เราเคยรถล้มหน้าแหกจนไม่กล้าเจอหน้าใคร แต่เรากลับมาสู้ได้อีกครั้งค่ะ

สวัสดีนะคะชาวพันทิป วันนี้อยากจะเล่าประสบการณ์เรื่องราวของเราเองที่เคยผ่านมาค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนอื่นๆหรือเป็นข้อคิดเตือนใจให้กับหลายๆคนได้นะ
เรื่องนี้พึ่งเกิดขึ้นไม่นานค่ะ คือเราพึ่งจะเรียนจบได้ไม่นานนะคะ เรื่องที่เราจะเล่าก็เป็นเรื่องก่อนจะเรียนจบไม่นานเนี่ยค่ะ คือเราก็เป็นเด็กคนนึงที่ยอมรับเลยว่าไม่สนใจการเรียนเท่าไหร่ แต่งหน้า แต่งตัวเที่ยวเล่นไปวันๆ แล้วก็มีแฟนค่ะ คือถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆในกลุ่มเพื่อนๆแล้วก็แถวที่เราอยู่นะคะ เพราะเพื่อนในกลุ่มก็เป็นกันหมดอ่ะค่ะเหมือนกันทุกคน ก็มีแฟนแบบนี้กันหมด แฟนของเราก็เป็นรุ่นพี่เราประมาณปีกว่าค่ะ เขามีรถมอเตอร์ไซต์แล้วก็ชอบแต่งรถมาก แต่งท่อ ลงล้อ ทำทุกอย่างที่จะทำได้กับรถของเขาอ่ะ แล้วเราก็ชอบแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆไปกับเขา ไปกินเหล้าบ้าง ไปซ้อนรถเที่ยวมั่ง รับลมเย็นๆกับเขาเป็นประจำค่ะ พูดง่ายๆก็คือเราเป็นคู่รักแบบ แว๊นบอย สก๊อยเกิล นั่นแหละค่ะ ตามที่สังคมเขาเรียกกันอ่ะนะคะ คือเราก็ไม่รู้ตัวนะว่าทำตัวเป็นปัญหาสังคมหรือทำให้ใครเดือดร้อนรึเปล่า(ตอนนั้น) ยอมรับว่าคิดน้อยมากๆคิดแค่ว่าทำอะไรแล้วสนุกก็ทำแค่นั้นเอง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เวลาเราจะออกจากบ้านเราก็จะแต่งตัวประมาณนั้นค่ะ ไปกับเพื่อนเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตอนนั้นเราก็ชอบไปมาก ไปแทบทุกคืน เราเองก็รู้สึกว่ามันสนุก ตื่นเต้นดี ดูเท่ดี แล้วก็เข้ากับสังคมตอนนั้น คิดง่ายๆคือถ้าไม่ทำแบบที่เขาทำกันก็ไม่มีกลุ่มเพื่อนอ่ะค่ะ เราออกเที่ยวไปร้านเหล้ากันแทบจะทุกคืนยิ่งคืนวันศุกร์ยิ่งต้องออก หน้าที่เราเราก็จะแต่งหน้าแต่งตัวรอ ให้แฟนมารับแล้วก็ซ้อนไปเจอกันที่ร้านค่ะ ถ้าคืนไหนไม่ไปกินเหล้าก็ต้องออกไปร่อนอ่ะค่ะ ยังไงก็ต้องออกจากบ้านแทบทุกคืน

ขอเพิ่มเติมนิดนึงเกิดมีคนไม่เข้าใจว่าการไปเที่ยวร้านเหล้า พากันซ้อนท้ายมอไซต์ร่อนไปทั่วมันสนุกตรงไหน คือตอนนั้นเราก็คิดแค่ว่าได้ไปเที่ยวเล่นนะ กินเหล้า เจอเพื่อน ได้อยู่กับแฟนกับกลุ่มเพื่อนเพลินดีค่ะ ตอนนั้นไม่เคยคิดถึงความปลอดภัยอะไรเลย หมวกกันน็อคอุปกรณ์ป้องกันอะไรไม่เคยมีค่ะไปเพียวๆเลย ขาสั้น แต่งหน้า ทาปากสวยๆ ก็กระโดดขึ้นซ้อนได้ทันทีเพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไร รถล้มชนกับใครก็ไม่เคยค่ะมั่นใจว่าแฟนขับเก่ง ที่บ้านก็มีเตือนตลอดนะว่าให้ระวัง แต่เราคิดว่ามันคงไม่มีไรหรอกมั้ง ใครจะดวงซวยได้ขนาดนั้นก็ออกมาแบบนี้กันแทบทุกคืนไม่เคยมีเรื่องอะไร แล้วคืนนั้นเราก็ออกไปเที่ยวกันเหมือนทุกคืนนี่แหละค่ะ แต่อุบัติเหตุก็เกิดได้ทุกเมื่อจริงๆครั้งนี้มันเกิดขึ้นกับเราแล้ว คืนนั้นแฟนเราขับรถหลุดโค้งค่ะ ภาพในหัวความรู้สึกที่เราจำได้แม่นก็คือหน้าเรา เนื้อหนังเราไถครูดไปกับพื้นถนน แล้วก็น่าจะสลบไปเลยค่ะ ตื่นอีกทีก็ที่โรงพยาบาล แล้ว โชคดีที่อาการอื่นๆไม่ได้สาหัสมาก แต่ที่หนักหน่อยก็คือแผลที่เกิดกับชีวิตของลูกผู้หญิงอย่างเรา คือเราเป็นแผลที่หน้าที่เกิดจากการไถไปกับพื้นถนนเป็นหนักเอาการอยู่ค่ะตอนนั้นคิดว่าเราเสียโฉมแล้วแน่ๆ

ข้างล่างนี่เป็นรูปเราเองค่ะ ขอเซนเซอร์นะคะเผื่อบางคนกลัว


หลังจากวันนั้น ชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะมากเลยค่ะ คือเราก็เป็นผู้หญิงคนนึงก็ต้องเป็นห่วงหน้าตา ผิวของเราป็นพิเศษอยู่แล้ว แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆด้วย คือแค่เป็นรอยสิว รอยเล็บข่วน เราก็เครียดมากแล้วค่ะ แต่นี่หน้าทั้งหน้าเราไถไปกับพื้นถนน  แล้วคนรับผิดชอบเรื่องนี้ก็ไม่มีอยู่แล้วค่ะเราทำตัวเองล้วนๆเลย ยินยอมไปกับเขาเอาชีวิตไปแลกกับความสนุกแค่นั้นเองค่ะ ส่วนแฟนเราเขาไม่เป็นอะไรมากค่ะน่าจะเพราะเขาใส่หมวกกันน็อคด้วย

ชีวิตเราอย่างกะในละครหลังข่าวเลยพ่อแม่ไม่ปริปากว่าเราซักแอะ เขาเห็นเราเจ็บเขาก็มาคอยดูแล เป็นธุระ พาหาหมอ ป้อนข้าวป้อนน้ำอยู่ตลอด ตั้งแต่เกิดเรื่องเราก็ไม่ยอมออกไปไหนเลย ออกจากโรงพยาบาลได้เราก็กลับไปอยู่บ้านเฉยๆแต่ไม่ยอมไปโรงเรียน พ่อแม่ก็คอยอยู่ข้างๆเราตลอด แต่เราก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลย ตอนนั้นสิ่งที่เราอยากได้ไม่ใช่ความรัก ความเป็นห่วงจากพ่อแม่ค่ะ เราหมกมุ่น จิตตก ไม่กล้าเจอหน้าใคร คนที่เราอยากเจอคือแฟนเรา แต่เขาไม่มาหาเราเลย ไม่โทร ไม่มาดูเราเลย ตั้งแต่ที่รถแหกโค้งคืนนั้น เขาก็ไม่มาเลยค่ะ เราคิดเยอะมากคือแบบเครียดมาก ทุกคนคงมองว่ามันก็แค่ความรักของเด็กๆ  แต่เราก็รักเขานะคะ ก็รอว่าเมื่อไหร่เขาจะมาหา แต่เขาก็ไม่มาเลย หลังจากนี้เราไม่ขอลงรายละเอียดนะคะ สรุปเรื่องคือเขาทิ้งเราไปมีแฟนใหม่แล้วค่ะ

แต่ปัญหาที่แฟนเราทิ้งไว้ให้เราเนี่ยค่ะก็ทำให้เรายิ่งยิ่งเกลียดตัวเอง เกลียดอะไรที่ตัวเองเป็น เกลียดรอยแผลที่อยู่บนหน้า เพราะมันทำให้เราต้องนอนร้องไห้ตลอด น้ำตาไหลอยู่ตลอดเวลาเลยตอนนั้น เราไม่อยากให้หน้าเราเป็นแผลแบบนั้นอ่ะ กำลังใจจากพ่อแม่ก็ไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเลย เราอาย เราไม่กล้าให้ใครเห็นสภาพเราตอนนั้นเลยค่ะ เราก็หาอ่านคนอื่นๆที่เป็นแผลคล้ายๆเราด้วยเขาก็บอกว่ามันหายช้าหรืออาจจะไม่หาย ยิ่งทำให้เราเครียดหนักเข้าไปอีก

จากนั้นผ่านไปเกือบสองเดือนค่ะที่เรานอนจมปลักกับเรื่องนี้ เป็นช่วงเวลาที่เราพึ่งมารู้สึกก็ตอนนี้แหละค่ะ ว่าคนอะไร จะปล่อยชีวิตให้ไร้ค่าได้มากขนาดนั้น เรามีพ่อมีแม่ มีสมอง มีสองเท้า มีสองมือ เรายังมีทุกอย่างครบ เราทำอะไรได้อีกเยอะมากๆ เราปล่อยให้แผลจากความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว มาหยุดชีวิตเราได้ยังไง ตอนนี้เราเชื่อเลยนะคะ ว่าเวลาเยียวยาทุกอย่างได้จริงๆ มันอาจจะไม่ได้ทำให้แผลเราหายสนิท แต่แน่นอนว่ามันทำให้แผลเราค่อยๆทุเลาลง นอกจากแผลที่หน้าของเราจะค่อยๆจางลง แผลในใจเรา ที่มันเคยเป็นแผลสด ที่เราปล่อยให้ความรู้สึก ติดลบ มันกัดกร่อน แผลนั้นมันค่อยๆจางลงด้วยค่ะ เราได้อยู่กับครอบครัวมากขึ้น ได้อยู่กับตัวเอง ได้มองไปรอบๆตัว ให้น้ำตามันล้างตา ล้างแผลที่เรามี เราจะเป็นภาระให้พ่อกับแม่ เป็นภาระให้คนที่รัก ที่คอยดูแลเราไปทำไม มันถึงเวลาที่เราควรคิดถึงคนข้างๆเรา คนที่รักเราแล้วหรือเปล่า เพียงแค่เราตั้งสติ มองรอบๆตัวเราให้ดี มองคนข้างเราค่ะ เราจะเห็นพ่อแม่ เห็นพระในบ้าน เห็นคนที่รักเราชัดมากขึ้น เมื่อเรารู้จักรับความรักเข้ามา ก็จะทำให้เรารู้จักรักคนอื่นตอบ และหวงแหนตัวเองมากยิ่งขึ้นค่ะ แวบเดียวที่เราคิดได้ เราก็เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้งจริงๆ หลังจากนั้นเหมือนเราเป็นคนใหม่ และยอมรับในสิ่งที่เราต่างจากคนอื่นได้มากขึ้น มองรอยแผล ให้เป็นแค่แผลเล็กๆ มีคนเป็นยิ่งกว่าเราตั้งเยอะ
ช่างมันเถอะ ในเมื่อชีวิตมันเป็นแบบนี้ เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราเพียงแต่ต้องทำสิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นให้ดีที่สุด ไปเรื่อยๆ ชีวิตมีแค่นี้เอง

เราตัดสินใจกลับไปเรียนค่ะคืออีกนิดเราก็จะจบแล้วด้วย เราจะไปสู้ค่ะที่ผ่านมาก็ไม่เป็นไร เรายังเป็นคนใหม่ได้เสมอนี่เนอะ ขนาดคนที่ไม่มีขา เขายังรู้จักใส่ขาเทียม คนที่ไม่มีแขนเขายังพยายามใช้ส่วนอื่นที่เขามีให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้ เราเองก็ต้องลุกฮึบขึ้นมาอีกครั้งค่ะ แผลแค่นี้น้อยมาก แม่ก็บอกอยู่ตลอดว่าหน้าตาเราไม่ได้ขี้เหร่อะไร ทำไมไม่ลุกมาแต่งหน้าแต่งตัว เดี๋ยวก็สวยไปเอง

ฟังกี่ครั้งต่อกี่ครั้งไม่เคยคิดได้ คนเราก็แปลกดีนะคะ ถ้าตอนที่คิดไม่ได้ ทำยังไงมันก็คิดไม่ได้ค่ะ พอคิดได้เท่านั้นแหละ แทบจะอุทานว่า อิโง่เอ้ยยยย นอนเป็นผักโทรมๆมาได้ทำไมตั้งนาน แผลเป็นพวกนี้มันเป็นแค่สิ่งที่มาเตือนให้เรารักตัวเองมากขึ้น เราก็ลุกขึ้นมาแต่งหน้าแต่งตัวเลยค่ะ เริ่มเรียนรู้ที่จะปิดบังแผลเป็นเหล่านี้ และเลือกที่จะทำให้คุณค่าของตัวเองอย่างอื่นส่องสว่างออกมา

เรากลับไปตั้งใจเรียนจนจบค่ะ ใช้ชีวิตต่อไป สังคมพร้อมยอมรับเราเสมอค่ะ ยิ่งกับเรื่องเล็กๆของเรา เป็นเรื่องจริงที่ปัญหาของแต่ละคนเล็ก ใหญ่ไม่เท่ากัน อย่างแผลที่หน้าเรา มันอาจจะเล็กสำหรับใครหลายๆคน แต่มันเคยใหญ่มากๆ สำหรับเรา แต่วันนี้เราพร้อมยอมรับมันแล้วเท่านั้นเอง แค่ความมั่นใจมันอาจจะไม่ได้กลับคืนมาเต็มร้อยเหมือนแต่ก่อน

พอเรียนจบเราก็เริ่มหาสมัครงานทันทีเลยค่ะ แต่แน่นอนว่าสมัยนี้บุคลิกภาพ เป็นสิ่งจำเป็นในใบสมัคร ก็มีให้กรอกพวกรอยแผลเป็น เราตัดสินใจที่จะกรอกไปอย่างชัดเจนค่ะ ว่ามีแผลเป็นที่ใบหน้า เรามองไว้ประมาณนึงแล้วค่ะว่าโอกาสได้งานน้อยมากเพราะงานที่เราอยากทำยังไงก็ต้องอาศัยหน้าตา ผิวพรรณที่ดูดี แต่เหมือนโชคชะตาที่เคยทำร้ายเราจะเริ่มเข้าข้างเราบ้างค่ะ เราได้ถูกเรียกไปสัมภาษณ์งาน นี่เป็นการถูกเรียกสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิตเราเลยค่ะ หลังจากร่อนใบสมัครไปหลายต่อหลายที่ ใช้เวลาซักพักเหมือนกันนะกว่าจะมีซักที่ที่เรียกเรา

ตอนนั้นตื่นเต้นมากๆ ว่าจะแต่งตัวยังไง วางตัวยังไง แผลเราที่ไม่ได้เห็นชัดเหมือนแต่ก่อน แต่มันก็ยังมีรอยอยู่ เราก็พยายามหาวิธีที่จะทำให้มันดูเนี๊ยบมากที่สุด แล้วก็ฝึกเทคนิคการตอบคำถามด้วย หาเสื้อผ้า เตรียมว่าจะทำผม แต่งหน้ายังไงไปสัมภาษณ์งาน เราย้อมผมให้ดูสุภาพด้วยค่ะเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เราแต่งไปแบบนี้ค่ะ ตื่นเต้นสุดๆๆ อาจจะดูเนียนเพราะกล้องด้วยแล้วก็เทคนิคแต่งกลบเราทำตามในเน็ตค่ะ มันก็ยังเห็นจางๆนะคะ แต่ถือว่าโอเคมากแล้วค่ะ ต้องขอบคุณกูรูในเน็ตหลายๆคนด้วยค่า

วันไปสัมภาษณ์บนไว้หลายที่อยู่นะคะ พ่อแม่นี่คือลุ้นยิ่งกว่าตรวจหวยอีก คือเกร็งมาก แต่พยายามเป็นตัวของตัวเองมากที่สุดค่ะ ซึ่งคำถามในห้องสัมภาษณ์วันนั้น หลังจากให้แนะนำตัวแล้ว ก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เรากังวลที่สุดค่ะ คือเรากรอกในใบสมัครค่ะว่ามีแผลเป็นที่หน้าเพราะประสบอุบัติเหตุมา ก็เลยคุยกันเรื่องนี้ค่ะ เราสตั๊นไปนิดนึงเหมือนกันนะคะ ว่าแบบจะบอกว่าอะไรดีเรื่องที่รถแหกโค้ง แต่ไม่รู้ว่าอะไรดลใจเรา ให้เราพูดตรงๆ เล่าความจริงว่าเราไปซ้อนมอไซต์เที่ยวเล่นแล้วรถล้มแหกโค้ง ก็คุยกันถึงช่วงรักษาตัวไรงี้ด้วยค่ะ ตอนนั้นที่คุยกันบางช่วงก็เกือบร้องไห้แล้วแหละ แอบกลัวเหมือนกันกลัวเขารังเกียจ กลัวเขารับไม่ได้ ที่เราแบบเป็นเด็กสก๊อยอ่ะเนอะ แต่คือเจ้านายตัดสินใจรับเราเข้าทำงานทันทีค่ะ ด้วยประโยคที่เราจำได้ขึ้นใจว่า
“คนที่ชีวิตมีอุปสรรคและก้าวผ่านมันมาได้ เป็นคนในแบบที่ผมต้องการครับ มันแสดงว่าคุณไม่ยอมแพ้ต่อปัญหาอะไรก็ตามที่คุณเจอ”

หลังจากวันนั้นก็มี HR โทรมาคอนเฟิร์มวันเวลาเริ่มงานอีกทีค่ะ เป็นการยืนยันว่าเราได้รับโอกาสนี้แล้วจริงๆ
การที่เรามีโอกาสได้เข้าทำงาน ก็เป็นเรื่องที่เรารู้สึกว่านี่เป็นการเดินก้าวขึ้นบันไดขั้นเล็กๆของเรา อีกขั้นหนึ่งค่ะ จากคนที่เคยคิดว่าชีวิตนี้ไม่เหลืออะไร แต่เรายังเหลือ ยังเหลืออีกเยอะมากๆด้วย เรายังหายใจ ยังมีร่างกายที่ครบถ้วน มีครอบครัว มีโอกาสรออยู่อีกมากมาย การได้งานทำในครั้งนี้ ทำให้เราเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นค่ะ ว่าชีวิตคนเรา ไม่ได้ดำรงอยู่ได้ด้วยรูปร่างหน้าตาเพียงอย่างเดียว ยังมีองค์ประกอบอีกมากมาย ที่เราจะต้องเรียนรู้ อดทน รู้จักใช้ชีวิตให้เป็น ขาดตรงไหนก็เติมเต็มตรงนั้น เกินตรงไหนก็ลองค่อยๆปรับตัว กันดูค่ะ เราเปลี่ยนร่างกายให้กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้  แต่เราเปลี่ยนความคิดตัวเอง ปรับตัวอยู่กับมัน และทำชีวิตต่อไปให้ดีที่สุดได้ค่ะ

ทุกวันนี้ถึงแม้ว่ารอยแผลมันจะยังอยู่ มันก็อยู่เพียงเพื่อเป็นเครื่องหมายเตือนใจเราไม่ให้พลาดแบบเดิมอีก อยู่เพื่อยืนยันให้เรารู้ว่า เราแข็งแกร่งมากแค่ไหน เราผ่านช่วงเวลาอันโหดร้าย เราสู้กับมันมาได้นะ จากนี้ต่อให้เจอปัญหาอะไรเข้ามาอีก เราก็จะต้องผ่านมันไปได้!

กำลังใจที่เราได้รับจากครอบครัว มันยิ่งใหญ่กว่ารอยแผลเล็กๆนั้นมาก วันนี้เราอยู่กับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็น ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข แค่เรามีประสบการณ์ชีวิตในแบบที่ต่างจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง

ขอเป็นกำลังใจให้กับใครก็ตามที่อาจจะมีปัญหาคล้ายๆกับเรานะคะ เราผ่านมันมาได้ และเชื่อว่าทุกคนก็จะผ่านมันไปได้เช่นกันค่ะ

“กำลังใจมีค่าเสมอ อย่าลืมหันกลับไปมองมันนะคะ ว่ากำลังใจ กำลังอยู่รอบตัวเราหรือเปล่า ถ้าเจอแล้วอย่าลืมเก็บเกี่ยวมันกลับมา เป็นพลังใจให้เราสู้ต่อไปนะคะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่