ผมกับแฟนเราคบกันมาเกือบ 5 ปี ตั้งแต่เรียนมหาลัยจนตอนนี้เราเรียนจบผมเป็นพนักงานประจำมีเงินเดือนหมื่นกว่าๆแต่แฟนผมเป็นทายาทลูกเจ้าของร้านทอง
ตลอดเวลาที่คบกันมาเพื่อนๆก็คอยเตือนเสมอว่าผมกับเธอคงไปกันไม่รอด เพราะฐานะของเราต่างกันมาก แต่ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร อาจเป็นเพราะเรายังวัยรุ่นและยังสนุกกับชีวิตที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก
ตอนนั้นแฟนผมขับรถยนต์ ส่วนผมขี่มอเตอร์ไซค์ เธอก็เลือกที่จะทิ้งรถแล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับผม แต่บางที เธอก็ขับรถมารับผมไปไหนมาไหนกัน เพื่อนของเธอก็ชอบมากดดันว่า ผมเป็นผู้ชาย ผมต่างหากที่ควรต้องดูแลเธอ ต้องไปรับไปส่งเธอ ไม่ใช่ให้เธอมาขับรถให้ผมแบบนี้ หลายๆคนมองว่าผมเกาะผู้หญิงกิน ทีแรกผมก็เครียด แต่แฟนผม เธอก็คอยให้กำลังใจ เธอบอกว่า ใครจะคิดยังไงก็ช่าง เธอกับผมเท่านั้นที่รู้กัน และเราสองคนต่างก็ เข้าใจกันและกันตลอดมา
เธอยอมเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างเพื่อผม เธอเลิกใช้ของแบรนด์เนมเพราะไม่อยากกดดันผม ไม่เที่ยวไม่กินหรู จนเพื่อนๆของเธอเริ่มทักว่า เธอเริ่มหมอง ดูหมดราศีลูกเจ้าของร้านทองไปเรื่อยๆแล้ว เธอก็ไม่สน เธอบอกว่า เธอเบื่อแล้วที่ต้องมีอะไรแบบนั้น เธอต้องการความรักมากกว่า...
ผมรู้สึกขอบคุณเธอและคิดว่าผมกับเธอน่าจะมีโอกาสได้แต่งงานร่วมชีวิตกันในซักวันนึง
แต่พอพ้นวัยเรียนทุกอย่างไม่ได้ง่ายแบบที่ฝัน เธอมีพ่อแม่มีครอบครัวและแน่นอน ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของ พวกท่านเลยซักนิด
เงินเดือนของผมมีใช้ก็แค่พอประทังชีวิตเป็นเดือนๆไป ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าสัพเพเหระ ต่างๆ ไหนจะต้องใช้หนี้กองทุนที่กู้มาเรียน แถมแม่ผมยังเจ็บออดๆแอดๆอีกต่างหาก
ผมพยายามใช้เวลาว่างทำงานพิเศษเสริมแต่มันก็ทำได้แค่พอพาเธอไปกินข้าวร้านดีดีแค่เดือนละครั้ง ไปเที่ยวดู หนัง ปาร์ตี้ ก็หมดละ ทำทั้งเดือนเที่ยววันสองวันก็ไม่เหลือละ ถึงเธอจะไม่เคยว่าไม่เคยบ่นผมในเรื่องนี้แต่ผมก็ คิดว่า แค่นี้ผมยังทำให้เธอไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับทั้งชีวิตของเธอที่ผมต้องดูแล เหมือนผมจะดึงเธอลงมา ลำบากซะเปล่าๆ มันกลายเป็นว่าแทนที่เราสองคนจะรักกันอย่างสบายใจ อุปสรรคของความจริงในชีวิตมันเริ่ม เข้ามาทำให้ผมเข้าใจพ่อกับแม่เธอมากขึ้นด้วยซ้ำ
เธอเคยพาผมไปหาพ่อกับแม่ของเธอ แค่เจอกันครั้งแรก ผมก็รู้สึกได้ว่าท่านคงไม่ชอบผมเอามากๆ พิจารณาจาก สายตาที่ดูแคลน การพูดคุยที่เฉยเมย ท่าทีที่แสดงออกมาเหมือนผมกับพวกท่านอยู่คนละชั้น
ผมบอกพวกท่านว่า ผมมีแผนจะสร้างฐานะให้ดีขึ้นและพยายามจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้ อยากให้ท่านเชื่อและ ไว้ใจในตัวผม ที่สำคัญ ผมกับเธอรักกันจริงๆ...
คำที่ผมได้รับกลับมา มันทำให้ผมจุกในใจ เมื่อพวกท่านตอบกลับมาว่า คิดว่าต้องใช้เวลากี่ปีกี่ชาติกว่าจะทำให้ ลูกท่านสบายอย่างที่พวกท่านเลี้ยงดูมา มีปัญญาจริงๆหรอ? บางทีคนเราก็ควรมองตัวเองนะว่าทำอะไรได้แค่ ไหน ถ้ารักลูกท่านจริง ปล่อยให้เขากลับมาในที่ของเขาจะดีกว่ามั้ย อย่าดึงเขาให้จมลงไปกับเราเลย.... ผมน้ำตาคลอทันทีเมื่อได้ฟังคำของพ่อแม่แฟนผม ผมได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก มันเจ็บ...
แต่แฟนผมไม่ยอม เธอทะเลาะกับพ่อแม่ เธอบอกผมว่าเธอจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาลำบากกับผม เพราะเธอรัก ผม...
ผมรักเธอนะ แต่ผมก็รู้ว่า ผมจะเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องลำบาก นับจากนี้ไปอีกยาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้หรือ อาจจะไม่มีวันที่สบายเลยก็ได้...
ผมควรทำอย่างไรดี? เมื่อในชีวิตจริงมันไม่เหมือนความฝัน.....
การจะมีชีวิตคู่ / อะไรสำคัญกว่ากัน ฐานะ ความเหมาะสม หรือ ความรัก?
ตลอดเวลาที่คบกันมาเพื่อนๆก็คอยเตือนเสมอว่าผมกับเธอคงไปกันไม่รอด เพราะฐานะของเราต่างกันมาก แต่ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร อาจเป็นเพราะเรายังวัยรุ่นและยังสนุกกับชีวิตที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก
ตอนนั้นแฟนผมขับรถยนต์ ส่วนผมขี่มอเตอร์ไซค์ เธอก็เลือกที่จะทิ้งรถแล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปกับผม แต่บางที เธอก็ขับรถมารับผมไปไหนมาไหนกัน เพื่อนของเธอก็ชอบมากดดันว่า ผมเป็นผู้ชาย ผมต่างหากที่ควรต้องดูแลเธอ ต้องไปรับไปส่งเธอ ไม่ใช่ให้เธอมาขับรถให้ผมแบบนี้ หลายๆคนมองว่าผมเกาะผู้หญิงกิน ทีแรกผมก็เครียด แต่แฟนผม เธอก็คอยให้กำลังใจ เธอบอกว่า ใครจะคิดยังไงก็ช่าง เธอกับผมเท่านั้นที่รู้กัน และเราสองคนต่างก็ เข้าใจกันและกันตลอดมา
เธอยอมเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างเพื่อผม เธอเลิกใช้ของแบรนด์เนมเพราะไม่อยากกดดันผม ไม่เที่ยวไม่กินหรู จนเพื่อนๆของเธอเริ่มทักว่า เธอเริ่มหมอง ดูหมดราศีลูกเจ้าของร้านทองไปเรื่อยๆแล้ว เธอก็ไม่สน เธอบอกว่า เธอเบื่อแล้วที่ต้องมีอะไรแบบนั้น เธอต้องการความรักมากกว่า...
ผมรู้สึกขอบคุณเธอและคิดว่าผมกับเธอน่าจะมีโอกาสได้แต่งงานร่วมชีวิตกันในซักวันนึง
แต่พอพ้นวัยเรียนทุกอย่างไม่ได้ง่ายแบบที่ฝัน เธอมีพ่อแม่มีครอบครัวและแน่นอน ผมไม่ได้อยู่ในสายตาของ พวกท่านเลยซักนิด
เงินเดือนของผมมีใช้ก็แค่พอประทังชีวิตเป็นเดือนๆไป ไหนจะค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าสัพเพเหระ ต่างๆ ไหนจะต้องใช้หนี้กองทุนที่กู้มาเรียน แถมแม่ผมยังเจ็บออดๆแอดๆอีกต่างหาก
ผมพยายามใช้เวลาว่างทำงานพิเศษเสริมแต่มันก็ทำได้แค่พอพาเธอไปกินข้าวร้านดีดีแค่เดือนละครั้ง ไปเที่ยวดู หนัง ปาร์ตี้ ก็หมดละ ทำทั้งเดือนเที่ยววันสองวันก็ไม่เหลือละ ถึงเธอจะไม่เคยว่าไม่เคยบ่นผมในเรื่องนี้แต่ผมก็ คิดว่า แค่นี้ผมยังทำให้เธอไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับทั้งชีวิตของเธอที่ผมต้องดูแล เหมือนผมจะดึงเธอลงมา ลำบากซะเปล่าๆ มันกลายเป็นว่าแทนที่เราสองคนจะรักกันอย่างสบายใจ อุปสรรคของความจริงในชีวิตมันเริ่ม เข้ามาทำให้ผมเข้าใจพ่อกับแม่เธอมากขึ้นด้วยซ้ำ
เธอเคยพาผมไปหาพ่อกับแม่ของเธอ แค่เจอกันครั้งแรก ผมก็รู้สึกได้ว่าท่านคงไม่ชอบผมเอามากๆ พิจารณาจาก สายตาที่ดูแคลน การพูดคุยที่เฉยเมย ท่าทีที่แสดงออกมาเหมือนผมกับพวกท่านอยู่คนละชั้น
ผมบอกพวกท่านว่า ผมมีแผนจะสร้างฐานะให้ดีขึ้นและพยายามจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้ อยากให้ท่านเชื่อและ ไว้ใจในตัวผม ที่สำคัญ ผมกับเธอรักกันจริงๆ...
คำที่ผมได้รับกลับมา มันทำให้ผมจุกในใจ เมื่อพวกท่านตอบกลับมาว่า คิดว่าต้องใช้เวลากี่ปีกี่ชาติกว่าจะทำให้ ลูกท่านสบายอย่างที่พวกท่านเลี้ยงดูมา มีปัญญาจริงๆหรอ? บางทีคนเราก็ควรมองตัวเองนะว่าทำอะไรได้แค่ ไหน ถ้ารักลูกท่านจริง ปล่อยให้เขากลับมาในที่ของเขาจะดีกว่ามั้ย อย่าดึงเขาให้จมลงไปกับเราเลย.... ผมน้ำตาคลอทันทีเมื่อได้ฟังคำของพ่อแม่แฟนผม ผมได้แต่อึ้ง พูดอะไรไม่ออก มันเจ็บ...
แต่แฟนผมไม่ยอม เธอทะเลาะกับพ่อแม่ เธอบอกผมว่าเธอจะยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาลำบากกับผม เพราะเธอรัก ผม...
ผมรักเธอนะ แต่ผมก็รู้ว่า ผมจะเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องลำบาก นับจากนี้ไปอีกยาวนานแค่ไหนก็ไม่รู้หรือ อาจจะไม่มีวันที่สบายเลยก็ได้...
ผมควรทำอย่างไรดี? เมื่อในชีวิตจริงมันไม่เหมือนความฝัน.....