ผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561 กลุ่มช่อง 3 ที่มีทีวีดิจิทัลในมือถึง 3 ช่อง แจ้งผลประกอบการขาดทุนรวม 148.6 ล้านบาท จากรายได้รวม 5,176.8 ล้านบาท โดยเป็นการขาดทุนในเฉพาะไตรมาส 2 จำนวน 22.6 ล้านบาท และรายได้จากไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,756.3 ล้านบาท
รายได้ของครึ่งปีแรกของปีนี้ ลดลง 16.8% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,223 ล้านบาท ในขณะที่ครึ่งปีแรกของปี 2560 กลุ่มบีอีซีมีกำไรรวมอยู่ที่ 361.7 ล้านบาท มาขาดทุน 148.6 ล้าน ในปีนี้ หรือลดลง 141%
ส่วนผลประกอบการเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2561 ขาดทุนอยู่ที่ 22.6 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีกำไร 112.7 ล้านบาท หรือติดลบ 120%
นับเป็นการขาดทุนต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 และไตรมาสแรกของปีนี้ โดยในไตรมาสแรกมีรายได้ 2,438.62 ล้านบาท และขาดทุนอยู่ที่ 125.99 ล้านบาท
รายได้รวม ในไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 2,756.3 ล้านบาท ลดลง 14.9% จากไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,239.2 ล้านบาท แต่ก็ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ ที่อยู่ที่ 2,420.5 ล้านบาท
ในส่วนรายได้เฉพาะ จากการขายเวลาโฆษณาของกลุ่มบีอีซี ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ อยู่ที่ 2,399.3 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนหน้า ที่มีรายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 2,714.1 ล้านบาท โดยรายได้หลักจากการขายเวลาโฆษณา มาจากการขายเวลาโฆษณาของ “ช่อง 3” เป็นหลัก ทั้งนี้รายได้จากค่าโฆษณานั้น คิดเป็น 87% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่มบีอีซี
ตัวเลขเรตติ้งเฉลี่ยของช่อง 3 HD ช่องหลักของกลุ่มบีอีซี นีลเส็น จากการวัดจากการออกอากาศ 24 ชั่วโมง ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.48 ในขณะที่ไตรมาส 2 ของปีที่แล้วอยู่ที่ 1.35
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขรายได้โฆษณาและเรตติ้งเฉลี่ยของช่องไม่สัมพันธ์กัน ทั้งๆที่เรตติ้งของช่อง 3 เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว แต่รายได้กลับลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาของการทำการขายของช่อง ที่ลดลง อีกทั้งยังเจอสภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรม
บีอีซีชี้แจงว่า จากข้อมูลของนีลเส็น ภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาในกลุ่มทีวีในไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 18,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% จากไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว ที่มีวงเงิน 17,140 ล้านบาท โดยมีเม็ดเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นจากช่วงเดือนมิถุนายนจากช่วงฟุตบอลโลก ที่มีการทำตลาดเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าและบริการ แต่ถ้าเอาเม็ดเงินโฆษณาบอลโลกออก ทำให้สภาพตลาดโฆษณาโดยรวม ลดลง 0.6% จากไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังมีผลของนโยบายการลดต้นทุนของบริษัทและผลจากโครงการร่วมใจจากให้พนักงานเข้าโครงการ early retired ในไตรมาส 2 นี้อยู่ที่ 44.7 ล้านบาท
หาทางเพิ่มรายได้ใหม่ ขายลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และช่องทางออนไลน์
กลุ่มบีอีซียังได้ชี้แจงว่า เพื่อเป็นการหาช่องทางของแหล่งรายได้ใหม่ บริษัทจึงได้วางกลยุทธ์การขยายธุรกิจและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงการดำเนินธุรกิจในตลาดใหม่ ทั้งในและต่างประเทศ
โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ กลุ่มบีอีซี ได้ร่วมมือกับ “เทนเซนต์ วิดีโอ” ผ่านทางบริษัทอินไซท์ เทคโนโลยี ประเทศไทยในการนำละคร “ลิขิตรัก The Crown Princess” นำแสดงโดย “ณเดชน์-ญาญ่า” ไปออกอากาศคู่ขนานในวันเดียวกันที่ประเทศไทยและประเทศจีน
ปัจจุบัน เทนเซนต์ วิดีโอ มียอดสมาชิกวีไอพีกว่า 63 ล้าน User มียอดใช้งาน 140 ล้าน User ต่อวัน และ 790 ล้าน User ต่อเดือน นอกจากลิขิตรักแล้ว ซีรี่ส์อีก 2 เรื่องอยู่ในแผนงานคือ “ Meo & You-แมวของเขาและรักของเรา” และ “Beauty Boy –ผู้ชายขายสวย
นอกจากนี้ กลุ่มบีอีซี ได้มีการจับมือกับ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอลมีเดีย จัดจำหน่ายละครของกลุ่มบีอีซีไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะไปในตลาดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, สิงคโปร์, ไต้หวัน, และจะขยายไปยังประเทศในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกำในอนาคต ยกเว้นบางประเทศที่กลุ่มบีอีซี ดำเนินการเอง เช่น จีน (รวมถึงฮ่องกง , มาเก๊า), เวียดนาม , กัมพูชา ซึ่งนอกจากการขายลิขสิทธิ์ละครแล้ว อาจมีการนำศิลปินไปโชว์ตัว จัดอีเวนต์ และกิจกรรมอื่นๆ ในอนาคตด้วย
ทั้งนี้รายได้เสริมจากการขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ ในไตรมาส 2 นี้ อยู่ที่ 50.2 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 2 ของปี 2560 ที่มีรายได้เพียง 8.1 ล้านบาท และไตรมาสแรกของปีนี้มีรายได้อยู่ที่ 22.8 ล้านบาท โดยรายได้ของไตรมาสนี้มาจากการขายลิขสิทธิ์ละคร “ลิขิตรัก” ไปยังประเทศจีน
ส่วนรายได้จากธุรกิจออนไลน์ ทางเมลโล ในไตรมาส 2 นี้รายได้ขึ้นมาอยู่ที่ 115.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 261% จากไตรมาสเดียวกันในปี 2560 ที่มีรายได้เพียง 31.9 ล้านบาท.

ที่มา :
https://positioningmag.com/1183021
ยังหนัก ! ช่อง 3 เรตติ้งขึ้น แต่รายได้ลด ขาดทุนต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน หวังพึ่งรายได้ตปท.-ออนไลน์
นับเป็นการขาดทุนต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2560 และไตรมาสแรกของปีนี้ โดยในไตรมาสแรกมีรายได้ 2,438.62 ล้านบาท และขาดทุนอยู่ที่ 125.99 ล้านบาท
รายได้รวม ในไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 2,756.3 ล้านบาท ลดลง 14.9% จากไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 3,239.2 ล้านบาท แต่ก็ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้ ที่อยู่ที่ 2,420.5 ล้านบาท
ในส่วนรายได้เฉพาะ จากการขายเวลาโฆษณาของกลุ่มบีอีซี ในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ อยู่ที่ 2,399.3 ล้านบาท ลดลง 11.6% จากไตรมาสที่ 2 ของปีก่อนหน้า ที่มีรายได้ส่วนนี้อยู่ที่ 2,714.1 ล้านบาท โดยรายได้หลักจากการขายเวลาโฆษณา มาจากการขายเวลาโฆษณาของ “ช่อง 3” เป็นหลัก ทั้งนี้รายได้จากค่าโฆษณานั้น คิดเป็น 87% ของรายได้ทั้งหมดของกลุ่มบีอีซี
ตัวเลขเรตติ้งเฉลี่ยของช่อง 3 HD ช่องหลักของกลุ่มบีอีซี นีลเส็น จากการวัดจากการออกอากาศ 24 ชั่วโมง ในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.48 ในขณะที่ไตรมาส 2 ของปีที่แล้วอยู่ที่ 1.35
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวเลขรายได้โฆษณาและเรตติ้งเฉลี่ยของช่องไม่สัมพันธ์กัน ทั้งๆที่เรตติ้งของช่อง 3 เพิ่มสูงขึ้นจากปีที่แล้ว แต่รายได้กลับลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาของการทำการขายของช่อง ที่ลดลง อีกทั้งยังเจอสภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรม
หาทางเพิ่มรายได้ใหม่ ขายลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และช่องทางออนไลน์
โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ กลุ่มบีอีซี ได้ร่วมมือกับ “เทนเซนต์ วิดีโอ” ผ่านทางบริษัทอินไซท์ เทคโนโลยี ประเทศไทยในการนำละคร “ลิขิตรัก The Crown Princess” นำแสดงโดย “ณเดชน์-ญาญ่า” ไปออกอากาศคู่ขนานในวันเดียวกันที่ประเทศไทยและประเทศจีน
ปัจจุบัน เทนเซนต์ วิดีโอ มียอดสมาชิกวีไอพีกว่า 63 ล้าน User มียอดใช้งาน 140 ล้าน User ต่อวัน และ 790 ล้าน User ต่อเดือน นอกจากลิขิตรักแล้ว ซีรี่ส์อีก 2 เรื่องอยู่ในแผนงานคือ “ Meo & You-แมวของเขาและรักของเรา” และ “Beauty Boy –ผู้ชายขายสวย
นอกจากนี้ กลุ่มบีอีซี ได้มีการจับมือกับ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอลมีเดีย จัดจำหน่ายละครของกลุ่มบีอีซีไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะไปในตลาดใหม่ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, บรูไน, สิงคโปร์, ไต้หวัน, และจะขยายไปยังประเทศในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกำในอนาคต ยกเว้นบางประเทศที่กลุ่มบีอีซี ดำเนินการเอง เช่น จีน (รวมถึงฮ่องกง , มาเก๊า), เวียดนาม , กัมพูชา ซึ่งนอกจากการขายลิขสิทธิ์ละครแล้ว อาจมีการนำศิลปินไปโชว์ตัว จัดอีเวนต์ และกิจกรรมอื่นๆ ในอนาคตด้วย
ทั้งนี้รายได้เสริมจากการขายลิขสิทธิ์ละครไปต่างประเทศ ในไตรมาส 2 นี้ อยู่ที่ 50.2 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาส 2 ของปี 2560 ที่มีรายได้เพียง 8.1 ล้านบาท และไตรมาสแรกของปีนี้มีรายได้อยู่ที่ 22.8 ล้านบาท โดยรายได้ของไตรมาสนี้มาจากการขายลิขสิทธิ์ละคร “ลิขิตรัก” ไปยังประเทศจีน
ส่วนรายได้จากธุรกิจออนไลน์ ทางเมลโล ในไตรมาส 2 นี้รายได้ขึ้นมาอยู่ที่ 115.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 261% จากไตรมาสเดียวกันในปี 2560 ที่มีรายได้เพียง 31.9 ล้านบาท.
ที่มา : https://positioningmag.com/1183021