NOBLE กลับสู่ปกติด้วยต้นทุนแพง (โดย อีหล่าน้อย เว็บ Share2Trade)

กระทู้ข่าว
http://www.share2trade.com/index.php?route=content/content&path=9&content_id=3283
    คงไม่ช้าเกินไปที่จะพูดถึงนายกิตติ ธนากิจอำนวย และ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE กับต้นทุนใหม่ในการหวนย้อนมาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกครั้งล่าสุด ด้วยวงเงินมากกว่า 2.5 พันล้านบาท หรือมากกว่านั้นอีกหลายเท่า
    ถือเป็นบทเรียนของการปล่อยปละละเลยจนสัดส่วนถือครองที่เคยเป็นหุ้นใหญ่มาตั้งแต่ก่อตั้ง แล้วหลุดมือไปด้วยเจตนาไม่ชัดเจนยาวนาน จนกระทั่งเกือบจะสูญเสียอำนาจการควบคุมบริษัทเพราะเกมของคู่แข่งที่ไม่ประสงค์ออกชื่อ ต้องดิ้นรนกระยิ้มกระสนหาทางยึดกลับคืนมา
    วันที่ 12 มิถุนายน 2561 บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานกรรมการ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ รักษาการกรรมการผู้จัดการของบริษัท ได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 120,088,798 หุ้น คิดเป็น 26.31% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทจากผู้ถือหุ้น Mr.Stephane Michale Rosales และ nCrowne Pte.Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยกรรมการและผู้บริหารของบริษัท(กลุ่มนายกิตติ) ได้ซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 104,200,200 หุ้น คิดเป็นจำนวนรวม22.83% จาก Mr.Stephane Michale Rosales Sedano
    ในการแจ้งดังกล่าว ระบุว่า ซื้อขายกันที่ราคาหุ้นละ 12.25 บาท แต่ไม่ได้มีการระบุเงื่อนไขกำกับอื่นๆตามมา
    ข้อมูลที่นายกิตติไม่ได้แจ้งคือ บริษัทของตนเองอย่าง nCrowne Pte. นั้น จดทะเบียนในสิงคโปร์เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมปีนี้ เท่ากับก่อตั้งมาเพื่อการทำดีลนี้โดยเฉพาะในฐานะนอมินีของกลุ่มนายกิตติเอง
    คำถามถัดไป คือ Mr.Stephane Michale Rosales เป็นใคร และมีบทบาทในฐานะอะไรก่อนมาทำกการขายหุ้นให้กลุ่มนายกิตติในลักษณะ"บิ๊กล็อต"
    คำตอบเบื้องต้นคือ Mr.Stephane Michale Rosales สัญชาติเม็กซิกัน แต่มีถิ่นที่อยู่ในฮ่องกง เป็นเจ้าของหุ้นที่รับช่วงโอนต่อมาจากกลุ่มนิติบุคคลเดิม Esteemed Network Group จดทะเบียนในบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ (BVI) ที่ยากจะสืบค้นเจ้าของที่แท้จริง โดยนาย Stephane แจ้งข้อมูลต่อ ก.ล.ต.เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2560 ว่ารับโอนมาจากบริษัทดังกล่าวจำนวน 2 รายการ
    จะบอกว่านาย Stephanne คือนอมินิของ Esteemed Network Group ก็คงไม่ผิด แต่ใครอยู่ในเงามืดเบื้องหลัง Esteemed คงรับรู้กันไม่กี่คนระหว่างกลุ่มนายกิตติ และ "ไอ้โม่ง" ดังกล่าว
    ผลลัพธ์ภายหลังการทำรายการดังกล่าว ทำให้โครงสร้างการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทเปลี่ยนแปลงไปดังนี้ นายกิตติจะเข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 34.27% จากเดิม 7.96% และ nCrowne จะเข้าถือหุ้น 22.83% ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ จะลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 42.91% จากเดิม 69.21% ขณะที่ Mr.Stephane Michale Rosales Sedano ขาดจากการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท
    ผลของการซื้อขายหุ้นดังกล่าว นายกิตติ และ nCrowne ซึ่งถือเป็นรายการที่เกี่ยวข้องกัน และกลับมาถือหุ้นสูงเกินกว่า 25% ครั้งใหม่ (รวมแล้วล่าสุด 57.10%) จึงมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) หลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการ ซึ่งรวมถึงหุ้นและหลักทรัพย์แปลงสภาพ (ถ้ามี)
    ข้ออ้างว่า "การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานและโครงสร้างการจัดการของบริษัทแต่อย่างใด"ไม่มีความหมายอะไร เป็นเพียงพิธีการปกติเท่านั้น
    พร้อมในเวลาเดียวกัน นายกิตติ และ nCrowne ได้แจ้งประกาศเจตนาในการเข้าซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการ NOBLE ราคาที่คาดว่าจะเสนอซื้อ 12.25 บาท/หุ้น ซึ่งจะสามารถยื่นคำเสนอซื้ออย่างเป็นทางการภายใน 21 มิ.ย.นี้ โดยจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอซื้อ 195,851,458 หุ้น คิดเป็น 42.91% ของจำนวนสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,399 ล้านบาท
    ไม่ว่าการทำเทนเดอร์จะบรรลุเป้าหมายแค่ไหน แต่เป้าหมายของกลุ่มนายกิตติ ในการยึดอำนาจการถือครองกิจการทั้งในหุ้นและอำนาจการบริหารจัดการพร้อมกันไป  
    5 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาของความยุ่งเหยิงวุ่นวายของ NOBLE นับตั้งแต่ผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่จากตระกูลณรงค์เดช (หรือกงสีกองทุนส่วนตัวหรือ ไพรเวทฟันด์ เรียกรวมๆว่ากลุ่ม KPN) นำโดยคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดช เข้ามาทยอยเก็บและถือหุ้นหลายคนร่วมกันประมาณ 5% เศษ จนต้องประกาศให้ทราบตามกติกา ก่อนที่หุ้นดังกล่าวจะถูกโอนย้ายอีกต่อหนึ่ง จากมือของคน ตระกูลณรงค์เดช และ KPN Land Co.,Ltd. ในช่วงเวลาเดือนมกราคม 2556 ในราคาเฉลี่ย 11.20 บาท บางส่วนไปยังบริษัทลึกลับ ในบริติช เวอร์จิน ไอส์แลนด์ ที่ชื่อ Esteemed Network Group ที่พรวดพราดเข้ามาเก็บหุ้นเพิ่มจนกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่ง โดยมีนอมินีทำการแทนคือ สาขาธนาคาร เอบีเอ็น แอมโร ในสิงคโปร์
    การที่ Esteemed Network Group ถือหุ้นเกือบถึง 25% มีความหมาย 2 นัยพร้อมกันคือ
    - ต้องการหลบเลี่ยงไม่ทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์
    - เพิ่มแรงกดดันให้กลุ่มผู้บริหารต้องดำเนินการอะไรบางอย่างคือ ยินยอมมอบอำนาจการบริหารจัดการให้ หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาทางเพิ่มสัดส่วนการลงทุนกลับใน NOBLE อีกครั้ง โดยซื้อหุ้นคืนจากตนเองในราคาที่"มีกำไรติดมือ"
    ผลลัพธ์แรกสุด คือ มีข่าวลือในตลาดกระหึ่มว่านายกิตติ และพวกกำลังจะทิ้ง NOBLE ด้วยการเร่ขายหุ้นที่ถือในมือไปยังผู้ที่สนใจ เพราะนายกิตติมุ่งความสนใจไปยังโครงการอสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวที่ชื่อโครงการ มายาคีรี แถบเขาใหญ่
    ข่าวลืออีกอย่างคือ ตระกูลณรงค์เดช คือไอ้โม่งอยู่เบื้องหลังปฏิบัติการที่เรียกว่า Greenmailing เพื่อหากำไร แต่ยามนั้นกลุ่มณรงค์เดชกลับให้ข้อมูลว่าเคยมีการพูดคุยกันจริง แต่ล้มเลิกการซื้อไปแล้ว เพราะว่านายกิตติ ไม่สามารถทำตามข้อเรียกร้องในเรื่องรวบรวมหุ้นมาขายให้ได้ 75% ของทุนจดทะเบียนรวบรวมนั้น
    แรกสุดกลุ่มนายกิตติดิ้นรนด้วยวิธีการเดิมๆของธุรกิจ "แบบไทยๆ" นั่นคือ การหาทางเพิ่มทุนเพื่อให้ NOBLE กลับมาเป็นของกลุ่มตนเหมือนเมื่อก่อตั้ง ด้วยปฏิบัติการ"แหกกติกา"ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2556 ในวันที่ 28 เมษยาน 2557 เพื่อเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้นของ NOBLE แล้วขายแบบเฉพาะเจาะจงให้กับกลุ่มนายกิตติ ในราคาหุ้นละ 12.00 บาท อันเป็นปฏิบัติการ"ลักหลับ"และ"ปิดประตูตีแมว"แบบดิบเถื่อนอันลือลั่น
    ปฏิบัติการ"ลักหลับ"เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2557 อันลือลั่นจนมีหลายบริษัทนำไปเลียนแบบใช้บ้างประปราย ประกอบด้วย 1) การเข้มงวดตรวจสอบผู้เข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้น โดยจงใจว่าจะให้ใช้สิทธิ์หรือไม่อย่างมีเจตนา 2) การเสนอเรื่องเพิ่มทุนเข้ามาในวาระจร โดยบุคคลที่ไม่ใช่ผู้บริหารหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ 3) ประธานรีบขานรับแล้วปิดประชุมโดยไม่ฟังเสียงสอบถามหรือซักค้านจากผู้ถือหุ้นทั่วไป
    เรื่องอื้อฉาวจากปฏิบัติการ"ลักหลับ"ของการประชุมดังกล่าวกลายเป็นคดีความในศาลต่อมา จนในที่สุด ก็มีคำสั่งศาลแพ่งกรุงเทพเมื่อปี 2557 ระบุว่า การเพิ่มทุนดังกล่าวเป็นโมฆะ ไม่สามารถกระทำได้ และให้ตลาดฯระงับรับหุ้นดังกล่าว
    แม้ต่อมาจะมีความพยายามเพิ่มทุนของ NOBLE ระลอกใหม่ในปี 2558 บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ระบุว่า คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 900 ล้านบาท โดยออกหุ้นแบบ RO ขายผู้ถือหุ้นเดิม 150 ล้านหุ้น และ ขายแบบเฉพาะเจาะจงอีก 150 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 3.00 บาท ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    จนกระทั่งมีความเคลื่อนไหวล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เมื่อนาย Stephanne Michale Rosales Sedano ได้เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดังของไทยรายหนึ่ง อย่างเงียบเชียบ
    สำหรับคนวงในแล้ว นี้คือการเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดบัญชีขายหุ้นนั่นเอง แสดงให้เห็นว่า ก่อนหน้าการเปิดบัญชีดังกล่าว "ไอ้โม่ง"เบื้องหลัง ได้ผ่านข้อตกลงขายหุ้นในกำมือทั้งหมดกับกลุ่มนายกิตติคืนเรียบร้อยแล้ว ..เพื่อให้เป็นการซื้อขาย"ในตลาด"ที่ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการขายหุ้นนั่นเอง
    เหลือเพียงเวลาที่กลุ่มนายกิตติจะเตรียมการเพื่อเตรียมความพร้อมจัดหาเงินและกระบวนการซื้อให้เรียบร้อย รวมทั้งการตั้งบริษัท nCrowne เป็นนอมินีในสิงคโปร์ด้วย
    ทั้งหมดของดีลที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้"ไอ้โม่ง"ถอนตัวจากดีลวุ่นวายในเกม Greenmailing ของ NOBLE สมบูรณ์แบบ ส่วนจะมีกำไรแค่ไหน ยากจะหยั่งรู้
    สิ่งที่รู้ชัดเจนคือ ต้นทุนของกลุ่มนายกิตติที่ได้กลับมาครอบครอง NOBLE ครั้งใหม่ คือราคาหุ้นที่ 12.25 บาท ไม่มากไม่น้อยกว่านั้น
    อย่าถามว่า นายกิตติคุ้มหรือไม่กับการทุ่มเงินเพื่อกลับมาครอบครอง NOBLE อีกครั้ง เพราะเวลาจะพิสูจน์ในอนาคตเองว่า เป็นทุกขลาภ หรือขุมทองแมคเคนน่า
////////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก
www.facebook.com/Share2Trade/
www.share2trade.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่