หลายคนอาจจะเข้าใจว่า “กินยาคุมฉุกเฉินแล้วจะไม่ท้อง” หรือ “ยาคุมฉุกเฉินสามารถทำให้แท้งบุตรได้” แม่บ้านชานเรือนบอกได้เลยว่า…ไม่จริ๊ง ไม่จริง ประสิทธิภาพของยาขึ้นอยู่กับผู้ทานอีกด้วย ยานี้ไม่ใช่ยาสำหรับป้องกันการตั้งครรภ์ประจำ หากใช้ซ้ำหลายครั้ง ถี่ๆ อาจเกิดอันตรายได้ อีกทั้งยานี้ไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กินยาคุมฉุกเฉินแล้วมีเลือดออกก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ท้อง เพราะเลือดที่ออกมาอาจไม่ใช่ประจำเดือนก็ได้นะคะ
ยาคุมฉุกเฉิน เป็นยาคุมกำเนิดที่สามารถใช้ป้องกันหลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ไม่ได้คุมกำเนิด หรือเกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัยรั่ว แตก ฉีก ขาด, ลืมทานยาคุมกำเนิดเกิน 3 วัน, ห่วงอนามัยหลุด, นับระยะปลอดภัยผิด, หลั่งนอก จนไปถึงการข่มขืนกระทำชำเรา
ยาคุมฉุกเฉินกินยังไงดี?
ยาคุมฉุกเฉิน แบบ 1 แผง มี 2 เม็ด ปริมาณ 0.75 มิลลิกรัม
- รับประทาน 1 เม็ด ทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วรับประทานอีก 1 เม็ด ใน 12 ชั่วโมงถัดมา ภายใน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน
หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
ยาคุมฉุกเฉินแบบแผงมี 1 เม็ด ปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม
- รับประทานทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 12 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ถึง 95%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 12 - 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 85%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 24 - 48 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 48 - 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 60%
และหากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินยาแต่ละเม็ด ต้องกินยาใหม่ และไม่แนะนำให้กินยาเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่องต่อเดือน
ตัวยาจะส่งผลยับยั้งหรือชะลอการตกไข่ รวมไปถึงสร้างเมือกที่บริเวณปากมดลูกเพื่อป้องกันไม่ให้สเปิร์มเข้าไปผสมกับไข่ได้
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยาก เอาเป็นว่า...ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนช่วย “ลดโอกาส”
ในการตั้งครรภ์ลงจากเดิมเท่านั้น!!
อาการข้างเคียงของการทานยาคุมฉุกเฉิน
1. อาจทำให้ปวดท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือน มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดในช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังกินยาได้
2. บางรายประจำเดือนมากระปริดกระปรอย มาช้าหรือเร็วกว่าปกติ
3. หน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลียอ่อนล้า ปวดศีรษะ เจ็บคัดเต้านม เวียนศีรษะ อาการจะค่อยๆหายไปภายใน 2-3 วันหลังกินยา
**หากมีอาการป่วยที่รุนแรงขึ้น หรือประจำเดือนมาช้ากว่ากำหนดเกินกว่า 7 วัน ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาและตรวจการตั้งครรภ์นะคะ**
ข้อควรรู้
1. ก่อนการใช้ยาคุมฉุกเฉิน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ (อย่าอายที่จะถามนะคะ ยังไงเภสัชกรก็รอตอบคำถามคุณแน่นอน)
2. ในกรณีที่กินยาครบ 2 เม็ดแล้ว หลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กันอีก แบบนั้นจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้สูงมาก
3. การ
“ใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำหลังมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง อาจจะเกิดการตั้งครรภ์ได้สูงและอาการแทรกซ้อนได้มากขึ้น“
4. หากมีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนขาดหรือประจำเดือนไม่มา ให้รีบไปพบแพทย์
5. ถ้าคิดว่ามีเพศสัมพันธ์บ่อยโดยไม่ได้คุมกำเนิด แต่จะทานยาคุม ให้ทานยาคุมกำเนิดแบบปกติที่มีทั้ง 21 เม็ดและ 28 เม็ด จะดีกว่าค่ะ
6. การใช้ยานี้ติดต่อกันนาน ๆ นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ด้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติแล้ว ยังอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ถึง 2% ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้เกิน 2 กล่องต่อเดือนค่ะ
7. สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจ โรคลมชัก โลหิตแข็งตัว ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ
8. ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาว และเมื่อกินบ่อย กินติดต่อกันนานๆ ยังส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น รวมถึงปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมฉุกเฉินที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติถึง 2 เท่า ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ได้ เช่น เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้อีกด้วยค่ะ
9. ควรเก็บยาคุมฉุกเฉินเอาไว้ในอุณหภูมิห้องปกติหรือมีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส
ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่ได้ผล 100% หากมีอาการผิดปกติของประจำเดือน คิดว่าตั้งครรภ์ควรพบแพทย์นะคะ
ยาคุมฉุกเฉิน...เรื่องจริงที่ผู้หญิงต้องรู้
ยาคุมฉุกเฉิน แบบ 1 แผง มี 2 เม็ด ปริมาณ 0.75 มิลลิกรัม
- รับประทาน 1 เม็ด ทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วรับประทานอีก 1 เม็ด ใน 12 ชั่วโมงถัดมา ภายใน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน
หลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
ยาคุมฉุกเฉินแบบแผงมี 1 เม็ด ปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม
- รับประทานทันที หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ภายใน 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันหลังการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 12 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ถึง 95%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 12 - 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 85%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 24 - 48 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 75%
หากรับประทานเม็ดแรกภายใน 48 - 72 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 60%
และหากมีการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมงหลังกินยาแต่ละเม็ด ต้องกินยาใหม่ และไม่แนะนำให้กินยาเกิน 4 เม็ด หรือ 2 กล่องต่อเดือน
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อให้การฝังตัวของไข่ทำได้ยาก เอาเป็นว่า...ยาคุมฉุกเฉินมีส่วนช่วย “ลดโอกาส”
ในการตั้งครรภ์ลงจากเดิมเท่านั้น!!
1. อาจทำให้ปวดท้องน้อยคล้ายปวดประจำเดือน มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดในช่วงเวลา 1 สัปดาห์หลังกินยาได้
2. บางรายประจำเดือนมากระปริดกระปรอย มาช้าหรือเร็วกว่าปกติ
3. หน้ามืด คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลียอ่อนล้า ปวดศีรษะ เจ็บคัดเต้านม เวียนศีรษะ อาการจะค่อยๆหายไปภายใน 2-3 วันหลังกินยา
1. ก่อนการใช้ยาคุมฉุกเฉิน คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ (อย่าอายที่จะถามนะคะ ยังไงเภสัชกรก็รอตอบคำถามคุณแน่นอน)
2. ในกรณีที่กินยาครบ 2 เม็ดแล้ว หลังจากนั้นก็มีเพศสัมพันธ์กันอีก แบบนั้นจะเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้สูงมาก
3. การ “ใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำหลังมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง อาจจะเกิดการตั้งครรภ์ได้สูงและอาการแทรกซ้อนได้มากขึ้น“
4. หากมีอาการผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อประจำเดือนขาดหรือประจำเดือนไม่มา ให้รีบไปพบแพทย์
5. ถ้าคิดว่ามีเพศสัมพันธ์บ่อยโดยไม่ได้คุมกำเนิด แต่จะทานยาคุม ให้ทานยาคุมกำเนิดแบบปกติที่มีทั้ง 21 เม็ดและ 28 เม็ด จะดีกว่าค่ะ
6. การใช้ยานี้ติดต่อกันนาน ๆ นอกจากจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ด้อยกว่ายาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติแล้ว ยังอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ถึง 2% ดังนั้นจึงไม่ควรใช้ยานี้เกิน 2 กล่องต่อเดือนค่ะ
7. สำหรับผู้ที่เคยเป็นโรคหัวใจ หรือโรคที่เกี่ยวกับเส้นเลือดหัวใจ โรคลมชัก โลหิตแข็งตัว ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ
8. ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้มีไว้เพื่อการคุมกำเนิดระยะยาว และเมื่อกินบ่อย กินติดต่อกันนานๆ ยังส่งผลให้ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพลดลง หรือทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงขึ้น รวมถึงปริมาณฮอร์โมนเพศหญิงในยาคุมฉุกเฉินที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดแบบปกติถึง 2 เท่า ยังอาจก่อให้เกิดอันตรายต่างๆ ได้ เช่น เพิ่มโอกาสเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้อีกด้วยค่ะ
9. ควรเก็บยาคุมฉุกเฉินเอาไว้ในอุณหภูมิห้องปกติหรือมีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส