เล่าได้เล่าดี ตอนการเปิดร้านกิ๊ปช๊อปในอเมริกาของฉัน ตอนที่ 4

การไปขายของที่ตลาดนัด ที่เปิดขายกันทุกๆอาทิตย์ มันก็ดีอย่างหนึ่ง คือการมีที่ขายประจำ แต่ข้อเสียก็คือ ลูกค้าก็หน้าเดิมๆ คนขายก็หน้าเดิมๆ ของขายก็ของเดิมๆ สามสี่เดือนที่ขายอยู่อย่างนั้น มันทำให้การขายของ ของเรามันอืดลงเรื่อยๆ เพราะอะไรๆ มันก็เดิมๆ มีอยู่วันหนึ่งฉันสังเกตว่า ทำไมวันนั้น คนขาย และคนซื้อ ถึงมากันน้อย อย่างผิดปกติ ฉันเลยไปถามคนอื่นๆ จึงได้คำตอบว่า ที่ State Park ใกล้ๆกันนั้น เขามีการเปิดขายตลาดนัดในวันนั้นนั่นเอง คนขาย คนซื้อจึงแห่กันไปที่นั้น เดือนถัดไปฉันจึงตามไปสังเกตการณ์ จึงได้เห็นว่า การขายของที่ตลาดนัด ที่เขาจัดขึ้นเดือนละครั้งนั้น มันเป็นอย่างไร

Tannehill Ironworks Historical State Park ตั้งอยู่ในพื้นที่มากกว่า 1,500 เอเคอร์ ในรัฐอลาบามา มีบริการ hiking เดินป่า ผ่านสถานที่ประวัติศาสตร์ ในศตวรรษที่ 19 และ การ camping ในผืนที่ป่า ที่อุดมสมบูรณ์  มีรถไฟโบราณ บริการทัวร์รอบพาร์ค ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และ ฤดูใบไม้ล่วง จะมีช่างตีเหล็ก และช่างเจียรไนเพรช พลอย มาให้ความรู้ในเรื่องนี้อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้มีนิทรรศการ Artifacts of Alabama’s 19th century iron industry เปิดแสดงในพิพิธภัณท์ the Iron and Steel อีกด้วย ในอาทิตย์ที่สามของแต่ละเดือน ตั้งแต่เดือน มีนาคม ถึงเดือน พฤษจิกายน ทางพาร์คยังเปิดให้มี Trade Day ที่ผู้ซื้อ ผู้ขายสามารถนำสินค้า มาซื้อขาย แลกเปลี่ยนกันได้ ในบรรยากาศที่ร่มรื่น เต็มไปด้วยร่มไม้ ของต้นไม้ และอุณหภูมิ ที่เย็นสบายไม่ร้อนอบอ้าว

การติดต่อขายของที่นี่ ก็เหมือนกับตลาดนัด ที่ฉันเคยไปขายของมา คือการไปที่ออฟฟิต ไปบอกว่าจะขายอะไร และอยากได้ ล๊อตไหน เป็นที่ขายของ ซึ่งจะต้องไปเลือก เล็งที่ตั้งดู สองสามที่ ก่อนที่จะไปที่ออฟฟิต เพราะว่าส่วนใหญ่ คนขายที่มาขายที่นี่ เจ้าประจำ เขาก็จะจองที่ประจำของเขา และจ่ายเงินไปล่วงหน้า หลายเดือนนัก ทำให้แม้ค้าหน้าใหม่อย่างฉัน ที่ตอนแรกๆ ก็ต้องจำใจ ไปเอาที่ ที่ห่างไกล ลูกค้า ที่มันอยู่กลางแดดแจ้งๆ ห่างไกล ใต้ร่มไม้ เป็นอยู่อย่างนั้นหลายเดือนเหมือนกัน ก่อนที่ จะมาได้ ล๊อตขายของที่ดี ลูกค้าเดินกันหนาแน่น ใต้ร่มไม้ อย่างที่ต้องการ

การไปขายของที่พาร์คแห่งนี้นั้น ต่างจากการขายของที่ตลาดนัด ที่ฉันเคยขายมาแล้วมากมายนัก การขายของที่ตลาดนัดนั้น ถ้าไปขายสองวัน คือวันเสาร์ และ อาทิตย์ ฉันจะไปเช้า เย็นกลับ ทุกวัน มันลำบากตรงที่ ฉันต้องเก็บเต้นท์ขายของ แพคของที่ขายเข้ารถ และเก็บเก้าอี้ และโต๊ะพับ เข้ารถ คือต้องเก็บร้านมันทุกวัน เช้าวันใหม่ก็มาตั้งของขายกันอีกทุกวัน คือบางทีมันก็เหนื่อยไง ยิ่งหน้าร้อน และตลาดแห่งนี้ ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่มี จะหาร่มไม้หลบแดดก็ไม่ได้ ก็ยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่  แต่การขายของที่พาร์ค ฉันถือโอกาสไป camping ด้วย เป็นการพักผ่อนไปในตัว

ถึงการขายของที่นี่ แม้จะมีแค่วันเสาร์ และอาทิตย์ สองวันก็ตาม แต่ทางพาร์ค เขาจะอนุญาตให้เราไปจัดเตรียมตั้งร้านค้า ได้ก่อนในเย็นวันศุกร์ ซึ่งปกติคนขายของที่เขามาจากที่อื่น เมืองอื่น เขาก็จะมาถึงกันในวันศุกร์ตอนเย็นๆ บ้างก็มากันเป็นรถบ้าน มีรถพ่วงขนของกันมาขาย เมื่อมาถึงก็มาตั้งร้าน และ Camping กันอย่างสนุกสนาน ส่วนฉันกับรูมเมท และพี่เหรียญ ก็จะขับรถตามกันไป พอไปถึงก็ไปตั้งร้าน กางเต้นท์ใหญ่ ตั้งโต๊ะ และขนของออกมาเตรียมขาย จากนั้นก็ไปตั้งเต้นท์นอน ฉันกับรูมเมทหนึ่งหลัง และพี่เหรียญเป็นผู้ชาย อยู่คนเดียวอีกหนึ่งหลัง เมื่อตั้งเต้นท์นอนเสร็จ เราก็มาจัดแจงทำอาหารกัน ส่วนใหญ่ฉันกับรูมเมท จะเป็นคนจัดเตรียมสำรับอาหาร ขนของใส่ Cooler มาลังนึง มีเตาถ่าน Grill อันเล็กๆอันนึง และก็หม้อไห จานชาม น้ำตาล น้ำปลา พริก มะนาว แบบว่า ยกครัวย่อมๆ กันมาเลยทีเดียว

อาหารส่วนใหญ่ที่ฉันทำกิน ก็จะง่าย จะเป็นแบบ ปิ้งย่าง ป้ิงปีกไก่ อกไก่ ย่างเนื้อเสต๊ก ย่างหมู ย่างปลา อะไรก็ว่ากัน บางทีก็กินกับข้าวเหนียว หรือข้าวสวยที่หุงมาจากบ้าน  เรียกว่าทำอาหารกินกัน แบบอิ่มหน่ำ สำราญ ทำเสร็จก็เปิดเบียร์กระป๋องดื่มกัน สนุกสนาน เหมือนกับมาเข้าค่าย ไม่ได้มาขายของอย่างไร อย่างนั้นแหละ การทำอาหารกิน ปิ้งย่างของเรานี้ เป็นที่ร่ำลือไปทั่ว เพราะควันไฟเอย กลิ่นหอมๆ ของหมู เนื้อ ไก่ ที่หมักเครื่องเทศแบบไทยๆ มันจะส่งกลิ่นหอม เย้ายวนใจ ทำให้พ่อค้าแม่ค้า ที่ส่วนมากจะเป็นคนแก่ เกษียณแล้วซะะส่วนใหญ่ อดน้ำลายไหล อยากกินอาหารของเราทั้งนั้น เพราะส่วนใหญ่ ฝรั่งเวลามาเข้าค่าย เขาจะทำกินแค่ ฮ๊อทด๊อก เบอร์เกอร์ หรืออาหารง่ายๆ ไม่มีใครมาทำอาหารกินกัน เป็นล่ำเป็นสันแบบเราสามคนนั้น เป็นไม่มี พ่อค้า แม่ค้า คุณตา คุณยาย บางคน ถึงขนาด เอาอาหารของเขา หรือเอาเบียร์ กระป๋อง มาแลก กับปีกไก่ย่าง ก็มี ซึ่งหลังๆ ฉันต้องเตรียมอาหารไปเผื่อ เพื่อนบ้าน คุณตา คุณยาย เหล่านี้ด้วย ซึ่ง นอกจากที่ฉันจะไปขายของ ได้ตังค์แล้ว ได้ไป Camping พักผ่อน หย่อนใจแล้ว ฉันยังได้ เจอะเจอ เพื่อนใหม่ อีกด้วย

ฉันชอบบรรยากาศของการขายของที่นี่ มากกว่าการขายของตลาดนัดที่เคยขายอยู่ ส่วนหนึ่งเพราะฉันได้มา Camping และได้เจอะเจอ พ่อค้า แม่ค้า คุณตา คุณยาย ที่น่ารัก เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ และไม่มีการแย่งขายของกันมากนัก เพราะส่วนใหญ่เขาเป็นคนแก่ เกษียณแล้ว จุดประสงค์ แค่ได้ออกจากบ้าน ขับรถท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ขายของสะสม อย่างเหรียญ มีด ขวดแก้ว งานศิลปะ อย่างที่คนแก่ๆเขาสะสมกัน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนของสะสม มากกว่า จะมาขายของให้ได้กำไร ไม่มีการแย่งชิงลูกค้าอะไรกัน แม้ว่าเขาอาจจะขายของเหมือนๆกัน ส่วนใหญ่เขาเจอกันบ่อยๆ ก็จะสนิทสนมเป็นเพื่อนกันมากกว่า มีอะไรก็แบ่งปันกันไป

ของขายของพี่เหรียญที่ดูแล้ว ก็เหมาะกับการขายที่นี่มาก เพราะแกขายเหรียญสะสม ส่วนของขายของฉัน ก็ปะปนกันไป มีของไทยบ้าง ของจิปาถะ ศิลปะ การฝีมือ สร้อยคอ เครื่องประดับ ทำเองบ้าง ซื้อมาบ้างจากเว็บไซด์ หรือไม่ก็เป็นของที่มาจากเมืองไทย ของขายของฉันนั้น หลังๆ ฉันไปซื้อมาจากเว็บไซด์ซะส่วนใหญ่ วันว่างๆ ฉันก็จะนั่งค้นหาตามเว็บไซด์ ของขายที่มันเข้ากับตรีมของที่ร้าน เพราะฉันจะมุ่งเน้นไปที่ ศิลปะ Arts and Crafts แบบแปลกๆ หรือไม่ก็ออกแนว เอเชีย เพราะชาวบ้าน คนในรัฐอาบาม่า ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นของที่มาจากเอเชีย เท่าไหร่นัก เพราะคนเอเชีย ไม่นิยม มาอยู่ที่รัฐนี้ ส่วนใหญ่จะไปแออัด รวมตัวกันที่เมืองใหญ่ๆ เช่น แอลเอ ซานฟราน นิวยอร์ค เสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้การขายของแบบเอเชียของฉัน มันแปลก แตกต่างออกไปจากของที่ขายกันทั่วไปในตลาดนัด ถ้าใครเคยอ่านเรื่องเล่าของฉัน ที่เล่าถึงประสบการณ์ การมาอยู่ที่อเมริกา ของพ่อกับแม่แล้ว อาจจะจำได้ว่า ฉันเคยบอกพ่อกับแม่แล้วว่า การที่เราอยู่ในที่ที่ ไม่ค่อยมีคนไทย หรือคนเอเชียอยู่นั้น บางทีมันอาจจะเป็น Disadvantage บ้าง แต่ถ้าเรา คิดบวก และรู้จักพลิกกลับเหตุการณ์ ทำให้มันเป็นโอกาส Advantage หรือ Benefit มันก็จะทำให้เป็นผลดีต่อเราเป็นอย่างมาก

การที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศการขายของ ที่ตลาดนัดที่จัดกันเดือนละครั้งทำให้ ฉันได้รู้ว่าการทำอะไรก็ตาม ถ้ามันทำน้อยๆ ไม่เกร่อนัก จะเป็นที่สนใจ และดึงดูด ลูกค้า และกำลังซื้อของลูกค้าได้มากกว่า การขายของที่ตลาดนัด ที่จัดกันทุกๆสัปดาห์ ถึงแม้ว่าการเข้ามาซื้อของของลูกค้า ในพาร์คแห่งนี้จะไม่ฟรีก็ตาม เพราะเขาเก็บค่าเข้าคนละ 5 เหรียญ แต่ก็ยังมีคนมาเดินเที่ยวชมของขายกันอย่างมากมาย บางคนก็มากันทั้งครอบครัว มาจับจ่ายใช้สอยสินค้าด้วย มาเดินเที่ยวชมพาร์คและ พิพิธภัณท์ด้วย เป็นการใช้เวลาว่างกับครอบครัว ในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างคุ้มค่า การเดินเที่ยวชมสินค้าในพาร์คที่ร่มรื่น ไม่ร้อนอบอ้าว ทำให้คนซื้อมีอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ฉันไม่เคยเห็นใครหน้าตาบูดบึ้ง มาเดินซื้อของเลยสักคน เมื่อคนขายหน้าตาสดใส คนซื้อหน้าตาสดใส การซื้อขายต่อรองสินค้า เป็นไปอย่างถ้อยที ถ้อยอาศัย ทำให้ขายของดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนใหญ่ก็จะใช้เงินสดซื้อของกัน ดังนั้นเงินสดนี่ก็สะพัดไปทั่วตลาด ในเย็นวันอาทิตย์ พอตลาดปิด ฉันก็เอาเงินมานับ ฉันขายของได้ สองวัน เสาร์ และอาทิตย์ ทำเงินได้ ประมาณแปดร้อยถึงพันนึง ทุกครั้งที่มาขายของที่นี่

ประเทศอเมริกา เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการจัดเก็บเสียภาษีมาก ปกติแล้วเวลาเราไปซื้อของกินของใช้ ตามร้านค้า หรือในมอลล์ เราจะต้องจ่ายภาษี ที่เรียกว่า Sale Tax ซึ่งภาษีนี้จะแตกต่างกันไปแต่ละรัฐ Sale Tax จะเป็นการรวมกันระหว่าง State Sale Tax County Sale Tax และ City Sale Tax ตัวอย่างว่า ลูกค้าเสียภาษี เป็นราคารวมทั้งหมด  8% แต่ภาษีนี้จะแบ่งเป็น State Tax 4%, County 2% , และ City 2% ซึ่งภาษีที่ได้ ก็ถูกส่งไปทะนุบำรุง ท้องที่ต่างๆ ตามที่แจกแจงไป การซื้อข้าวของที่นี่ คนมาอเมริกาใหม่ๆ อาจจะเคยงงกับการซื้อของ อย่างเช่น ของราคา 10 เหรียญ คุณจะยื่นเงิน 10 เหรียญให้คนขายไม่ได้ หรือมีเงินในกระเป๋า 10 เหรียญ ก็ซื้อของไม่ได้ เพราะราคา สิบเหรียญนั้น ยังไม่ได้บวก ภาษีการขายเข้าไปด้วย อย่างเช่น ของราคา 10 เหรียญ คุณจะต้องจ่ายเงินให้คนขาย 10.80 เหรียญ หลังจากที่ บวกภาษีการขาย  8 % แล้ว ภาษีการขายที่คนขาย เก็บจากลูกค้า ก็จะต้องสะสมไว้ และทำรายงานแก่ทางการ ตอนสิ้นเดือน เพื่อจ่ายให้แก่ทางการไป ดังนั้นคนขายของ หรือทำธรุกิจ ที่จะต้องมีการเก็บภาษีการขาย ก็จะต้องไม่ลืมว่า การเก็บเงิน ภาษีการขายนั้น ไม่ใช่เป็นรายได้ ของตัวเอง หากแต่เป็นรายได้ของทางหลวงเขา ที่ต้องสะสม และคืนให้กับหลวงเขาไป

แต่การขายของที่ตลาดนัดนั้น คนขายส่วนใหญ่ จะเลือกที่จะตั้งราคาของขาย เป็นราคารวมภาษีเบ็ดเสร็จเลย เพราะเป็นการง่ายต่อการ ซื้อขายของกัน อย่างเช่นของขายราคา 10 เหรียญ ลูกค้าก็ให้เงินมา 10 เหรียญ ก็เป็นอันจบกัน พอเสร็จการขายในแต่ละครั้ง อย่างเช่นมาขายของที่พาร์คนี้ พอตอนวันอาทิตย์เย็นๆ ก่อนที่จะตลาดวาย และเก็บของกลับบ้าน จะมีเจ้าหน้าที่ จากออฟฟิต เอาใบรายงานภาษีการขาย มาให้แต่ละบู้ท ให้ทำรายงานไปว่า ในการขายของ สองวันนั้น ขายได้เท่าไหร่ และต้องจ่ายภาษีให้ออฟฟิต เท่าไหร่ เพื่อที่ว่า ออฟฟิต จะเป็นตัวแทนทำเรื่องเสียงภาษี ส่งให้แก่ทางการ แทนคนขายของ อย่างเช่น หากเราทำรายงาน แจ้งไปว่า บู้ทเราขายของได้ 1000 เหรียญ ก็จะต้องเสียภาษีการขาย ให้แก่อ๊อฟฟิต 80 เหรียญ ซึ่งการแจ้งรายงานการขายของนั้น จะแจ้งมาก แจ้งน้อย แจ้งหมกเม็ด ก็แจ้งกันไป แต่ทุกคนจะต้องแจ้ง และเสียภาษีกันทุกคน จะเสียมาก เสียน้อย ก็แล้วแต่ความคิดและความพอใจของแต่ละคน แต่ถ้าแจ้งว่าขายไม่ได้เลย และจะไม่เสียภาษีเลย อันนั้นมันผิดกฎหมาย ทางออฟฟิต อาจจะหมายหัว ขึ้นบัญชีดำ และไม่ให้กลับมาขายของที่นี่อีกเลย

กรุณาติดตามตอนต่อไปนะคะ

ทางเข้าพาร์ค

รถไฟโบราณวิ่งรอบพาร์ค

บรรยากาศรอบๆพาร์ค เห็นแล้วทำให้คิดถึงวันเก่าๆเลยค่ะ ช่วงฤดูใบไม้ล่วงจะสวยมาก
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่