คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 51
รู้สึกเหมือน จขกท.
เราไม่พูดคำหยาบเหมือนกัน
เวลาโมโหใช้คำพูดดี ๆ ที่ไม่หยาบก็ทำให้เจ็บได้นะ
เห็นเรื่อย ๆ สาวใสวัยเรียนคุยกับเพื่อน ๆ พูด กุ_ึง กันหน้าตาเฉย
บางคนพูดไปสบถไป ได้ยินยังรู้สึกว่าทำไม..
มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่พูดเลย
ละครวัยรุ่นช่อง GMM25 เขียนบทก็ใช้คำหยาบเป็นคำแทนตัวละคร
เข้าใจว่าบางครั้งอยากสะท้อนชีวิตจริง แต่ไม่ต้องมีทุกเรื่องก็ได้
และถ้าเป็นสื่อ ควรนำเสนอสิ่งที่ดีให้ผู้ชมจะดีกว่ามั้ย
สิ่งไม่ดี เลี่ยงไปไม่ต้องนำเสนอก็ได้ เพราะบางครั้งอาจเป็นการชี้นำ
ว่าพูดแบบนี้ได้ ทำแบบนี้ไม่ผิด
รายการทีวีต่าง ๆ ก็เหมือนกัน บางครั้งพิธีกรมักจะพูดคำหยาบ
มันไม่จำเป็นนะ
อย่าง The Mask Singer กรรมการบางคนพูด กุ_ึง บ่อยจนไม่น่าฟัง
จากแรก ๆ อาจสนุก ตอนนี้เยอะไป เลิกดู
ไม่รู้จะมาดูคนด่ากันทำไม ไม่สนุกละ
แต่ก็แล้วแต่คนนะ บางคนอาจชิน อาจชอบ
คนไหนไม่ชอบก็เลิกดู
อย่างละคร GMM25 เราเลิกดูไปเลย พูดไปสบถไป ไม่ใช่แนวเรา
เราไม่พูดคำหยาบเหมือนกัน
เวลาโมโหใช้คำพูดดี ๆ ที่ไม่หยาบก็ทำให้เจ็บได้นะ
เห็นเรื่อย ๆ สาวใสวัยเรียนคุยกับเพื่อน ๆ พูด กุ_ึง กันหน้าตาเฉย
บางคนพูดไปสบถไป ได้ยินยังรู้สึกว่าทำไม..
มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่พูดเลย
ละครวัยรุ่นช่อง GMM25 เขียนบทก็ใช้คำหยาบเป็นคำแทนตัวละคร
เข้าใจว่าบางครั้งอยากสะท้อนชีวิตจริง แต่ไม่ต้องมีทุกเรื่องก็ได้
และถ้าเป็นสื่อ ควรนำเสนอสิ่งที่ดีให้ผู้ชมจะดีกว่ามั้ย
สิ่งไม่ดี เลี่ยงไปไม่ต้องนำเสนอก็ได้ เพราะบางครั้งอาจเป็นการชี้นำ
ว่าพูดแบบนี้ได้ ทำแบบนี้ไม่ผิด
รายการทีวีต่าง ๆ ก็เหมือนกัน บางครั้งพิธีกรมักจะพูดคำหยาบ
มันไม่จำเป็นนะ
อย่าง The Mask Singer กรรมการบางคนพูด กุ_ึง บ่อยจนไม่น่าฟัง
จากแรก ๆ อาจสนุก ตอนนี้เยอะไป เลิกดู
ไม่รู้จะมาดูคนด่ากันทำไม ไม่สนุกละ
แต่ก็แล้วแต่คนนะ บางคนอาจชิน อาจชอบ
คนไหนไม่ชอบก็เลิกดู
อย่างละคร GMM25 เราเลิกดูไปเลย พูดไปสบถไป ไม่ใช่แนวเรา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เป็นความหลงผิดในการเเสดงกริยาครับ
จากเเต่ก่อน ด่ากัน เอาถาดตีหัวกันแบบตลกคาเฟ่
ตอนหลังลามไปถึงตลกคำหยาบๆในหนัง ตอนนี้ลามต่อมาในเฟส ในโลกออนไลน์
จึงเกิดการเลียนเเบบกันเเบบผิดๆ ต่อๆกันไป
หลงผิดคิดว่า ความจริงใจ ในการเเสดงออกทางความคิด ความเห็นสมัยนี้
จะต้องมาพร้อมกับคำว่า กรูๆ เมิงๆ เฮียๆ ห่าๆ + สารพัดสัตว์เลื้อยคลาน
เพราะคิดว่า นั่นเป็นความตรง ชัด จริงใจ
บางคนยังคิดเลยเถิดไปว่า นั่นคือจุดเด่นทำให้คนรุ่นใหม่ชอบ เพราะ ตรงดี เถื่อนดี ชัดเจนดี
ดารา นักเเสดง นักร้อง หรือเน็ตไอดอล บางคนรุ่นหลังๆเดี๋ยวนี้
จึงมักจะคิดเอาเองว่า (ถ่)อย เเล้วเท่ห์ .........
จากเเต่ก่อน ด่ากัน เอาถาดตีหัวกันแบบตลกคาเฟ่
ตอนหลังลามไปถึงตลกคำหยาบๆในหนัง ตอนนี้ลามต่อมาในเฟส ในโลกออนไลน์
จึงเกิดการเลียนเเบบกันเเบบผิดๆ ต่อๆกันไป
หลงผิดคิดว่า ความจริงใจ ในการเเสดงออกทางความคิด ความเห็นสมัยนี้
จะต้องมาพร้อมกับคำว่า กรูๆ เมิงๆ เฮียๆ ห่าๆ + สารพัดสัตว์เลื้อยคลาน
เพราะคิดว่า นั่นเป็นความตรง ชัด จริงใจ
บางคนยังคิดเลยเถิดไปว่า นั่นคือจุดเด่นทำให้คนรุ่นใหม่ชอบ เพราะ ตรงดี เถื่อนดี ชัดเจนดี
ดารา นักเเสดง นักร้อง หรือเน็ตไอดอล บางคนรุ่นหลังๆเดี๋ยวนี้
จึงมักจะคิดเอาเองว่า (ถ่)อย เเล้วเท่ห์ .........

ความคิดเห็นที่ 5
เป็นกระทู้ที่ดี และผมอยากให้มีกระทู้แบบนี้เยอะๆ
หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยไม่มีคำหยาบออกทางสื่อทุกชนิด แม้กระทั่งคำว่า กู-เมิง เพียงแต่ตอนนั้นมีเพียงสื่อไม่มาก เช่น หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ และโรงภาพยนต์
นั่นหมายความว่า น้องๆ ที่อายุประมาณ 20 ปี เกิดมาพร้อมกับคำหยาบ และคนที่อายุ 30 ปีเศษ (ผมถือว่ากว่าเด็กจะรู้ความ ได้รับข้อมูลจากสื่อ ก็น่าจะอายุ 9-10 ขวบขึ้นไป) จะเติบโตมากับคำหยาบ เห็นการพูดคำหยาบเป็นเรื่องปกติ
ปกติผมไม่ค่อยได้ดูหนังที่โรงภาพยนต์ จนกระทั่งวันหนึ่งไปดูหนังกับภรรยา (ตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่) ช็อคกับหนังโฆษณา ที่เป็นนักแสดงตลก (และโด่งดังในทุกวันนี้) ไม่ใช่แค่กูเมิง แต่พูดคำหยาบคาย คำด่าทอ ทั้ง Here ทั้ง Animal ออกมาแบบไม่ละอายใจเลย
ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่หนังวัยรุ่น หนังในโรงเรียน ก็พูดคำหยาบเช่นกัน วันนั้นผมถึงกับมึนเลย และก็เชื่อว่า ต่อไปประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม และก็เป็นจริงในทุกวันนี้
มีค่ายหนังที่ให้สัมภาษณ์ (หมายถึงในตอนนั้น เพราะมีคนตำหนิเยอะ) บอกว่า ต้องให้ทันโลก ให้เข้ากับโลกความเป็นจริง เด็กในโรงเรียนพูดคำหยาบกัน พูดกูเมิงกัน ก็ต้องให้สมจริง
ซึ่งนั่นมันเป็นสังคมของคนสร้างหนัง ไม่ใช่สังคมของผม
เอาเป็นว่า หากจะบอกว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำสิ่งที่ดี เราเคยมีรัฐบาลที่ส่งเสริมอะไรที่ผิดๆ ตอนนี้ถือว่าประชาชนมีความสำคัญ สื่อมีความสำคัญ สามารถกำหนดทิศทางของประเทศได้ ไม่ใช่ไปหวังพึ่งใครเหมือนในอดีต มาช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้กลับไปเป็นอย่างเดิมกันนะครับ
หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ประเทศไทยไม่มีคำหยาบออกทางสื่อทุกชนิด แม้กระทั่งคำว่า กู-เมิง เพียงแต่ตอนนั้นมีเพียงสื่อไม่มาก เช่น หนังสือพิมพ์ ทีวี วิทยุ และโรงภาพยนต์
นั่นหมายความว่า น้องๆ ที่อายุประมาณ 20 ปี เกิดมาพร้อมกับคำหยาบ และคนที่อายุ 30 ปีเศษ (ผมถือว่ากว่าเด็กจะรู้ความ ได้รับข้อมูลจากสื่อ ก็น่าจะอายุ 9-10 ขวบขึ้นไป) จะเติบโตมากับคำหยาบ เห็นการพูดคำหยาบเป็นเรื่องปกติ
ปกติผมไม่ค่อยได้ดูหนังที่โรงภาพยนต์ จนกระทั่งวันหนึ่งไปดูหนังกับภรรยา (ตอนนั้นยังเป็นแฟนกันอยู่) ช็อคกับหนังโฆษณา ที่เป็นนักแสดงตลก (และโด่งดังในทุกวันนี้) ไม่ใช่แค่กูเมิง แต่พูดคำหยาบคาย คำด่าทอ ทั้ง Here ทั้ง Animal ออกมาแบบไม่ละอายใจเลย
ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่หนังวัยรุ่น หนังในโรงเรียน ก็พูดคำหยาบเช่นกัน วันนั้นผมถึงกับมึนเลย และก็เชื่อว่า ต่อไปประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม และก็เป็นจริงในทุกวันนี้
มีค่ายหนังที่ให้สัมภาษณ์ (หมายถึงในตอนนั้น เพราะมีคนตำหนิเยอะ) บอกว่า ต้องให้ทันโลก ให้เข้ากับโลกความเป็นจริง เด็กในโรงเรียนพูดคำหยาบกัน พูดกูเมิงกัน ก็ต้องให้สมจริง
ซึ่งนั่นมันเป็นสังคมของคนสร้างหนัง ไม่ใช่สังคมของผม
เอาเป็นว่า หากจะบอกว่า ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะทำสิ่งที่ดี เราเคยมีรัฐบาลที่ส่งเสริมอะไรที่ผิดๆ ตอนนี้ถือว่าประชาชนมีความสำคัญ สื่อมีความสำคัญ สามารถกำหนดทิศทางของประเทศได้ ไม่ใช่ไปหวังพึ่งใครเหมือนในอดีต มาช่วยกันเปลี่ยนค่านิยมคนไทยให้กลับไปเป็นอย่างเดิมกันนะครับ
ความคิดเห็นที่ 47
ผมว่ามีปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ส่งผลให้คนไทยในปัจจุบันพูดหยาบกันมากขึ้นครับ
1. การล่มสลายของธุรกิจคาเฟ่ และการเปิดเสรีในการทำสื่อบันเทิงทางทีวี
เมื่อธุรกิจคาเฟ่เสื่อมโทรมลง ดาราตลกที่สร้างรายได้จนร่ำรวยจากการเล่นตลกคาเฟ่
จึงพยายามแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่ โดยการหันมาเล่นตลกทางรายการทีวี หรือจัดทำหนังแบบรวมดาราตลก
ทำให้การเล่นตลกแบบหยาบคาย ที่เดิมถูกจำกัดวงอยู่ในกลุ่มคนที่ไปเที่ยวกลางคืน ขยายออกมาในวงกว้างมากขึ้น
2. สภาพความตึงเครียดทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง (นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งเป็นต้นมา)
ทำให้คนเกิดความเครียด และพยายามหาทางปลดปล่อย
ซึ่งในทางจิตวิทยาแล้ว การได้ยินคำหยาบคายและได้พูดคำหยาบคาย ถือเป็น Easy entertainment
ที่ทำให้คนที่ไม่ได้ซีเรียสหรือภาคภูมิใจเรื่องกิริยามารยาทมากเกินไปนัก รู้สึกว่าตัวเองได้รับการปลดปล่อยจากกรอบกติกาสังคมที่เต็มไปด้วยกติกามารยาท
(หากสังเกตดูประวัติความเป็นมาดูแล้ว การใช้สรรพนามหยาบคาย สะท้อนให้เห็นว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ไม่ด้อยกว่าผู้ที่ตัวเองพูดด้วย
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "Ku" นั้น มีที่มาจากภาษาจีนซึ่งเป็นสรรพนามที่กษัตริย์หรืออ๋อง ใช้แทนตัวเอง ส่วนคำว่า "ฉัน" ที่มีความสุภาพกว่านั้น
เดิมทีมาจากคำว่า "เฉิน" ในภาษาจีนซึ่งเป็นสรรพนามที่ขุนนางใช้เรียกตัวเองต่อหน้าอ๋อง)
3. ผู้ประกอบการทางธุรกิจไทยในภาคสื่อบันเทิงกับแนวคิดการตลาดแบบ Me too
พอเห็นหนัง ละคร หรือรายการแนวหยาบคายขายได้ ก็เน้นทำตามๆกันไปเรื่อยๆ
พอมีการนำคนนิสัยแย่ๆแรงๆมาสัมภาษณ์ แล้วพบว่าเรทติ้งดี ก็เน้นทำกันต่อไป
จนของที่ ควร"อยู่ใต้ดิน" กลายเป็นของบนดินโดยสมบูรณ์
4. การรุ่งเรืองของกลุ่ม Liberal สุดโต่ง และความอ่อนหัดในการรับมือของกลุ่ม Conservative
เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองในยุคกีฬาสีเป็นต้นมา
ทำให้ฝ่ายหนึ่งเริ่มมองว่าฝ่ายจัดตั้ง และพวก Conservative เป็นผู้ร้าย และพยายาม discredit ในทุกทาง
มีการให้นักวิชาการที่มีแนวคิดตรงกัน เผยแพร่แนวคิดผ่านสื่อว่า มารยาท หรือค่านิยมเดิมๆ เป็นเครื่องมือที่ฝ่าย Conservative /รัฐบาลกลาง
ออกมาควบคุมประชาชน
ในขณะเดียวกัน ฝ่าย Conservative ก็รับมืออย่างอ่อนหัด โดยการทำตัวเกรี้ยวกราดและใช้ความหยายคายตอบโต้ฝ่าย Liberal จนทำให้ในหลายครั้งไม่ให้ความรู้สึกน่าเอาใจช่วยเลย
5. นับตั้งแต่ยุคกีฬาสีเป็นต้นมา การสร้างค่านิยมว่า "หยาบแล้วเท่ " โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่หยาบใส่ศัตรู
ดังที่จะเห็นได้จากม็อบของทั้งทุกฝ่าย ที่จะมีกิจกรรมให้คนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายวัย ขึ้นมาด่าฝ่ายตรงข้ามบนเวที
ใครยิ่งด่าแรง ยิ่งได้รับการปรบมือชื่นชม
6. คนดังในยุคบุกเบิก Social Network เน้นใช้คำหยาบคายเพื่อให้โดนใจผู้อ่าน (เช่น หมอตำรวจเพจติดดราม่า หรือคุณลูกไก่ตัวเมียริมทางด่วน )
เพจอื่นๆที่ตามมาในภายหลังก็พากันเอาอย่าง พวกที่ติดตามก็หันมาใช้คำพูดหยาบๆแม้กับคนที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อน
ึ7. การ Empower เพศที่สามในทางที่ผิด
กล่าวคือแทนที่จะเน้น Empower ในเชิงสิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย หรือความเท่าเทียมในการได้รับโอกาสในด้านต่างๆ
กลับไปเน้นให้ค่าไปกับ LGBT ที่มีพฤติกรรมแรงๆ เน้นประดิษฐ์คำพูดประหลาดๆ มาให้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงจำไปใช้
(เท่าที่ผมสังเกตดู ผู้หญิงรุ่นใหม่จำนวนมากหลายคนนี่ วิธีการพูดและการใช้คำศัพท์เป็นแบบเดียวกับ LGBT ที่นิสัยแรงๆไปแล้ว)
1. การล่มสลายของธุรกิจคาเฟ่ และการเปิดเสรีในการทำสื่อบันเทิงทางทีวี
เมื่อธุรกิจคาเฟ่เสื่อมโทรมลง ดาราตลกที่สร้างรายได้จนร่ำรวยจากการเล่นตลกคาเฟ่
จึงพยายามแสวงหาแหล่งรายได้ใหม่ โดยการหันมาเล่นตลกทางรายการทีวี หรือจัดทำหนังแบบรวมดาราตลก
ทำให้การเล่นตลกแบบหยาบคาย ที่เดิมถูกจำกัดวงอยู่ในกลุ่มคนที่ไปเที่ยวกลางคืน ขยายออกมาในวงกว้างมากขึ้น
2. สภาพความตึงเครียดทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมือง (นับตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งเป็นต้นมา)
ทำให้คนเกิดความเครียด และพยายามหาทางปลดปล่อย
ซึ่งในทางจิตวิทยาแล้ว การได้ยินคำหยาบคายและได้พูดคำหยาบคาย ถือเป็น Easy entertainment
ที่ทำให้คนที่ไม่ได้ซีเรียสหรือภาคภูมิใจเรื่องกิริยามารยาทมากเกินไปนัก รู้สึกว่าตัวเองได้รับการปลดปล่อยจากกรอบกติกาสังคมที่เต็มไปด้วยกติกามารยาท
(หากสังเกตดูประวัติความเป็นมาดูแล้ว การใช้สรรพนามหยาบคาย สะท้อนให้เห็นว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ไม่ด้อยกว่าผู้ที่ตัวเองพูดด้วย
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "Ku" นั้น มีที่มาจากภาษาจีนซึ่งเป็นสรรพนามที่กษัตริย์หรืออ๋อง ใช้แทนตัวเอง ส่วนคำว่า "ฉัน" ที่มีความสุภาพกว่านั้น
เดิมทีมาจากคำว่า "เฉิน" ในภาษาจีนซึ่งเป็นสรรพนามที่ขุนนางใช้เรียกตัวเองต่อหน้าอ๋อง)
3. ผู้ประกอบการทางธุรกิจไทยในภาคสื่อบันเทิงกับแนวคิดการตลาดแบบ Me too
พอเห็นหนัง ละคร หรือรายการแนวหยาบคายขายได้ ก็เน้นทำตามๆกันไปเรื่อยๆ
พอมีการนำคนนิสัยแย่ๆแรงๆมาสัมภาษณ์ แล้วพบว่าเรทติ้งดี ก็เน้นทำกันต่อไป
จนของที่ ควร"อยู่ใต้ดิน" กลายเป็นของบนดินโดยสมบูรณ์
4. การรุ่งเรืองของกลุ่ม Liberal สุดโต่ง และความอ่อนหัดในการรับมือของกลุ่ม Conservative
เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองในยุคกีฬาสีเป็นต้นมา
ทำให้ฝ่ายหนึ่งเริ่มมองว่าฝ่ายจัดตั้ง และพวก Conservative เป็นผู้ร้าย และพยายาม discredit ในทุกทาง
มีการให้นักวิชาการที่มีแนวคิดตรงกัน เผยแพร่แนวคิดผ่านสื่อว่า มารยาท หรือค่านิยมเดิมๆ เป็นเครื่องมือที่ฝ่าย Conservative /รัฐบาลกลาง
ออกมาควบคุมประชาชน
ในขณะเดียวกัน ฝ่าย Conservative ก็รับมืออย่างอ่อนหัด โดยการทำตัวเกรี้ยวกราดและใช้ความหยายคายตอบโต้ฝ่าย Liberal จนทำให้ในหลายครั้งไม่ให้ความรู้สึกน่าเอาใจช่วยเลย
5. นับตั้งแต่ยุคกีฬาสีเป็นต้นมา การสร้างค่านิยมว่า "หยาบแล้วเท่ " โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่หยาบใส่ศัตรู
ดังที่จะเห็นได้จากม็อบของทั้งทุกฝ่าย ที่จะมีกิจกรรมให้คนหลากหลายกลุ่ม หลากหลายวัย ขึ้นมาด่าฝ่ายตรงข้ามบนเวที
ใครยิ่งด่าแรง ยิ่งได้รับการปรบมือชื่นชม
6. คนดังในยุคบุกเบิก Social Network เน้นใช้คำหยาบคายเพื่อให้โดนใจผู้อ่าน (เช่น หมอตำรวจเพจติดดราม่า หรือคุณลูกไก่ตัวเมียริมทางด่วน )
เพจอื่นๆที่ตามมาในภายหลังก็พากันเอาอย่าง พวกที่ติดตามก็หันมาใช้คำพูดหยาบๆแม้กับคนที่ไม่ได้รู้จักอะไรกันมาก่อน
ึ7. การ Empower เพศที่สามในทางที่ผิด
กล่าวคือแทนที่จะเน้น Empower ในเชิงสิทธิประโยชน์ทางกฎหมาย หรือความเท่าเทียมในการได้รับโอกาสในด้านต่างๆ
กลับไปเน้นให้ค่าไปกับ LGBT ที่มีพฤติกรรมแรงๆ เน้นประดิษฐ์คำพูดประหลาดๆ มาให้คนในสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงจำไปใช้
(เท่าที่ผมสังเกตดู ผู้หญิงรุ่นใหม่จำนวนมากหลายคนนี่ วิธีการพูดและการใช้คำศัพท์เป็นแบบเดียวกับ LGBT ที่นิสัยแรงๆไปแล้ว)
แสดงความคิดเห็น
ทำไมบางคนพูดคำหยาบง่ายมากเลยครับ
บางคนด่าคนทั้งต่อหน้าและรับหลัง
บางคนอุทาน here ตลอดเวลา
ดาราพิธีกรบางคนก็ชอบพูดคำหยาบแบบนี้ออกอากาศ แต่อาศัยการเซ็นเซอร์
ถึงเซ็นเซอร์ไป คนดูเขาก็ดูออกเหมือนกัน ทำไมไม่มีหน่วยงานไหนมากรองตรงนี้ก่อนออกอากาศ
พอมีคนวิจารณ์ไป ก็กลายเป็นว่า ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดู กลายเป็นงั้นไป
ตอนนี้ผมก็ไม่ดูรายการที่ชอบพูดคำหยาบแบบนี้ไปหลายรายการแล้วครับ
โดยเฉพาะรายการที่มีกะเทยเป็นพิธีกร (แต่ไม่ได้เหมารวมว่ากะเทยทุกคนจะพูดหยาบนะครับ)
บางรายการก็ตลกดี แต่บางทีแทรกด้วยการด่า หรือพูดคำหยาบ
ก็รู้สึกไม่ตลกละ แต่แปลกที่หลายคนยังหัวเราะได้ กรณีนาย ก เป็นพิธีกร ด่านาย ข ที่ซึ่งเป็นพิธีกรเหมือนกัน
แต่อาศัยความสนิทสนม ด่าได้ไม่เป็นไร แต่ให้คนดูแยกแยะเอาเองอย่างนี้หรอ? มันใช่หรอครับ?
บางคนเข้าวัดประจำ สวดมนต์บ่อยๆ แต่ชอบพูดคำหยาบแบบนี้มันดูย้อนแย้งมาก
มีรายการไหนบ้างที่ตลกได้โดยไม่ต้องมีคำหยาบ?
ผมเองไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ แต่กว่าจะพูดคำหยาบคำหนึ่งออกมาเนี่ย ไม่ง่ายเลยครับ
แค่คำว่ามืง-กู ผมยังรู้สึกกระดากปากมาก ทั้งชีวิตเคยพูดออกมาเพียงไม่กี่ครั้งเอง(พูดกับเพื่อนสนิท)
พิมพ์บนโลกออนไลน์ก็ไม่บ่อยเช่นกัน
ยิ่งกว่าว่า here ผมไม่เคยด่าใครแบบนี้เลย ผมคิดว่านี่เป็นคนด่าแบบadvance สุดๆแล้วมั้ง
แต่บางคนนี้ใช้พร่ำเพรื่อมาก เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปเลย
บางคนนี้ผมไม่รู้ว่าพื้นฐานจิตใจเขาเป็นอย่างไร ชีวิตนี้ต้องด่าคนอื่นอยู่ตลอด
บางคนก็เรียนสูง แต่ใช้ถ้อยคำวาจาเกรี้ยวกราด หยาบคาย
ในคลิปต่างๆที่แชร์กันทางไลน์หรือบนเฟซฯ ผมไม่เคยดูจนจบเลย
ดูได้แปปเดียว ถ้าเห็นว่ามีคำหยาบแบบนี้ก็ไม่อยากดูแล้ว หยาบเกิน