ทีมไทยอยู่กลุ่ม A ประกอบด้วย 1. อินโดนีเซีย (เจ้าภาพ) 2. ฮ่องกง 3. ฟิลิปปินส์ 4. ญี่ปุ่น 5. ไทย
โปรแกรมการแข่งขัน
19 สิงหาคม 12:30 ไทย พบ ฟิลิปปินส์ (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
23 สิงหาคม 19:00 ไทย พบ ญี่ปุ่น (ถ้าต้องการที่ 1 ของกลุ่ม ก็ต้องส่งชุดที่ดีที่สุดลงเล่น ถ้าไม่ซีเรียส ยอมเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ก็พักตัวหลักเก็บไว้ใช้ในรอบลึก ๆ ต่อไป)
25 สิงหาคม 16:30 ไทย พบ ฮ่องกง (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
27 สิงหาคม 16:30 ไทย พบ อินโดนีเซีย (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
สิ่งที่ควรพิจารณาคือ
1. ทีมไทยตั้งเป้าต้องการจะผ่านเข้ารอบสองเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของกลุ่ม A เพื่อไขว้ไปเจอกับทีมไหนของกลุ่ม B รวมถึงมองข้ามช็อทไปถึงรอบต่อ ๆ ไปล่วงหน้าว่าจะเจอทีมไหน รอบรองอยากจะเจอทีมไหน ที่อาจพอมีทางเอาชนะได้ เพื่อกรุยทางเข้าไปถึงรอบชิงเหรียญทอง ดูเส้นทางไว้ก่อนเลย
2. ทีมสต๊าฟโค้ชควรช่วยกันพิจารณาวางแผนการจัดตัวผู้เล่น 6 คนแรกในการเจอกับทีมต่าง ๆ ในรอบแรกเอาไว้ล่วงหน้า ว่าเจอทีมนี้จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก นัดต่อไปเจออีกทีมจะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก เขียนชื่อ 6 คนแรกของแต่ละนัดเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย ไม่ควรยึดติดใช้นักกีฬาตัวหลัก 6 คนแรกเป็นตัวจริงอยู่ชุดเดียวเหมือนกันตลอดทุกนัดตั้งแต่รอบแรก เพราะถ้าทำแบบนี้ พอไปถึงรอบท้าย ๆ ที่เป็นนัดสำคัญ ๆ ร่างกายของนักกีฬาตัวจริงบางคนจะกรอบ และกล้ามเนื้ออาจจะอ่อนล้าเริ่มไปต่อไม่ไหว พละกำลังอาจไม่พอที่จะยืนระยะในการเล่นเกมยาวต่อเนื่อง 5 เซตกับคู่แข่งที่หิน ๆ อย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ก็ได้ ซึ่งทีมไทยเคยได้รับบทเรียนในเรื่องนี้จากทัวร์การแข่งขันต่าง ๆ มาแล้วหลายครั้ง ทีมสต๊าฟโค้ชควรใส่ใจมากเป็นพิเศษ และควรหาวิธีป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำขึ้นอีก
3. จากรายชื่อทีมคู่แข่งในกลุ่ม A ในรอบแรก พอจะประเมินเบื้องต้นได้ว่า ทีมไทยน่าจะเอาชนะทีมฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ได้ไม่ยาก และแย่งเข้ารอบเป็นอันดับ 1 หรือ 2 กับทีมญี่ปุ่น ถ้าไทยไม่ซีเรียสที่จะเข้ารอบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม (อาจจะแพ้ญี่ปุ่น 0-3 เซตก็ได้) ทีมไทยก็อาจจะพักนักกีฬาตัวจริงบางคนเก็บไว้ใช้เป็นไพ่เด็ดในรอบต่อไป ไม่ต้องส่งลงเล่นในการเจอกับทีมญี่ปุ่นในรอบแรกนี้ก็ได้ เพราะถึงแพ้ก็ยังเข้ารอบเป็นที่ 2 อยู่ดี (ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับโค้ชยะ ที่เก็บบุ๋มบิ๋มไว้เป็นไพ่เด็ดในรอบชิงแชมป์สโมสรเอเชียครั้งล่าสุดที่ผ่านมา)
*** บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าเกิดแพ้ญี่ปุ่นแล้ว อีกสองนัดต่อไป ถ้าเกิดไปแพ้ทีมฮ่องกง หรือทีมฟิลิปปินส์ ทีมใดทีมหนึ่งขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ไทยอาจจะไม่ได้ที่ 2 ของกลุ่ม และมีสิทธิไปเจอเกาหลีใต้ หรือ จีน ก่อนจะถึงรอบรอง หรือรอบชิงจะทำอย่างไร
คำตอบ คือ ถ้าทีมไทยไม่มีปัญญาเอาชนะทีมฮ่องกง และทีมอินโดนีเซีย ในรอบแรกได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่นักกีฬาไทยจะได้เหรียญรางวัล ทอง เงิน ทองแดง เหรียญใดเหรียญหนึ่งมาคล้องคอนักกีฬาไทยอีก เลิกพูดกันไปได้เลย
4. การแบ่งหน้าที่ทีมสต๊าฟโค้ช ควรมีใครสักคนคอยเก็บรายละเอียดการเล่นของนักกีฬาแต่ละคนที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างเกมการแข่งขันนัดนั้น เช่น วันนี้ใครเสิร์ฟเสียบ่อย ๆ (ติดเน็ต เสิร์ฟออก) หรือคนไหนมือไม่ขึ้น ทำอะไรก็ไม่ดี เหมือนวันนี้ไม่ใช่วันของเขา ให้จดชื่อพร้อมข้อสังเกตไว้ พอถึงแต้มสำคัญที่จะตัดสินผลแพ้ชนะในเซตนั้น ก็ให้รีบหาทางป้องกัน เช่น ใครเสิร์ฟไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนออกและส่งนักกีฬาคนที่เสิร์ฟดี เสิร์ฟชัวร์ ลงไปเสิร์ฟแทน หรือคนไหนมือไม่ขึ้น วันนี้ไม่ใช่วันของเขาก็ให้เปลี่ยนเขาออกมานั่งพักแล้วค่อยส่งลงไปเล่นใหม่ ถ้ายังไม่ดีอีก ก็ต้องเปลี่ยนอีกคนลงไปเล่นแทน ถ้าคนที่เปลี่ยนลงไปเล่นแทนแล้วทำได้ดีกว่าก็ให้เล่นยาวไปตลอดเซตนั้นเลย หรือ นักกีฬาคนไหนชอบตัดสินใจเล่นลูกเสี่ยง ๆ แต่ฝีมือยังไม่ชัวร์ ก็ควรจะมีการกำชับให้เจ้าตัวรู้ตัวว่า อย่าเล่นลูกเสี่ยง ๆ ในช่วงที่เป็นแต้มสำคัญ ๆ เด็ดขาด พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก็พอ ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเขาทำ ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ โค้ชต้องไม่ละเลยหรือมองข้ามในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เด็ดขาด ยิ่งเป็นแต้มท้าย ๆ เซต ยิ่งผิดพลาดทำเสียเองไม่ได้เลย โค้ชที่มีหน้าที่เก็บรายละเอียด ควรจะออกมามีบทบาทในช่วงที่เกมมาถึงแต้มสำคัญตอนท้าย ๆ เซต อย่ามัวแต่นั่งเชียร์ให้กำลังใจนักกีฬาที่ม้านั่งสำรองของตนเองอย่างเดียว ส่งซิกหรือสัญญาณอะไรก็ได้ให้โค้ชด่วนรู้บ้างว่าควรจะทำอะไรอย่างไรหรือไม่ ทีมสต๊าฟโค้ชควรพยายามสื่อสารกันเข้าไว้
5. การเปลี่ยนหน้า 3 ในช่วงท้าย ๆ เซต อยากให้โค้ชพิจารณาดูความสมดุลของตัวผู้เล่นในเกมขณะนั้นว่า มีความสมดุลของตัวผู้เล่นดีมากน้อยเพียงใด (หมายถึง ทุกคนกำลังทำหน้าที่ในเกมของตนเองดีอยู่ คนที่รับก็เหนียว คนที่บุกก็ปัง การต่อบอลประสานงานภายในทีมก็ดี ไม่มีใครเป็นบ่อหรือเป็นจุดอ่อนให้คู่แข่งโจมตีได้ง่าย ๆ) ทีมยังสามารถรักษาความได้เปรียบเหนือทีมคู่แข่งหรือไม่ แต้มกำลังขึ้นนำหรือเป็นฝ่ายไล่ตามทีมคู่แข่ง โมเมนตั้มกำลังเทมาทางฝั่งไหน ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนหน้า 3 ไม่ใช่พอมือเซตวนขึ้นหน้า และเป็นช่วงแต้มขึ้น 20 ปุ๊บ ก็ต้องเปลี่ยนหน้า 3 เสมอไป ถ้าทีมเราแต้มขึ้นนำอยู่ จะลองเสี่ยงไม่เปลี่ยนหน้า 3 สลับกันรุกเปลี่ยนแต้มกันแต้มต่อแต้มดูจะดีไหม เพราะถ้าทำได้ ยังไงทีมเราก็เข้าป้ายก่อนเพราะแต้มเรานำทีมคู่แข่งอยู่ดี
6. การวางกลยุทธ์ในการรับมือคู่แข่งนัดต่อนัด ควรศึกษาตัวผู้เล่นของทีมญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ จีน ว่าเขาจะจัดตัวผู้เล่นคนไหนลงเล่น นักกีฬาของเขาคนไหนชอบตีลูกในลักษณะแบบไหน และทีมไทยจะวางตัวผู้เล่นคนไหนคอยประกบรับมือกับตัวนักกีฬาแต่ละคนของทีมคู่แข่งอย่างไร หรือคู่แข่งชอบเจาะช่องทางนักกีฬาคนไหนของเรามากเป็นพิเศษ เช่น เลือกเจาะทางนุศราเพราะบล็อกเตี้ยเจาะได้ง่ายกว่าคนอื่น แล้วเราจะหาทางป้องกันรับมืออย่างไร เป็นต้น
ความเห็นส่วนตัว
ผมอยากให้โค้ชพักบุ๋มบิ๋มในนัดที่ไทยเจอทีมคู่แข่งที่ไม่หินมากนัก อย่างทีมฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ที่ผมอยากให้เก็บตัวบุ๋มบิ๋มไว้ไม่ใช่เพราะต้องการโอ๋ หรือให้ความสำคัญกับบุ๋มบิ๋มมากกว่านักกีฬาคนอื่น แต่จากการติดตามดูการแข่งขันของทีมชาติไทยชุดใหญ่ทุกครั้งที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า ถ้าให้บุ๋มบิ๋มเล่นตลอดทุกเกมตั้งแต่รอบแรก โดยเฉพาะทัวร์เอเชียนเกมส์ที่แข่งวันเว้นวันในรอบแรก พอถึงรอบลึก ๆ ร่างกายจะกรอบและเริ่มยืนระยะไม่ไหว ยิ่งถ้าต้องเล่นยาว 5 เซตกับทีมญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ หรือจีน โอกาสที่ไทยจะเสียเปรียบคู่แข่งเพราะเราไม่รู้จักบริหารจัดตัวนักกีฬาหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันลงแข่งขันจะยิ่งมีมากขึ้น บุ๋มบิ๋มไม่มีปัญหาในเรื่องเครื่องร้อนช้า ส่งลงมาตอนไหนก็เล่นได้เลย ยิ่งส่งลงมาตอนที่ร่างกายสดชื่นได้พักมาพอสมควร ยิ่งทำหน้าที่ได้ดี
อีกอย่างทีมไทยไม่ใช่ทีมที่มีนักกีฬาแข็งแกร่งเพรียบพร้อมทั้งฝีมือและสรีระร่างกายทุกตำแหน่งอย่างจีน ที่พร้อมจะท้าชนซึ่ง ๆ หน้ากับทุกทีมในเอเชียได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบหลีกสับเปลี่ยนตัวนักกีฬา ถ้าไทยอยากเข้ารอบลึก ๆ และไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โค้ชจะต้องรู้จักวางแผนและวางกลยุทธ์บริหารจัดการนักกีฬาในทีมโดยมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงเล่นอย่างเหมาะสมตามระดับฝีมือของทีมคู่แข่งที่เจอ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลการแข่งขันเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
ปล. ฝากถึงคนที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมอยู่ในทีมวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทย ถ้าท่านได้เห็นข้อความในกระทู้นี้ และเห็นว่าทั้งหมดที่พูดมาพอจะมีประโยชน์กับทีมชาติไทยอยู่บ้าง ก็ขอรบกวนท่านช่วยนำเรียนข้อเสนอแนะเหล่านี้ให้รับรู้ไปถึงทีมสต๊าฟโค้ชด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดของทีมชาติไทยของเรา ผมไม่บังอาจมาสอนหรือก้าวก่ายการทำหน้าที่ของโค้ชด่วนและทีมสต๊าฟโค้ชทุกคน เพียงแต่ฝากข้อสังเกตที่ตัวเองพบเจอมาและแจ้งให้ทางสต๊าฟโค้ชรับไว้พิจารณา ถ้าท่านทราบถึงปัญหาและได้มีการวางแผนป้องกันและหาทางแก้ไขไว้แล้ว ผมก็ต้องขออภัยที่มาเสนอแนะซ้ำโดยไม่จำเป็น
เนื้อหาค่อนข้างยาว ขอขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อดทนอ่านจนจบ
กลยุทธ์การจัดตัวผู้เล่น 6 คนแรกในการแข่งขันวอลเล่ยบอลหญิงเอเชียนเกมส์ 2018
โปรแกรมการแข่งขัน
19 สิงหาคม 12:30 ไทย พบ ฟิลิปปินส์ (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
23 สิงหาคม 19:00 ไทย พบ ญี่ปุ่น (ถ้าต้องการที่ 1 ของกลุ่ม ก็ต้องส่งชุดที่ดีที่สุดลงเล่น ถ้าไม่ซีเรียส ยอมเป็นที่ 2 ของกลุ่ม ก็พักตัวหลักเก็บไว้ใช้ในรอบลึก ๆ ต่อไป)
25 สิงหาคม 16:30 ไทย พบ ฮ่องกง (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
27 สิงหาคม 16:30 ไทย พบ อินโดนีเซีย (จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก ที่เชื่อว่าเอาชนะได้ โดยเก็บตัวหลักไว้ใช้ในรอบสำคัญ ๆ)
สิ่งที่ควรพิจารณาคือ
1. ทีมไทยตั้งเป้าต้องการจะผ่านเข้ารอบสองเป็นที่ 1 หรือที่ 2 ของกลุ่ม A เพื่อไขว้ไปเจอกับทีมไหนของกลุ่ม B รวมถึงมองข้ามช็อทไปถึงรอบต่อ ๆ ไปล่วงหน้าว่าจะเจอทีมไหน รอบรองอยากจะเจอทีมไหน ที่อาจพอมีทางเอาชนะได้ เพื่อกรุยทางเข้าไปถึงรอบชิงเหรียญทอง ดูเส้นทางไว้ก่อนเลย
2. ทีมสต๊าฟโค้ชควรช่วยกันพิจารณาวางแผนการจัดตัวผู้เล่น 6 คนแรกในการเจอกับทีมต่าง ๆ ในรอบแรกเอาไว้ล่วงหน้า ว่าเจอทีมนี้จะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก นัดต่อไปเจออีกทีมจะส่งใครลงเล่นเป็น 6 คนแรก เขียนชื่อ 6 คนแรกของแต่ละนัดเอาไว้ล่วงหน้าได้เลย ไม่ควรยึดติดใช้นักกีฬาตัวหลัก 6 คนแรกเป็นตัวจริงอยู่ชุดเดียวเหมือนกันตลอดทุกนัดตั้งแต่รอบแรก เพราะถ้าทำแบบนี้ พอไปถึงรอบท้าย ๆ ที่เป็นนัดสำคัญ ๆ ร่างกายของนักกีฬาตัวจริงบางคนจะกรอบ และกล้ามเนื้ออาจจะอ่อนล้าเริ่มไปต่อไม่ไหว พละกำลังอาจไม่พอที่จะยืนระยะในการเล่นเกมยาวต่อเนื่อง 5 เซตกับคู่แข่งที่หิน ๆ อย่าง ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ก็ได้ ซึ่งทีมไทยเคยได้รับบทเรียนในเรื่องนี้จากทัวร์การแข่งขันต่าง ๆ มาแล้วหลายครั้ง ทีมสต๊าฟโค้ชควรใส่ใจมากเป็นพิเศษ และควรหาวิธีป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาเดิมซ้ำขึ้นอีก
3. จากรายชื่อทีมคู่แข่งในกลุ่ม A ในรอบแรก พอจะประเมินเบื้องต้นได้ว่า ทีมไทยน่าจะเอาชนะทีมฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ได้ไม่ยาก และแย่งเข้ารอบเป็นอันดับ 1 หรือ 2 กับทีมญี่ปุ่น ถ้าไทยไม่ซีเรียสที่จะเข้ารอบเป็นที่ 2 ของกลุ่ม (อาจจะแพ้ญี่ปุ่น 0-3 เซตก็ได้) ทีมไทยก็อาจจะพักนักกีฬาตัวจริงบางคนเก็บไว้ใช้เป็นไพ่เด็ดในรอบต่อไป ไม่ต้องส่งลงเล่นในการเจอกับทีมญี่ปุ่นในรอบแรกนี้ก็ได้ เพราะถึงแพ้ก็ยังเข้ารอบเป็นที่ 2 อยู่ดี (ใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับโค้ชยะ ที่เก็บบุ๋มบิ๋มไว้เป็นไพ่เด็ดในรอบชิงแชมป์สโมสรเอเชียครั้งล่าสุดที่ผ่านมา)
*** บางคนอาจจะแย้งว่า ถ้าเกิดแพ้ญี่ปุ่นแล้ว อีกสองนัดต่อไป ถ้าเกิดไปแพ้ทีมฮ่องกง หรือทีมฟิลิปปินส์ ทีมใดทีมหนึ่งขึ้นมาล่ะจะทำยังไง ไทยอาจจะไม่ได้ที่ 2 ของกลุ่ม และมีสิทธิไปเจอเกาหลีใต้ หรือ จีน ก่อนจะถึงรอบรอง หรือรอบชิงจะทำอย่างไร
คำตอบ คือ ถ้าทีมไทยไม่มีปัญญาเอาชนะทีมฮ่องกง และทีมอินโดนีเซีย ในรอบแรกได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่นักกีฬาไทยจะได้เหรียญรางวัล ทอง เงิน ทองแดง เหรียญใดเหรียญหนึ่งมาคล้องคอนักกีฬาไทยอีก เลิกพูดกันไปได้เลย
4. การแบ่งหน้าที่ทีมสต๊าฟโค้ช ควรมีใครสักคนคอยเก็บรายละเอียดการเล่นของนักกีฬาแต่ละคนที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างเกมการแข่งขันนัดนั้น เช่น วันนี้ใครเสิร์ฟเสียบ่อย ๆ (ติดเน็ต เสิร์ฟออก) หรือคนไหนมือไม่ขึ้น ทำอะไรก็ไม่ดี เหมือนวันนี้ไม่ใช่วันของเขา ให้จดชื่อพร้อมข้อสังเกตไว้ พอถึงแต้มสำคัญที่จะตัดสินผลแพ้ชนะในเซตนั้น ก็ให้รีบหาทางป้องกัน เช่น ใครเสิร์ฟไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนออกและส่งนักกีฬาคนที่เสิร์ฟดี เสิร์ฟชัวร์ ลงไปเสิร์ฟแทน หรือคนไหนมือไม่ขึ้น วันนี้ไม่ใช่วันของเขาก็ให้เปลี่ยนเขาออกมานั่งพักแล้วค่อยส่งลงไปเล่นใหม่ ถ้ายังไม่ดีอีก ก็ต้องเปลี่ยนอีกคนลงไปเล่นแทน ถ้าคนที่เปลี่ยนลงไปเล่นแทนแล้วทำได้ดีกว่าก็ให้เล่นยาวไปตลอดเซตนั้นเลย หรือ นักกีฬาคนไหนชอบตัดสินใจเล่นลูกเสี่ยง ๆ แต่ฝีมือยังไม่ชัวร์ ก็ควรจะมีการกำชับให้เจ้าตัวรู้ตัวว่า อย่าเล่นลูกเสี่ยง ๆ ในช่วงที่เป็นแต้มสำคัญ ๆ เด็ดขาด พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดก็พอ ที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของเพื่อนร่วมทีมคนอื่นเขาทำ ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมานี้ โค้ชต้องไม่ละเลยหรือมองข้ามในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เด็ดขาด ยิ่งเป็นแต้มท้าย ๆ เซต ยิ่งผิดพลาดทำเสียเองไม่ได้เลย โค้ชที่มีหน้าที่เก็บรายละเอียด ควรจะออกมามีบทบาทในช่วงที่เกมมาถึงแต้มสำคัญตอนท้าย ๆ เซต อย่ามัวแต่นั่งเชียร์ให้กำลังใจนักกีฬาที่ม้านั่งสำรองของตนเองอย่างเดียว ส่งซิกหรือสัญญาณอะไรก็ได้ให้โค้ชด่วนรู้บ้างว่าควรจะทำอะไรอย่างไรหรือไม่ ทีมสต๊าฟโค้ชควรพยายามสื่อสารกันเข้าไว้
5. การเปลี่ยนหน้า 3 ในช่วงท้าย ๆ เซต อยากให้โค้ชพิจารณาดูความสมดุลของตัวผู้เล่นในเกมขณะนั้นว่า มีความสมดุลของตัวผู้เล่นดีมากน้อยเพียงใด (หมายถึง ทุกคนกำลังทำหน้าที่ในเกมของตนเองดีอยู่ คนที่รับก็เหนียว คนที่บุกก็ปัง การต่อบอลประสานงานภายในทีมก็ดี ไม่มีใครเป็นบ่อหรือเป็นจุดอ่อนให้คู่แข่งโจมตีได้ง่าย ๆ) ทีมยังสามารถรักษาความได้เปรียบเหนือทีมคู่แข่งหรือไม่ แต้มกำลังขึ้นนำหรือเป็นฝ่ายไล่ตามทีมคู่แข่ง โมเมนตั้มกำลังเทมาทางฝั่งไหน ก่อนจะตัดสินใจเปลี่ยนหน้า 3 ไม่ใช่พอมือเซตวนขึ้นหน้า และเป็นช่วงแต้มขึ้น 20 ปุ๊บ ก็ต้องเปลี่ยนหน้า 3 เสมอไป ถ้าทีมเราแต้มขึ้นนำอยู่ จะลองเสี่ยงไม่เปลี่ยนหน้า 3 สลับกันรุกเปลี่ยนแต้มกันแต้มต่อแต้มดูจะดีไหม เพราะถ้าทำได้ ยังไงทีมเราก็เข้าป้ายก่อนเพราะแต้มเรานำทีมคู่แข่งอยู่ดี
6. การวางกลยุทธ์ในการรับมือคู่แข่งนัดต่อนัด ควรศึกษาตัวผู้เล่นของทีมญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ จีน ว่าเขาจะจัดตัวผู้เล่นคนไหนลงเล่น นักกีฬาของเขาคนไหนชอบตีลูกในลักษณะแบบไหน และทีมไทยจะวางตัวผู้เล่นคนไหนคอยประกบรับมือกับตัวนักกีฬาแต่ละคนของทีมคู่แข่งอย่างไร หรือคู่แข่งชอบเจาะช่องทางนักกีฬาคนไหนของเรามากเป็นพิเศษ เช่น เลือกเจาะทางนุศราเพราะบล็อกเตี้ยเจาะได้ง่ายกว่าคนอื่น แล้วเราจะหาทางป้องกันรับมืออย่างไร เป็นต้น
ความเห็นส่วนตัว
ผมอยากให้โค้ชพักบุ๋มบิ๋มในนัดที่ไทยเจอทีมคู่แข่งที่ไม่หินมากนัก อย่างทีมฟิลิปปินส์ ฮ่องกง และอินโดนีเซีย ที่ผมอยากให้เก็บตัวบุ๋มบิ๋มไว้ไม่ใช่เพราะต้องการโอ๋ หรือให้ความสำคัญกับบุ๋มบิ๋มมากกว่านักกีฬาคนอื่น แต่จากการติดตามดูการแข่งขันของทีมชาติไทยชุดใหญ่ทุกครั้งที่ผ่านมา สังเกตได้ว่า ถ้าให้บุ๋มบิ๋มเล่นตลอดทุกเกมตั้งแต่รอบแรก โดยเฉพาะทัวร์เอเชียนเกมส์ที่แข่งวันเว้นวันในรอบแรก พอถึงรอบลึก ๆ ร่างกายจะกรอบและเริ่มยืนระยะไม่ไหว ยิ่งถ้าต้องเล่นยาว 5 เซตกับทีมญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ หรือจีน โอกาสที่ไทยจะเสียเปรียบคู่แข่งเพราะเราไม่รู้จักบริหารจัดตัวนักกีฬาหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันลงแข่งขันจะยิ่งมีมากขึ้น บุ๋มบิ๋มไม่มีปัญหาในเรื่องเครื่องร้อนช้า ส่งลงมาตอนไหนก็เล่นได้เลย ยิ่งส่งลงมาตอนที่ร่างกายสดชื่นได้พักมาพอสมควร ยิ่งทำหน้าที่ได้ดี
อีกอย่างทีมไทยไม่ใช่ทีมที่มีนักกีฬาแข็งแกร่งเพรียบพร้อมทั้งฝีมือและสรีระร่างกายทุกตำแหน่งอย่างจีน ที่พร้อมจะท้าชนซึ่ง ๆ หน้ากับทุกทีมในเอเชียได้โดยไม่จำเป็นต้องหลบหลีกสับเปลี่ยนตัวนักกีฬา ถ้าไทยอยากเข้ารอบลึก ๆ และไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โค้ชจะต้องรู้จักวางแผนและวางกลยุทธ์บริหารจัดการนักกีฬาในทีมโดยมีการสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันลงเล่นอย่างเหมาะสมตามระดับฝีมือของทีมคู่แข่งที่เจอ ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ผลการแข่งขันเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการมากที่สุด
ปล. ฝากถึงคนที่เกี่ยวข้อง และมีส่วนร่วมอยู่ในทีมวอลเล่ย์บอลหญิงทีมชาติไทย ถ้าท่านได้เห็นข้อความในกระทู้นี้ และเห็นว่าทั้งหมดที่พูดมาพอจะมีประโยชน์กับทีมชาติไทยอยู่บ้าง ก็ขอรบกวนท่านช่วยนำเรียนข้อเสนอแนะเหล่านี้ให้รับรู้ไปถึงทีมสต๊าฟโค้ชด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดของทีมชาติไทยของเรา ผมไม่บังอาจมาสอนหรือก้าวก่ายการทำหน้าที่ของโค้ชด่วนและทีมสต๊าฟโค้ชทุกคน เพียงแต่ฝากข้อสังเกตที่ตัวเองพบเจอมาและแจ้งให้ทางสต๊าฟโค้ชรับไว้พิจารณา ถ้าท่านทราบถึงปัญหาและได้มีการวางแผนป้องกันและหาทางแก้ไขไว้แล้ว ผมก็ต้องขออภัยที่มาเสนอแนะซ้ำโดยไม่จำเป็น
เนื้อหาค่อนข้างยาว ขอขอบคุณทุกท่านที่อุตส่าห์อดทนอ่านจนจบ