สวัสดีค่ะ
ช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจในชีวิต ซึ่งก็คิด ๆ ๆ มาหลายนานอยู่ ยังคิดไม่ตกค่ะ
เลยอยากจะรบกวนขอไอเดียเพื่อน ๆ สมาชิก ที่อาจจะมีหลากหลายไอเดีย หลายคำแนะนำ หลายข้อคิดเห็นค่ะ
ยาวหน่อยนะคะ
เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำอยู่บริษัทที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ ระยะหลังนี้แฟนของเจ้าของเริ่มเข้ามามีบทบาทในบริษัทมากขึ้น
รวมถึงญาติพี่น้องด้วย เริ่มมีพี่ มีน้อง เข้ามานั่งเป็นผู้บริหาร จนกระทั่งคุณแม่เข้ามาเพิ่มทุนให้บริษัท แล้วก็เ จข้ามาจัดการในหลาย ๆ อย่าง
นกลายเป็นความวุ่นวายย่อม ๆ
ตัวเราก็เริ่มเครียดมากขึ้น จากที่งานเยอะงานหนัก กลับบ้านดึกอยู่แล้ บวกกับความไม่เป็นระบบของการทำงาน
สามีเราจึงขอให้ออกจากงาน ประกอบกับสามีอยากมีลูกด้วย จึงให้เราออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ซึ่งล่าสุดรายได้ต่อเดือนเราประมาณ 6 หมื่นบาท
มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมๆ แล้วอยู่ที่ 3-4 หมื่น ไม่เกินนี้ ไม่ต่ำกว่านี้
ออกจากงานมาประมาณ 4 เดือนแล้วค่ะ สามีให้เงินใช้ก้อนนึง ให้บัตรเครดิตไว้ใบนึง ขาดเหลืออะไรขอเพิ่มได้ตลอด
แต่ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจอยู่แล้ว จากที่เคยใช้เงินตัวเองช้อปปิ้ง กินข้าวกินขนม อะไรก็ได้เท่าไรก็ได้ (บนพื้นฐานของความคุ้มค่าและประหยัดอยู่แล้ว) เราก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อนควักเงินมากขึ้น วันไหนออกจากบ้านไปพร้อมสามี เค้าก็เป็นคนจ่ายทุกอย่าง ก็เกรงใจและสงสารเค้านั่นแหละค่ะ
ที่ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว
ช่วงที่เราออกจากงานมาใหม่ ๆ เราเพิ่งรู้ตัว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ก็หลุดไป เพราะตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์ ช่วงก่อนจะหลุด
เราก็ตั้งใจว่า จะเป็นแม่บ้านเต็มตัวนั่นแหละ เพราะลูกเกิดมาก็ต้องเลี้ยงเอง แต่พอหลุดไป เราก็เริ่มอยากกลับไปทำงานอีก
แต่สามีเราก็ยังอยากลองมีลูกอีกครั้ง เราสองคนอายุขึ้นเลข 4 แล้ว ตอนที่ลูกหลุดไป หมอบอกว่า อาจจะเป็นช่วงเริ่มตั้งครรภ์ตอนที่เครียดมากพอดี
หรืออาจจะเป็นเพราะวัยด้วย แต่เราก็คิดกันว่า ก็ลองดูอีกสักทีก็ได้ ถ้าติดก็ติด ถ้าไม่ติด ก็มีสองทางเลือกคือ 1 ล้มโครงการ 2 ใช้การแพทย์เข้าช่วย
ความกังวลของเราคือ ถ้ามีลูก หรือ จะปรึกษาแพทย์เพื่อทำลูก มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกมาก ๆ และช่วงนี้ สามีเราเพิ่งจะซื้อคอนโดไปสองที่
รวมมูลค่าแล้วก็ตก 7 ล้าน ยังไม่รวมถึงค่าตกแต่ง ค่าใช้จ่ายรายเดือนอื่น ๆ อีก เราคุยกับสามีถึงเรื่องนี้ เค้ายืนยันว่าเค้ายังไหว
ยังยืนยันว่าอยากให้เราเป็นแม่บ้านเต็มตัวอยู่ ตอนที่คุยกัน เราก็มีแนวโน้มที่เห็นด้วย เพราะ เราควรจะไม่เครียด การตั้งครรภ์จะได้ง่ายขึ้น
แข็งแรงขึ้น เรามีเวลาดูแลบ้าน ดูแลสามีได้มากขึ้น สามี มีข้าวทานครบทุกมื้อ เช้าก่อนไปทำงาน กลางวันพกข้าวกล่องไปด้วย เย็นกลับมาก็ได้ทาน
จากแต่ก่อนที่ต่างคนต่างหากินกันเอง ยกเว้นวัน ส. อา. และสามารถ ทำธุระแทนสามีในวันธรรมดาที่เค้าต้องไปทำงานได้ นี่คือข้อดี
แต่พอทุกครั้งที่มีรายจ่ายไม่ปกติเข้ามา เช่น ค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้าน เราก็นึกอยากกลับไปมีรายได้อีก เพื่อช่วยสามีแบ่งเบาภาระ และจะได้เพิ่มเงินเก็บด้วย
อ้อ รถของเราทั้งสอง ก็มีอายุที่เกือบ ๆ ที่อาจจะต้องขายแล้ว และซื้อใหม่ นี่ก็เป็นอีกภาระหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
ตอนนี้เรามีคนเสนองานเข้ามา (รายได้ค่อนข้างโอเคแต่งานก็หนักพอตัว) เรากำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะตอบรับการไปทำงานนี้ดีหรือไม่ ยังสองจิตสองใจอยู่ ถามสามี เค้าก็ว่า ใจเค้า อยากให้เป็นแม่บ้าน แต่ถ้าเราอยากทำงาน ก็ทำ แ่ต่ให้ทำแก้เหงา อย่าไปซีเรียสมาก หางานเบา ๆ ทำ (ถ้าแบบนี้รายได้ก็อาจจะไม่เยอะ) ซึ่งเราตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ใจนึงอยากมีลูกให้สามี ถามว่าส่วนตัวเราอยากมีมั้ย ก็ไม่ได้อยากมีมากค่ะ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เหตุผลที่อยากมีคือ ในอนาคตหากคนใดคนนึงเสียชีวิตไปก่อน อีกคนจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อน ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากมีคือ สังคมสมัยนี้มันไม่ค่อยน่าอยู่ ไม่อยากมีห่วง แต่ถ้าเราไปทำงาน เชื่อแน่ ๆ ว่า การมีลูกจะยากขึ้น ไหนจะตอนท้อง ไหนจะตอนเลี้ยง เพราะฟิลด์ของงาน ตำแหน่ง และ สไตล์การทำงานของเรามันจะค่อนข้างลุย ๆ ความรับผิดชอบเยอะ
ซึ่งทางเลือกสองทางนี้ ระหว่าง เป็นแม่บ้าน เตรียมมีลูก เติมเต็มครอบครัว เป็นแบคอัพให้สามี มีแรงทำงาน
หรือ ออกไปทำงาน หารายได้แบ่งเบาภาระของครอบครัว
ทางเลือกทั้งสองนี้ โครงการมีลูกก็ยังมีอยู่ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็พยายามมี แล้วแต่ว่าสภาพร่างกายจะเอื้ออำนวยมั้ย
แต่ได้ไปทำงาน ก็ลุ้นเอาว่าจะติดมั้ย ติดแล้ว จะหลุดมั้ย
รบกวนขอความคิดเห็นของแต่ละท่านด้วยนะคะ ไม่ต้องคิดแทนเราก็ได้ค่ะ ลองคิดว่า ถ้าเป็นคุณจะเลือกทางไหน เพราะอะไร
ขอบคุณมากนะคะ
คิดไม่ตก ขอไอเดียเรื่องปัญหาส่วนตัวค่ะ
ช่วงนี้มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจในชีวิต ซึ่งก็คิด ๆ ๆ มาหลายนานอยู่ ยังคิดไม่ตกค่ะ
เลยอยากจะรบกวนขอไอเดียเพื่อน ๆ สมาชิก ที่อาจจะมีหลากหลายไอเดีย หลายคำแนะนำ หลายข้อคิดเห็นค่ะ
ยาวหน่อยนะคะ
เราเป็นมนุษย์เงินเดือน ทำอยู่บริษัทที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ ระยะหลังนี้แฟนของเจ้าของเริ่มเข้ามามีบทบาทในบริษัทมากขึ้น
รวมถึงญาติพี่น้องด้วย เริ่มมีพี่ มีน้อง เข้ามานั่งเป็นผู้บริหาร จนกระทั่งคุณแม่เข้ามาเพิ่มทุนให้บริษัท แล้วก็เ จข้ามาจัดการในหลาย ๆ อย่าง
นกลายเป็นความวุ่นวายย่อม ๆ
ตัวเราก็เริ่มเครียดมากขึ้น จากที่งานเยอะงานหนัก กลับบ้านดึกอยู่แล้ บวกกับความไม่เป็นระบบของการทำงาน
สามีเราจึงขอให้ออกจากงาน ประกอบกับสามีอยากมีลูกด้วย จึงให้เราออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัว ซึ่งล่าสุดรายได้ต่อเดือนเราประมาณ 6 หมื่นบาท
มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมๆ แล้วอยู่ที่ 3-4 หมื่น ไม่เกินนี้ ไม่ต่ำกว่านี้
ออกจากงานมาประมาณ 4 เดือนแล้วค่ะ สามีให้เงินใช้ก้อนนึง ให้บัตรเครดิตไว้ใบนึง ขาดเหลืออะไรขอเพิ่มได้ตลอด
แต่ด้วยความที่เราเป็นคนขี้เกรงใจอยู่แล้ว จากที่เคยใช้เงินตัวเองช้อปปิ้ง กินข้าวกินขนม อะไรก็ได้เท่าไรก็ได้ (บนพื้นฐานของความคุ้มค่าและประหยัดอยู่แล้ว) เราก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อนควักเงินมากขึ้น วันไหนออกจากบ้านไปพร้อมสามี เค้าก็เป็นคนจ่ายทุกอย่าง ก็เกรงใจและสงสารเค้านั่นแหละค่ะ
ที่ต้องทำงานหนักอยู่คนเดียว
ช่วงที่เราออกจากงานมาใหม่ ๆ เราเพิ่งรู้ตัว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือน แต่ก็หลุดไป เพราะตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์ ช่วงก่อนจะหลุด
เราก็ตั้งใจว่า จะเป็นแม่บ้านเต็มตัวนั่นแหละ เพราะลูกเกิดมาก็ต้องเลี้ยงเอง แต่พอหลุดไป เราก็เริ่มอยากกลับไปทำงานอีก
แต่สามีเราก็ยังอยากลองมีลูกอีกครั้ง เราสองคนอายุขึ้นเลข 4 แล้ว ตอนที่ลูกหลุดไป หมอบอกว่า อาจจะเป็นช่วงเริ่มตั้งครรภ์ตอนที่เครียดมากพอดี
หรืออาจจะเป็นเพราะวัยด้วย แต่เราก็คิดกันว่า ก็ลองดูอีกสักทีก็ได้ ถ้าติดก็ติด ถ้าไม่ติด ก็มีสองทางเลือกคือ 1 ล้มโครงการ 2 ใช้การแพทย์เข้าช่วย
ความกังวลของเราคือ ถ้ามีลูก หรือ จะปรึกษาแพทย์เพื่อทำลูก มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกมาก ๆ และช่วงนี้ สามีเราเพิ่งจะซื้อคอนโดไปสองที่
รวมมูลค่าแล้วก็ตก 7 ล้าน ยังไม่รวมถึงค่าตกแต่ง ค่าใช้จ่ายรายเดือนอื่น ๆ อีก เราคุยกับสามีถึงเรื่องนี้ เค้ายืนยันว่าเค้ายังไหว
ยังยืนยันว่าอยากให้เราเป็นแม่บ้านเต็มตัวอยู่ ตอนที่คุยกัน เราก็มีแนวโน้มที่เห็นด้วย เพราะ เราควรจะไม่เครียด การตั้งครรภ์จะได้ง่ายขึ้น
แข็งแรงขึ้น เรามีเวลาดูแลบ้าน ดูแลสามีได้มากขึ้น สามี มีข้าวทานครบทุกมื้อ เช้าก่อนไปทำงาน กลางวันพกข้าวกล่องไปด้วย เย็นกลับมาก็ได้ทาน
จากแต่ก่อนที่ต่างคนต่างหากินกันเอง ยกเว้นวัน ส. อา. และสามารถ ทำธุระแทนสามีในวันธรรมดาที่เค้าต้องไปทำงานได้ นี่คือข้อดี
แต่พอทุกครั้งที่มีรายจ่ายไม่ปกติเข้ามา เช่น ค่าซ่อมรถ ซ่อมบ้าน เราก็นึกอยากกลับไปมีรายได้อีก เพื่อช่วยสามีแบ่งเบาภาระ และจะได้เพิ่มเงินเก็บด้วย
อ้อ รถของเราทั้งสอง ก็มีอายุที่เกือบ ๆ ที่อาจจะต้องขายแล้ว และซื้อใหม่ นี่ก็เป็นอีกภาระหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
ตอนนี้เรามีคนเสนองานเข้ามา (รายได้ค่อนข้างโอเคแต่งานก็หนักพอตัว) เรากำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะตอบรับการไปทำงานนี้ดีหรือไม่ ยังสองจิตสองใจอยู่ ถามสามี เค้าก็ว่า ใจเค้า อยากให้เป็นแม่บ้าน แต่ถ้าเราอยากทำงาน ก็ทำ แ่ต่ให้ทำแก้เหงา อย่าไปซีเรียสมาก หางานเบา ๆ ทำ (ถ้าแบบนี้รายได้ก็อาจจะไม่เยอะ) ซึ่งเราตัดสินใจไม่ได้จริง ๆ ใจนึงอยากมีลูกให้สามี ถามว่าส่วนตัวเราอยากมีมั้ย ก็ไม่ได้อยากมีมากค่ะ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เหตุผลที่อยากมีคือ ในอนาคตหากคนใดคนนึงเสียชีวิตไปก่อน อีกคนจะได้มีคนอยู่เป็นเพื่อน ส่วนเหตุผลที่ไม่อยากมีคือ สังคมสมัยนี้มันไม่ค่อยน่าอยู่ ไม่อยากมีห่วง แต่ถ้าเราไปทำงาน เชื่อแน่ ๆ ว่า การมีลูกจะยากขึ้น ไหนจะตอนท้อง ไหนจะตอนเลี้ยง เพราะฟิลด์ของงาน ตำแหน่ง และ สไตล์การทำงานของเรามันจะค่อนข้างลุย ๆ ความรับผิดชอบเยอะ
ซึ่งทางเลือกสองทางนี้ ระหว่าง เป็นแม่บ้าน เตรียมมีลูก เติมเต็มครอบครัว เป็นแบคอัพให้สามี มีแรงทำงาน
หรือ ออกไปทำงาน หารายได้แบ่งเบาภาระของครอบครัว
ทางเลือกทั้งสองนี้ โครงการมีลูกก็ยังมีอยู่ ถ้าเป็นแม่บ้าน ก็พยายามมี แล้วแต่ว่าสภาพร่างกายจะเอื้ออำนวยมั้ย
แต่ได้ไปทำงาน ก็ลุ้นเอาว่าจะติดมั้ย ติดแล้ว จะหลุดมั้ย
รบกวนขอความคิดเห็นของแต่ละท่านด้วยนะคะ ไม่ต้องคิดแทนเราก็ได้ค่ะ ลองคิดว่า ถ้าเป็นคุณจะเลือกทางไหน เพราะอะไร
ขอบคุณมากนะคะ