต่พอวันก่อนหน้า เราเห็นเค้าเก็บกระเป๋าเหมือนจะไปแคมป์ปิ้ง เราก็แอบปรี๊ด
แต่ก็ยังใจเย็นถามเค้าว่า จะไปไหน ไปกับใคร รู้ใช่ไหมว่าพรุ่งนี้ต้องดูลูก
แต่คำตอยที่ได้คือเงียบ ....
เค้ายิ่งเงียบ เรายิ่งถาม พอยิ่งถามก็ยิ่งโมโห .....
และก็โมโหทั้งคู่ จุดชนวนแตกหัก
เค้าตวาดเรา บอกจะถามทำไม เมื่อก่อนก็ไม่เคยถาม
เราก็สวนกลับว่า ที่ไม่ถามเพราะคิดว่าจะคิดได้ด้วยตัวเอง
เป็นพ่อคนขนาดนี้ นึกว่าจะคิดได้ แต่เปล่าเลย
เค้าเลยบอกกับเราว่า หย่ากันไปเลย ลูกน่ะเค้ายกให้
เราก็ขึ้นค่ะตอนนั้น แต่ก็กอดลูกไว้ ปิดหูลูกแล้วก็พูดด้วยเยือกเย็นว่า อยาก ทำอะไรก็ทำ
แล้วเค้าก็ออกจากบ้านไป
พอวันรุ่งขึ้น เราเลิกงานและก็นั่งเลี้ยงลูกอยู่
เค้าเดินเข้ามาถามว่าจะเอายังไง
เราก็ตอบกลับไปด้วยเสียงเฉยๆว่าก็แล้วแต่
เค้าก็บอกว่า ตามกฏหมายที่นี่ต้องแยกกันอยู่ก่อนถึงจะหย่าได้
เราเลยบอกเค้า ให้เค้าย้ายออกไป เพราะเราจะอยู่กับลูก
ตั้งแต่วันนั้น ... เค้าก็ย้ายออกไปค่ะ
เราไม่ถาม ไม่สนใจด้วยว่าเค้าจะไปอยู่ไหน
เราคิดอยากจะพาลุกกลับไทยหลายครั้ง
แต่ก็สงสารพ่อแม่เค้า เพราะเค้าก็รักหลาน
เราเองก็อยากให้ครอบครัวเค้ารักลูกเรา อยากให้เค้ามีความผูกพันธ์กับครอบครัวทางนี้บ้าง
สามีเราเค้าก็กลับมาบ้านตอนเย็นก่อนที่เราจะกลับในบางครั้งเพื่อมาเล่นกับลุกบ้างเป็นครั้งคราว
แต่เรากับเค้าแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันทั้งนั้น
ผ่านไป 8 เดือน เหมือนเราได้เริ่มฝึกการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว
การที่อยู่โดยไม่มีเค้า แล้วเราก็รู้สึกว่า มันดี...ดีกว่าตอนมีเค้าอยู่
เราไม่ต้องมานั่งฟังเค้าบ่น ไม่ต้องมานั่งดูสีหน้าเค้าว่าอารมณ์เป็นยังไง
ไม่ต้องถูกตะคอก หรือ ถูกคนโมโหใส่ สุขภาพจิตดีมากเลยค่ะ
เราพาลูกเดินทางคนเดียว ไปเที่ยวต่างประเทศ เที่ยวาสวนสัตว์ ไปว่ายน้ำ
มันดี และมีความสุขมาก และก็ไม่รู้สึกว่า เราต้องการผู้ชายคนนี้ในชีวิตอีกแล้ว
เราเริ่มเตรียมพร้อมเอกสารสำหรับการหย่า ละก็เตรียมใจ บอกคนทางบ้านเราว่าเราจะหย่า
และฟางเส้นสุดท้ายก็มาขาด ตอนที่เราพาลูกกลับมาอยู่เมืองไทย
แล้วคนเลี้ยงลูกเรา ซึ่งเป็นน้องสาวของสามีเรา
ส่งข้อความมาบอกเราว่าเค้าจะๆไม่กลับมาเลี้ยงลูกให้เราแล้ว
เพราะว่าเค้าโดนพี่ชายทุบตี
ตอนนั้นมืดแปดด้านไปหมด เอายังไงดีอีก 3 วันต้องกลับไปแล้ว
ใครจะเลี้ยงลูกตอนเราไปทำงาน จะหาคนเลี้ยงจากไหน ยังไง
เราส่งข้อความหาสามีว่า จะทำยังไง
เค้าตอบเรากลับมาว่า จะให้เค้าหาคนเลี้ยงหรอ
เราเลยบอก ถ้าไม่หาแล้วจะยังไง
ใครจะไปส่งลูกให้คนเลี้ยง ใครจะรับกลับ บลาๆ
1 คำที่เค้าตอบกลับมาว่า ถ้าจะให้เค้าหาคนเลี้ยง ก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องพวกนี้
เพราะคำตอบนี้เราเลยคุยกับที่บ้านเราว่าขอให้ลูกเราอยู่ที่ไทย
เราโชคดีค่ะ เพราะว่าครอบครัวเราดีมาก และพร้อมซัพพอร์ทเราในทุกๆเรื่อง
ส่วนตัวเราก็ร้องไห้น้ำตาแตก เพราะต้องกลับไปทำงานเนื่องจากติดสัญญา
พอบินกลับมา สิ่งแรกที่คิดคือ ย้ายออก และหย่า
เราไปสถานฑูตไทย เพื่อขอเอกสารสำหรับการหย่า
เวลาช่วงพักกลางวัน ไปดูห้อง ไปยิ่นเอกสารการหย่า
เมื่อวานนี้เราได้ย้ายออกจากบ้านของเค้าเรียบร้อย
และวันนี้ เราก้ได้ทำการหย่า จากเค้าเรียบร้อยแล้ว
เราไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น หรือรู้สึกอะไรใดๆเลย ตอนที่เดินทางไปสถานฑูต
เช้าเราก็มาทำงานตามปกติ พอช่วงเบรคก็ใช้เวลาช่วงบรค นั่งรถไปสถานฑูต
เจ้าหน้าที่ทบทวนข้อความในหนังสือหย่า...
ระหว่างนั้น เป็นซีนที่เหมือนละครมาก เพราะเพลงที่เจ้าหน้าที่ฟังมันดังขึ้นมา
"อย่างน้อย เธอก็ทำให้ฉันรู้ว่าเคยมีความสุขเพียงใด ได้เป็นคนที่เธอเคยรักมันดีแค่ไหน แม้ฉันต้องเสียใจ ..."
เรานี่ขำพรืดดดดดด
จากนั้นก็รอท่านกงศุล สักครู่ ก็เข้าไปในห้องที่เค้าจัดเตรียมไว้ให้
ระหว่างนั้นก้หยิบกุญแจบ้านคืนเค้าไป โดยไม่ได้พูดอะไร
แล้วท่านกงศุลก็มา อ่านข้อความในสัญญาอีกรอบ
แล้วท่านก็เซนต์รับรองใบหย่าให้
พอเรียบร้อย รับเอกสารแยกย้ายกันกลับทางใครทางมัน
เราเลี้ยวขวา สามี(เก่า)เลี้ยวซ้าย
ระหว่างนั้นรู้สึกโล่งใจ ที่ได้เคลียร์ตัวเอง เคลียร์ปัญหาทุกอย่างแล้ว
จากที่เคยคิดว่ามันจะจุกอก อึ้งน้ำตาแตก ...แต่ไม่เลย
มันรู้สึกปลอดโปร่ง และ เหมือนกับเราได้ความเป็นตัวเองกลับมา
ถึงเพื่อนๆผู้หญิงทุกคน
ขอให้ทุกคนรักตัวเองให้มากๆนะคะ... <3