ครอบครัวเราทำกิจการร้ายขายปลีกขายส่งมาหลายสิบปีแล้ว ครอบครัวเรามีกิจการอยู่สองร้าน ร้านหลักขายอุปกรณ์ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเขียน และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ส่วนร้านย่อยขายพวกวัสดุพลาสติกจำพวกของใช้ตามครัวเรือนอะไรแบบนั้นน่ะค่ะ แล้วคราวนี้มันมีปัญหาอยู่เรื่องนึงที่ทำให้เรารู้สึกปวดใจและลำบากใจเอามากๆ แต่ด้วยความที่เรายังเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะมากพอเลยไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง เลยอยากจะขอความเห็นจากผู้ใหญ่ทุกท่านหรือคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนหน่อยนะค่ะ
เรื่องก็มีอยู่ว่า มีลูกน้องชื่อนาย A คนหนึ่งที่ทำงานกับพ่อเรามาหลายปีแล้ว น่าจะประมาณสิบกว่าปีได้ คุณพ่อเชื่อใจเขาถึงขนาดยกกิจการร้านย่อยซึ่งเป็นร้านขายพวกของเบ็ดเตล็ด และสินค้าครัวเรือนให้นาย A คนนี้ดูแล แล้วยังยกบ้านอีกหลังซึ่งเป็นเหมือนโกดังเก็บสต็อกสินค้าให้เขาอาศัยอยู่ดูแลพร้อมทั้งจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ตลอดหลายปีอีกด้วย นาย A คนนี้ทำงานกับพ่อเรามานานจนมีครอบครัวและลูกอีกสองคนอายุไม่กี่ขวบ ภรรยาของเขาก็เคยเป็นลูกน้องและทำงานกับพ่อของเรามาก่อนแต่ตอนนี้เลิกแล้ว และยังย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่พ่อเราให้นาย A คนนี้ดูแลอีกด้วย จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวเรามีปัญหา พ่อเราเลยไม่ได้ไปคอยสนใจหรือดูแลเลยว่านาย A คนนี้เขาทำงานยังไง สั่งของยังไง จัดการสต็อกสินค้ายังไง จนกระทั่งผ่านมาได้หลายปี เราเริ่มโตและรู้ความมากขึ้นเลยเริ่มสังเกตว่ายอดสั่งสินค้ามาขายในร้านนั้นสูงมาก สั่งของแต่ละครั้งแต่ละเดือนมีใบเสร็จเก็บเงินมาเกือบแสน บางทีปีนึงรวมยอดออกมาก็เกือบล้าน แต่ยอดขายในแต่ละวันบางวันก็ไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ
ขออธิบายก่อนว่าเวลานาย A คนนี้สั่งสินค้ามาขายในร้าน คนที่ต้องชำระทั้งค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาพวกนั้นเป็นพ่อของเรา เมื่อก่อนตอนที่บ้านเรายังไม่มีปัญหาอะไรพ่อเราก็จะเป็นคนคอยคุมคอยจัดการอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กระทั่งคุยกับนาย A คนนี้พ่อยังไม่ค่อยได้คุยเลย แถมปล่อยให้เขาดูแลร้านนั้นโดนไม่ได้ไปสนใจอีกว่าเขาจัดการดูแลกิจการยังไง ปล่อยให้นาย A คนนี้ทำตามใจมาหลายปี อีกทั้งพ่อเรายังทำเหมือนกับว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ไปสนใจอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นกิจการของครอบครัวเรา จนตอนนี้กระทั่งเซลล์ที่มาเสนอสินค้าให้ขายก็ยังไม่มาพบหน้าหรือทักทายพ่อเราก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับตรงไปหาลูกน้องคนนั้นอย่างเดียวเลย จะมาพบอีกทีก็ตอนเก็บเงินค่าสินค้า แล้วก็มีอีกกรณีนึงที่เราสงสัยว่าลูกน้องคนนี้อาจจะมีการตกลงอะไรกับเซลล์เป็นการส่วนตัวรึเปล่า เพราะพอคนสนิทของพ่อเราไปเดินสำรวจดูของในร้านกลับพบว่ามีสินค้าประเภทเดียวกันกับกิจการร้านหลักแถมยังขายถูกกว่าอีกด้วย พอถามนาย A อีกฝ่ายกลับอ้างว่าสินค้าไม่เหมือนกันเพราะเป็นของคุณภาพต่ำกว่า ทั้งๆ ที่ตัวสินค้าเหมือนกันแป๊ะ แถมสินค้ายังเป็นประเภทพวกเครื่องเหล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ของที่ร้านย่อยควรจะเอามาขาย (อย่างที่เราบอกไปตอนแรกว่ากิจการร้านย่อยขายสินค้าประเภทเตรื่องครัวเรือน และวัสดุพลาสติก) จะว่าเราคิดไปเองก็ได้ แต่แบบนี้เป็นการนำสินค้ามาขายแข่งกับร้านหลักไม่ใช่เหรอคะ?
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นปัญหาน่าหนักใจมากๆ สำหรับเรา เพราะเราเป็นลูกคนโตที่ต้องดูแลกิจการต่อจากพ่อ เรื่องลูกน้องคนนี้กระทั่งพวกญาติๆ ที่ทำกิจการค้าขายแบบเดียวกับพ่อเราก็ออกปากเตือนมาหลายครั้งแล้ว แถมยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่ไปพูดลับหลังให้คนอื่นฟังว่าโดนลูกน้องคนนี้โกงไปบ่อยมาก พอเรื่องนี้ถึงหูพ่อเราตอนแรกแกาก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่จนกระทั่งพ่อเราให้คนที่ไว้ใจได้มาสังเกตพฤติกรรมลูกน้องคนนี้ในพักหลังๆ ทั้งๆที่เป็นหัวหน้าแต่กลับไม่ค่อยอยู่ดูแลร้านปล่อยให้ร้านขาดคน ไม่สอนงานลูกน้องคนอื่นๆ ทั้งใหม่และเก่า พอพ่อเราให้คนสนิทมาตรวจสต็อกสินค้า ลูกน้องคนนั้นก็ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบแถมยังสั่งห้ามไม่ยุ่งกับสต็อกสินค้าของร้านย่อยอีกด้วย แล้วล่าสุดพอแม่เราขอให้ทำบัญชีสินค้าแต่นาย A ตนนี้กลับทำท่าไม่พอใจแล้วอ้างว่าตัวเองไม่ว่าง ต้องคอยลงของเช็คของทั้งที่วันๆ เราเห็นเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ไม่ก็เดินกลับไปอยู่ในโกดังบ้านเรา ไม่ได้มาคอยสอนงานใคร หรือดูแลร้านตามหน้าที่เลย แถมพอเราไปพูดเปรยๆ ว่าจะเอาระบบเข้ามาในร้าน นาย A คนนี้ก็เหมือนกับไม่ค่อยอยากให้ทำแบบนั้นทั้งๆที่มันเป็นการแบ่งเบาภาระแถมเรายังสามารถตรวจสอบสินค้าได้อีกด้วย พฤติกรรมแบบนี้คิดว่ามีพิรุทมั้ยคะ?
ในเมื่ออนาคตเราต้องรับช่วงต่อกิจการ เราก็ต้องคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบบอะไรต่อมิอะไรต่างๆ เพื่อให้สามารถพัฒนากิจการร้านต่อไปได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เรากลัวก็คือพ่อของเราเป็นคนใจอ่อนมากๆ เรากลัวว่าถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้พ่อเราจะโดนปัญหารุมเร้าเอา แถมพักหลังๆ สุขภาพแกก็ไม่ค่อยจะดีนัก แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นมาสามครั้งแล้ว แน่นอนว่าการจะให้พ่อจัดการกับปัญหาแบบนี้คนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้พ่อเราเลยเริ่มหาคนงานใหม่มาช่วยแบ่งเบาภาระ ทว่านาย A คนนี้ก็เริ่มแสดงพิรุทออกมาเยอะมากจากที่เราเห็น เราเชื่อคำพูดพ่อที่ว่าเรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆเปลี่ยนค่อยๆ ดูกันไป ดังนั้นในตอนเมื่อเราไม่สามารถเร่งแก้ปัญหาได้ เราเลยอยากคิดว่าจะหาวิธีการทางกฎหมายป้องกันอะไรต่างๆ ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ครอบครัวถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ อีกอย่างเลยคือเราไม่อยากมาตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอาทีหลัง(ขออภัยด้วยที่ต้องใช้คำหยาบคาย)
ปัจจุบันตอนนี้พ่อเรายังทำเป็นไม่รู้ว่าตัวเองให้อำนาจนาย A เยอะเกินไป แต่พ่อเราก็เริ่มริบอำนาจนาย A ไปทีละนิด ที่จริงเราก็รู้อยู่แหล่ะว่าพ่อเรารู้ดีอยู่แก่ใจ และกำลังพยายามละลายพฤติกรรมของนาย A อยู่ด้วยเพราะความสงสารเนื่องจากพ่อร่วมงาน ช่วยเหลือ และให้ที่อยู่เขามาหลายปี แต่เราไม่พอใจนาย A ตรงที่เดี๋ยวนี้พอรู้ว่าพ่อเราเริ่มริบอำนาจก็ไม่สนใจใยดีเลย ตอนพ่อเราป่วยเข้า รพ. นอกจากมาถามอาการป่วยแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมหรือใส่ใจอะไรมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น แถมเดี๋ยวนี้นาย A ก็เริ่มกล้าแสดงอากัปกิริยาไม่พอใจ กระแนะกระแหน พูด-ดัน แถมยังกล้าขึ้นเสียงใส่หัวหน้าตัวเอง....
เอาเป็นว่าสรุปเลยก็คือคนแบบนี้ถ้าหากไม่สามารถจัดการหรือละลายพฤติกรรมของนาย A ได้ควรจะทำยังไงต่อไปดีคะ จะปล่อยไปก็สงสารเพราะไม่รู้ว่าพวกครอบครัวนาย A จะอยู่กันยังไง แต่ส่วนตัวเลยคือจะให้เราเก็บเอาไว้ก็เป็นภาระอีก เพราะคนที่มีนิสัยเลี้ยงไม่เชื่อง กินบนเรือนขี้บนหลังคา แถมไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคนแบบนี้เราก็กลัวเขาจะลอบกัดครอบครัวเราเอาทีหลัง(เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นอยู่ประปรายจริงๆ) ที่พูดๆ มาอาจจะฟังดูไร้หัวใจไปหน่อย แต่ว่าตอนนี้เรายังเป็นแค่คนอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง เราคิดได้แค่ว่าเรายังมีพ่อแม่และน้องสาวที่ต้องดูแลอีก เพราะงั้นเราไม่อาจและไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวของเราได้ค่ะ
ปล.แล้วก็เรายังมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องหนึ่งที่เก็บมาคิดนานมากแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของวงการค้าขายรึเปล่านะค่ะ
ตัวอย่างอย่างเช่น ต้นเดือนมกราคมปีนี้พอรวมยอดใบเสร็จเก็บเงินและตีเช็คจ่ายออกของร้านย่อยที่ลูกน้องคนนั้นดูแลออกมาแล้ว ยอดรวมของการสั่งสินค้ามาขายทั้งหมดเป็น 200,000 กว่าบาท แต่กำไรที่ได้จากการขายสินค้าเหล่านั้นมีแค่ 120,000 ยอดน้อยแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติมั้ยคะ เราเป็นนักษาปี 1 หมาดๆ ที่ตอนนี้พึ่งเริ่มทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเลยยังไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่น่ะค่ะ แต่ถ้าหากว่ายอดที่ได้มันไม่ปกติแล้วทำไมถึงไม่มีใครในบ้านสงสัยเลยอ่ะคะ?
ปปล.จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นมุมมองทัศนคติของเราฝ่ายเดียวซึ่วยังไม่แตกฉาน ไม่กว้างขวางและอ่อนต่อโลกมากนัก หากมีอะไรผิดพลาดประการใดหรือไม่เหมาะสมตรงไหนก็ขออภัยและช่วยตกเตือนเราด้วยนะคะ
รู้สึกเหมือนพ่อตัวเองกำลังโดนคนไว้ใจหักหลัง
เรื่องก็มีอยู่ว่า มีลูกน้องชื่อนาย A คนหนึ่งที่ทำงานกับพ่อเรามาหลายปีแล้ว น่าจะประมาณสิบกว่าปีได้ คุณพ่อเชื่อใจเขาถึงขนาดยกกิจการร้านย่อยซึ่งเป็นร้านขายพวกของเบ็ดเตล็ด และสินค้าครัวเรือนให้นาย A คนนี้ดูแล แล้วยังยกบ้านอีกหลังซึ่งเป็นเหมือนโกดังเก็บสต็อกสินค้าให้เขาอาศัยอยู่ดูแลพร้อมทั้งจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ตลอดหลายปีอีกด้วย นาย A คนนี้ทำงานกับพ่อเรามานานจนมีครอบครัวและลูกอีกสองคนอายุไม่กี่ขวบ ภรรยาของเขาก็เคยเป็นลูกน้องและทำงานกับพ่อของเรามาก่อนแต่ตอนนี้เลิกแล้ว และยังย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่พ่อเราให้นาย A คนนี้ดูแลอีกด้วย จนกระทั่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวเรามีปัญหา พ่อเราเลยไม่ได้ไปคอยสนใจหรือดูแลเลยว่านาย A คนนี้เขาทำงานยังไง สั่งของยังไง จัดการสต็อกสินค้ายังไง จนกระทั่งผ่านมาได้หลายปี เราเริ่มโตและรู้ความมากขึ้นเลยเริ่มสังเกตว่ายอดสั่งสินค้ามาขายในร้านนั้นสูงมาก สั่งของแต่ละครั้งแต่ละเดือนมีใบเสร็จเก็บเงินมาเกือบแสน บางทีปีนึงรวมยอดออกมาก็เกือบล้าน แต่ยอดขายในแต่ละวันบางวันก็ไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ
ขออธิบายก่อนว่าเวลานาย A คนนี้สั่งสินค้ามาขายในร้าน คนที่ต้องชำระทั้งค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาพวกนั้นเป็นพ่อของเรา เมื่อก่อนตอนที่บ้านเรายังไม่มีปัญหาอะไรพ่อเราก็จะเป็นคนคอยคุมคอยจัดการอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กระทั่งคุยกับนาย A คนนี้พ่อยังไม่ค่อยได้คุยเลย แถมปล่อยให้เขาดูแลร้านนั้นโดนไม่ได้ไปสนใจอีกว่าเขาจัดการดูแลกิจการยังไง ปล่อยให้นาย A คนนี้ทำตามใจมาหลายปี อีกทั้งพ่อเรายังทำเหมือนกับว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้ไปสนใจอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นกิจการของครอบครัวเรา จนตอนนี้กระทั่งเซลล์ที่มาเสนอสินค้าให้ขายก็ยังไม่มาพบหน้าหรือทักทายพ่อเราก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่กลับตรงไปหาลูกน้องคนนั้นอย่างเดียวเลย จะมาพบอีกทีก็ตอนเก็บเงินค่าสินค้า แล้วก็มีอีกกรณีนึงที่เราสงสัยว่าลูกน้องคนนี้อาจจะมีการตกลงอะไรกับเซลล์เป็นการส่วนตัวรึเปล่า เพราะพอคนสนิทของพ่อเราไปเดินสำรวจดูของในร้านกลับพบว่ามีสินค้าประเภทเดียวกันกับกิจการร้านหลักแถมยังขายถูกกว่าอีกด้วย พอถามนาย A อีกฝ่ายกลับอ้างว่าสินค้าไม่เหมือนกันเพราะเป็นของคุณภาพต่ำกว่า ทั้งๆ ที่ตัวสินค้าเหมือนกันแป๊ะ แถมสินค้ายังเป็นประเภทพวกเครื่องเหล็กและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช่ของที่ร้านย่อยควรจะเอามาขาย (อย่างที่เราบอกไปตอนแรกว่ากิจการร้านย่อยขายสินค้าประเภทเตรื่องครัวเรือน และวัสดุพลาสติก) จะว่าเราคิดไปเองก็ได้ แต่แบบนี้เป็นการนำสินค้ามาขายแข่งกับร้านหลักไม่ใช่เหรอคะ?
จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นปัญหาน่าหนักใจมากๆ สำหรับเรา เพราะเราเป็นลูกคนโตที่ต้องดูแลกิจการต่อจากพ่อ เรื่องลูกน้องคนนี้กระทั่งพวกญาติๆ ที่ทำกิจการค้าขายแบบเดียวกับพ่อเราก็ออกปากเตือนมาหลายครั้งแล้ว แถมยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่ไปพูดลับหลังให้คนอื่นฟังว่าโดนลูกน้องคนนี้โกงไปบ่อยมาก พอเรื่องนี้ถึงหูพ่อเราตอนแรกแกาก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่จนกระทั่งพ่อเราให้คนที่ไว้ใจได้มาสังเกตพฤติกรรมลูกน้องคนนี้ในพักหลังๆ ทั้งๆที่เป็นหัวหน้าแต่กลับไม่ค่อยอยู่ดูแลร้านปล่อยให้ร้านขาดคน ไม่สอนงานลูกน้องคนอื่นๆ ทั้งใหม่และเก่า พอพ่อเราให้คนสนิทมาตรวจสต็อกสินค้า ลูกน้องคนนั้นก็ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบแถมยังสั่งห้ามไม่ยุ่งกับสต็อกสินค้าของร้านย่อยอีกด้วย แล้วล่าสุดพอแม่เราขอให้ทำบัญชีสินค้าแต่นาย A ตนนี้กลับทำท่าไม่พอใจแล้วอ้างว่าตัวเองไม่ว่าง ต้องคอยลงของเช็คของทั้งที่วันๆ เราเห็นเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ ไม่ก็เดินกลับไปอยู่ในโกดังบ้านเรา ไม่ได้มาคอยสอนงานใคร หรือดูแลร้านตามหน้าที่เลย แถมพอเราไปพูดเปรยๆ ว่าจะเอาระบบเข้ามาในร้าน นาย A คนนี้ก็เหมือนกับไม่ค่อยอยากให้ทำแบบนั้นทั้งๆที่มันเป็นการแบ่งเบาภาระแถมเรายังสามารถตรวจสอบสินค้าได้อีกด้วย พฤติกรรมแบบนี้คิดว่ามีพิรุทมั้ยคะ?
ในเมื่ออนาคตเราต้องรับช่วงต่อกิจการ เราก็ต้องคิดที่จะเปลี่ยนแปลงระบบอะไรต่อมิอะไรต่างๆ เพื่อให้สามารถพัฒนากิจการร้านต่อไปได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เรากลัวก็คือพ่อของเราเป็นคนใจอ่อนมากๆ เรากลัวว่าถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้พ่อเราจะโดนปัญหารุมเร้าเอา แถมพักหลังๆ สุขภาพแกก็ไม่ค่อยจะดีนัก แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นมาสามครั้งแล้ว แน่นอนว่าการจะให้พ่อจัดการกับปัญหาแบบนี้คนเดียวย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้พ่อเราเลยเริ่มหาคนงานใหม่มาช่วยแบ่งเบาภาระ ทว่านาย A คนนี้ก็เริ่มแสดงพิรุทออกมาเยอะมากจากที่เราเห็น เราเชื่อคำพูดพ่อที่ว่าเรื่องแบบนี้ต้องค่อยๆเปลี่ยนค่อยๆ ดูกันไป ดังนั้นในตอนเมื่อเราไม่สามารถเร่งแก้ปัญหาได้ เราเลยอยากคิดว่าจะหาวิธีการทางกฎหมายป้องกันอะไรต่างๆ ไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ครอบครัวถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ อีกอย่างเลยคือเราไม่อยากมาตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวเอาทีหลัง(ขออภัยด้วยที่ต้องใช้คำหยาบคาย)
ปัจจุบันตอนนี้พ่อเรายังทำเป็นไม่รู้ว่าตัวเองให้อำนาจนาย A เยอะเกินไป แต่พ่อเราก็เริ่มริบอำนาจนาย A ไปทีละนิด ที่จริงเราก็รู้อยู่แหล่ะว่าพ่อเรารู้ดีอยู่แก่ใจ และกำลังพยายามละลายพฤติกรรมของนาย A อยู่ด้วยเพราะความสงสารเนื่องจากพ่อร่วมงาน ช่วยเหลือ และให้ที่อยู่เขามาหลายปี แต่เราไม่พอใจนาย A ตรงที่เดี๋ยวนี้พอรู้ว่าพ่อเราเริ่มริบอำนาจก็ไม่สนใจใยดีเลย ตอนพ่อเราป่วยเข้า รพ. นอกจากมาถามอาการป่วยแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนพฤติกรรมหรือใส่ใจอะไรมากขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น แถมเดี๋ยวนี้นาย A ก็เริ่มกล้าแสดงอากัปกิริยาไม่พอใจ กระแนะกระแหน พูด-ดัน แถมยังกล้าขึ้นเสียงใส่หัวหน้าตัวเอง....
เอาเป็นว่าสรุปเลยก็คือคนแบบนี้ถ้าหากไม่สามารถจัดการหรือละลายพฤติกรรมของนาย A ได้ควรจะทำยังไงต่อไปดีคะ จะปล่อยไปก็สงสารเพราะไม่รู้ว่าพวกครอบครัวนาย A จะอยู่กันยังไง แต่ส่วนตัวเลยคือจะให้เราเก็บเอาไว้ก็เป็นภาระอีก เพราะคนที่มีนิสัยเลี้ยงไม่เชื่อง กินบนเรือนขี้บนหลังคา แถมไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคนแบบนี้เราก็กลัวเขาจะลอบกัดครอบครัวเราเอาทีหลัง(เหตุการณ์แบบนี้มีให้เห็นอยู่ประปรายจริงๆ) ที่พูดๆ มาอาจจะฟังดูไร้หัวใจไปหน่อย แต่ว่าตอนนี้เรายังเป็นแค่คนอ่อนต่อโลกคนหนึ่ง เราคิดได้แค่ว่าเรายังมีพ่อแม่และน้องสาวที่ต้องดูแลอีก เพราะงั้นเราไม่อาจและไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตของคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวของเราได้ค่ะ
ปล.แล้วก็เรายังมีเรื่องสงสัยอีกเรื่องหนึ่งที่เก็บมาคิดนานมากแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติของวงการค้าขายรึเปล่านะค่ะ
ตัวอย่างอย่างเช่น ต้นเดือนมกราคมปีนี้พอรวมยอดใบเสร็จเก็บเงินและตีเช็คจ่ายออกของร้านย่อยที่ลูกน้องคนนั้นดูแลออกมาแล้ว ยอดรวมของการสั่งสินค้ามาขายทั้งหมดเป็น 200,000 กว่าบาท แต่กำไรที่ได้จากการขายสินค้าเหล่านั้นมีแค่ 120,000 ยอดน้อยแบบนี้ถือเป็นเรื่องปกติมั้ยคะ เราเป็นนักษาปี 1 หมาดๆ ที่ตอนนี้พึ่งเริ่มทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยเลยยังไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้เท่าไหร่น่ะค่ะ แต่ถ้าหากว่ายอดที่ได้มันไม่ปกติแล้วทำไมถึงไม่มีใครในบ้านสงสัยเลยอ่ะคะ?
ปปล.จากที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นมุมมองทัศนคติของเราฝ่ายเดียวซึ่วยังไม่แตกฉาน ไม่กว้างขวางและอ่อนต่อโลกมากนัก หากมีอะไรผิดพลาดประการใดหรือไม่เหมาะสมตรงไหนก็ขออภัยและช่วยตกเตือนเราด้วยนะคะ