ฉันไปพบกับสามีที่ฟลอริด้า เมื่อปี 2004 เขาเป็นคนอเมริกัน บ้านอยู่ที่โอกลาโฮมา แต่ย้ายไปฟลอริด้าเพื่อไปเรียนเป็นเชฟที่ Florida Curinery Instute ที่ West Parm Beach เราทั้งสองเจอกันตอนที่ ฉันไปสมัครเป็นพนักงานเสิรฟที่ร้านซูชิ แล้วเขาเป็นพ่อครัวและซูชิเชฟอยู่ เขาบอกว่าอยู่ที่โอกลาโฮมา ไม่เคยกินอาหารเอเชียนเลย โดยเฉพาะซูชิ แต่มาเริ่มหัดกินเพราะที่โรงเรียนเสนองานให้เขามาทำงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งนี้ พอเขาเรียนจบปลายปี 2005 เขาได้งานเป็น Executive Chef ที่ Wellness Center ศูนย์บำบัดรักษาคนเป็นโรคมะเร็ง ด้วยพลัง Reiki คือพลังภายในของญี่ปุ่น แต่เจ้าของเป็นครอบครัวรัสเซีย เป็นหมอด้วยกันทั้งหมดพ่อ แม่ ลูก ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นคนรัสเซียมาจากทางเหนือแถวๆนิวยอร์ค มาพักรักษาตัวทีเป็นเดือนๆ สามีเป็นคนทำอาหารให้คนไข้ทาน อาหารก็จำกัดว่าจะต้องเป็นอาหารที่แปลกแหวกแนว แบบเป็นพวกสมุนไพร โดยที่ทางครอบครัวนี้เขาจะให้สูตรมา แล้วให้สามีเป็นคนปรุง ถึงตอนนี้สามีได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นในเรื่องของการทำอาหารรักษาคนที่เป็นโรคมะเร็ง และสูตรอาหารรัสเซีย เพราะต้องทำอาหารรัสเซียให้คนในบ้านกินด้วย สามีทำงานอยู่ที่นี่ได้ปีนึง ทางศูนย์นี้เกิดมีปัญหากับซิตี้ เพราะเขามาตั้งศูนย์ทำกิจการแบบนี้ผิด Zoneing คือพื้นที่แถวนั้นเขาให้ทำเป็นกิจการทำฟาร์ม ไม่ใช่แบบรีสอร์ตผสมศูนย์บำบัด Wellness Center อะไรแบบนี้ ทางศูนย์เลยจำใจต้องปิดตัวลง สามีเลยตกงาน แต่เขาไม่อยากไปทำงานที่ร้านอาหาร เพราะชอบที่จะทำงานเป็นเชฟส่วนตัวมากกว่า เลยคิดว่าน่าจะเปิดกิจการทำเคเทอริ่ง ที่นี้เราก็มาคิดกันว่า การทำเคเทอริ่ง มันต้องรู้จักคนเยอะ เราและสามีไม่ใช่คนในพื้นที่ เลยรู้จักคนน้อย เขาเลยชวนเราย้ายมาอยู่ที่โอกลาโฮมา
พอย้ายมาอยู่ที่โอกาโฮมาในปี 2006 สามีได้งานเป็น Excutive Chef อีกครั้งกับบริษัทขายเครื่องรีดไขมัน ลดน้ำหนัก กระชับกล้ามเนื้อ สามีทำหน้าที่ทำอาหารให้พนักงาน และลูกค้าที่เขาเชิญมานำเสนอขายเครื่องตัวนี้ งานดี เงินดี เจ้านาย และเพื่อนที่ทำงานดี แต่ก็นั้นแหละอะไรที่ดีๆมักจะผ่านไปไว พอปี 2008 เข้าช่วงฟองสบู่แตก เศรษฐกิจของอเมริกาล้มไม่เป็นท่า บริษัทของสามีก็เจ๊ง เทพนักงานออกอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นฉันทำงานโรงแรมเป็นฟร้อทเดส ได้เงินเดือนแค่ 8 เหรียญ ต่อชัวโมงเอง ก็ใช้เงินกันประหยัดๆมากๆ ช่วงนั้นสามีก็ทำอะไรได้ก็ทำค่ะ พอดีช่วงนั้นเพื่อนๆของสามีแต่งงาน และก็เชิญเราทั้งสองไปงานแต่งงานนั้นด้วย ไม่ว่างานไหนๆ เราก็เห็นเขาเสิรฟอาหารกันแบบนี้ทุกครั้ง คือ Meatball และก็ Appitiser อะไรเป็นคำๆ ที่เราสามารถซื้อมาจากช่องแช่งแข็งที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วเอามาเข้าไมโครเวฟ แล้วมาขายให้เจ้าบ่าว-เจ้าสาว ในราคาที่แพงมาก ขายอาหารกันเป็นคำๆ บอกคำนวนว่า Meatball จะให้อัตราเฉลี่ย แขกกินคนละ 2 ลูก อะไรแบบนี้ แล้วเขาก็จะกั๊กของที่เหลือเอาไว้ในครัว ถ้าของหมดจากที่เขาเสริฟ แล้ว แต่แขกยังไม่อิ่ม อาจจะเป็นเพราะจำนวนแขกที่เชิญมามากกว่า จำนวนแขกที่จ่ายตังค์ซื้อ หรือแขกที่มาแม้จะจำนวนตรงกับที่บอกเขาไว้ แต่แขกกินมากกว่ากว่าที่เขากำหนด อย่างเช่น กำหนดว่าให้แขกกิน Meatball คนละ 2 ลูก แต่แขกดันกินคนละ 5 ลูก ทีนี้คนหลังๆไม่ได้กิน ถ้าอยากให้เขาเสิรฟของเพิ่ม ต้องจ่ายเพิ่มมาเลยอีก 200 ถึง 500 เหรียญ อันนี้ฉันก็ว่ามันเอาเปรียบลูกค้าเล็กๆ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ เคเทอริ่งที่นี่ทำกันมานานมากแล้ว และลูกค้าก็ไม่มีทางเลือกใดๆ ที่ดีกว่านี้ เมนูก็ซ้ำๆ การนำเสนอก็ซ้ำๆ จำเจมาก บังเอิญว่าฉันเป็นคนไทย ฉันเคยชินกับงานเลี้ยงโต๊ะจีน ฉันเลยบอกสามีว่า ถ้าเราทำเคเทอริ่ง เราจะทำในรูปแบบใหม่ บริษัทของเราจะต้องไม่เหมือนใคร
พอดีวันหนึ่งมีเพื่อนสนิทของสามีจะแต่งงาน เขามาขอให้ทำอาหารให้ในวันแต่งงานของเขา ซึ่งในหมู่เพื่อนฝูงที่เติบโตมากับสามี จะรู้ว่าสามีทำอาหารเก่งมาก ปกติจะให้เงินสามีมาก้อนนึง แล้วเขาจะเขียนเมนูที่เหมาะสมกับเงินที่เพื่อนให้มา แล้วก็ทำอาหารให้ งานแต่งของเพื่อนคนสนิทนี้ก็เหมือนกัน สามีนั่งคุยกับเพื่อนว่า อยากได้อาหารแบบไหน ราคาเท่าไร่ ก็จ่ายตังค์มาแต่เขาไม่คิดค่าแรง งานนี้เรียกว่าเป็นงานเปิดตัวบริษัทเราก็ว่าได้ค่ะ เพราะเพื่อนสามีชวนคนมาเยอะมาก และบรรดาเพื่อนๆ คนรู้จักของสามีเราก็มามาก และก็ดีใจที่ได้รู้ว่าสามีของฉันย้ายกลับบ้านมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็เป็นคอนเน็คชั่น กระจายข่าวที่ดีอีกทางหนึ่ง งานแต่งงานนี้เลี้ยงคน 500 คนค่ะ สามีก็ทำอาหารที่บ้าน ตอนนั้นบ้านเล็กและครัวเล็กมาก ต้องทำกันทั้งในครัวและในโรงรถค่ะ เมนูก็ไม่ยากอะไร เป็นอาหารฝรั่งทั่วไป แต่เป็นแบบ Finger food เสิรฟแบบบัฟเฟต์ ที่จริงเพื่อนอยากได้แบบเสิรฟอาหารเป็นจานๆ แต่เงินไม่ถึงเลย เราเลยแนะนำให้ทำอาหารแบบบัฟเฟต์ เสิรฟจำนวนมาก ฉันและสามีก็เกิดไอเดีย และคิดกันว่า เราจะไม่ขายอาหารเป็นคำๆ เพราะคนที่นี่กินกันเยอะมาก เมนูอาหารของเราจะเป็นอาหารที่ทำและเสิรฟจำนวนเยอะๆ ให้ดีทั้งปริมาณและคุณภาพ เราจะไม่กั๊กอาหารเอาไว้ขายทีหลัง ไม่ว่าจะขายงานนี้ หรือขายงานหน้า เมนูของเราจะเป็นเมนูที่ทำขึ้น เพื่องานนั้น เพียงงานเดียว เป็น Custom Menu เนื่องจากว่าเราไม่มีทุนรอนอะไรเลย เงินเก็บก็ไม่มี เลยไม่มีเงินมาซื้อของตุนไว้ แบบร้านอาหารค่ะ เราไปจ่ายตลาดก็จ่ายตลาดแต่ของที่เราจะใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเก็บ กั๊กอาหารของเหลือ จากงานหนึ่งไปใช้อีกงานหนึ่งค่ะ นอกเสียจากว่าจะเป็นพวกแป้ง พวกน้ำตาล อะไรพวกนี้
หลังจากงานนั้นเพื่อนๆ ญาติ พี่น้อง คนรู้จักก็ติดต่อกันเข้ามาค่ะ สามีก็ทำอาหารกันที่บ้านนี่แหละค่ะ เตาก็เล็ก ซิ้งค์ล้างจานก็เล็ก แต่รับทำค่ะ หากินกับคนรู้จักก่อนเลย พอทำมาได้ปีนึง ทีนี้พวก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว ปัญหาก็เกิดคือเราจะหาลูกค้าเพิ่มที่ไหน การทำอาหารขาย เคเทอริ่งจากครัวที่บ้าน ที่โฮกลาโฮมามันผิดกฎหมายค่ะ ครั้นจะโฆษณาออกสื่อก็กลัวโดนซิตี้เรียกสอบ ฉันเคยพูดกับเพื่อนเล่นๆว่า เมื่อไหร่พวกแกจะหย่ากัน แล้วแต่งงานกันใหม่ เราจะได้มีงานมีรายได้เพิ่มขึ้น
พอดีช่วงนั้นฉันอยากกินซูชิมากๆเลย แต่สามีไม่เคยทำให้ฉันกิน เพราะเขาบอกว่าเขาทำซูชิจำนวนน้อยๆ กินกันคนสองคนเขาทำไม่เป็น ซึ่งมันก็จริงของเขาค่ะ เพราะว่าเขาทำอาหารกินแต่ละมื้อ อย่างกะจะทำกินกันทั้งหมู่บ้าน เพราะทำเยอะมาก แต่พอฉันพาเขาไปกินซูชิที่ร้านญี่ปุ่น ก็ไปนั่งทำหน้างอ เพราะไม่พอใจการปั้นซูชิของเขาค่ะ ตอนที่เขาทำที่ร้านซูชิที่ฟลอริด้า เขาเรียนการทำซูชิมากจาก Sushi Master ต้นตำรับญี่ปุ่นขนานแท้ค่ะ แต่ซูชิที่ทำขายกันที่โอกลาโฮมา จะเป็นชื้นใหญ่ และอัดส่วนผสมที่ไม่จำเป็นเข้าไปมากมาย ทำให้เวลากิน แทนที่จะกินได้เป็นคำๆ ก็ต้องกัดกินกลางคำ ทำให้เละตุ้มเป๊ะ สามีจึงไม่พอใจ เราก็เลยเลิกชวนเขาไปกินข้างนอกอีก ทีนี้ด้วยความอยากกินซูชิมากๆ เลยมีไอเดียขึ้นว่า ถ้าเราสามารถรวบรวมเพื่อนๆได้ประมาณยี่สิบคน และหุ้นตังค์ค่าอาหารคนละยี่สิบ เอามาให้สามีซื้อของมาทำซูชิให้กิน เพื่อนๆจะว่ายังไง เพื่อนๆตกลงค่ะ รวบรวมตังค์กันเอาไปให้สามี เขาก็เอาไปซื้อของมาทำ คืนวันนั้นเราจัดโต๊ะยาวในห้องนั่งเล่น เพราะห้องอาหารเล็กมาก เพื่อนๆมากันทั้งหมดยี่สิบคน พอมาพร้อมกัน เสิรฟเบียร์ ไวน์ที่ถือๆกันมา ก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร คุณสามีก็จัดการปั้นๆ โรลๆซูชิแสดงกันสดๆเลยค่ะ ปรากฎว่าอาหารมื้อนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Sushi Night ของบริษัทเราค่ะ เราจะจัดกันเดือนละครั้ง ตอนนั้นเราตั้งชื่อว่า The Supper Club เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Breakfast Club ค่ะ มีตรีมงานว่า The Underground Dinner คือแขกที่ได้มาต้องได้รับเชิญมานะคะ ไม่เปิดให้คนทั่วไปมาทานอาหารได้ง่ายๆ ไอเดียสำหรับคนทั่วไปเขาว่ากันว่า อะไรที่มันกินยากๆ หายากๆ มันต้องดี ต้องเริศค่ะ
พอเราเริ่มได้ไอเดียทำ Sushi Night, The Supper Club Underground Dinner เพียงแค่ครั้งเดียวค่ะ คนยี่สิบคนที่มาในครั้งแรก หลังจากคืนนั้นก็เอาไปพูดกัน ว่าเราสองคนจัดงานปาร์ตี้สนุกสนาน บรรยากาศเป็นกันเอง ซูชิก็อร่อย และแปลกแตกต่างไปจาก ซูชิที่กินตามร้านซูชิในเมือง ได้ดูคุณสามีทำซูชิโชว์ อีกทั้งคุ้มสุดคุ้ม ยี่สิบเหรียญ คุณสามีเสริฟ 7 คอร์ส ใช้เวลากินกันสี่ห้าชั่วโมง กินกันจนพุงกาง สนุกสนานกินไปปาร์ตี้ไป สนุกดี พอเพื่อนของเพื่อนที่ได้ฟังก็ถามถึงรายละเอียดว่า ใครจัดงาน และจัดยังไง และทำยังไงถึงจะได้กิน เดือนต่อมา เราก็จัดอีก (ถึงตอนนี้ลูกค้างานแต่งงานเริ่มร่อยหรอแล้วค่ะ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องแต่งงานกันไปหมดแล้ว เราต้องจัดงานแบบนี้อีกค่ะ เพราะเงินไม่ค่อยมี) คราวนี้เพื่อนๆของเราต่างชวนเพื่อนๆของเขามา กลุ่มละสี่ห้าคนได้ เราก็เริ่มรู้จักคนมากขึ้น จากยี่สิบคนแรก ก็กลายเป็นสี่สิบคน และก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แบบโฆษณาบอกเล่าปากต่อปาก
ตอนนั้นเรานี่นะอยากกินซูชิมากๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราดันท้อง กินซูชิไม่ได้ ชีช้ำสุดฤทธิเลย แต่เราจัดงานแบบนี้ที่บ้าน สองครั้งค่ะ เราเหนื่อยมาก เพราะต้องทำความสะอาดบ้านวันก่อนวันงาน วันงานก็ต้องล้างถ้วยล้างจาน พอวันรุ่งขึ้น ต้องทำความสะอาดบ้านอีก บวกกับเราเริ่มท้องได้สองเดือน ด้วยความที่มันเหนื่อยมันเพลีย เราก็มานั่งนึกๆคิดๆ ทำยังไงดีหว่า เลยได้ไอเดียบอกต่อๆกันว่า ถ้าใครอยากจะเป็น Host จัดงานแบบนี้ที่บ้านตัวเอง ก็บอกเรามาได้ เพียงแค่คุณใช้บ้านของคุณ และหาเพื่อนๆมารวมกัน ไม่ต่ำกว่า 20 คน เราจะไปจัดงานที่บ้านคุณ โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร และได้กินฟรี ส่วนคนอื่นๆเราเก็บเงินสดที่หน้างาน เขาเอาเหล้า เบียร์ ไวน์ อะไรที่อยากดื่มมาดื่มกันเอง เราเอาอุปกรณ์ ตู้ซูชิ โต๊ะเก้าอี้ จานชาม ถ้วยน้ำ ตะเกียบ อื่นๆจิปาถะทั้งหลายแหล่ เราเอาไปเอง Host ไม่ต้องทำอะไร เตรียมที่ ที่บ้านไว้ก็พอ นี่คือที่มาของการเริ่มต้น การให้บริการ Privet Dinner ค่ะ ทีนี้เราก็ได้ลูกค้าที่บุ๊คงานปาร์ตี้ส่วนตัว และเรายังคงไม่เลิกการทำ Sushi Dinner, Supper Club ของเราค่ะ ก็ยังคงจัดทุกเดือน มาถึงตอนนี้แผนงานการบุกตลาดงานปาร์ตี้ส่วนตัวเป็นอันว่าประสบความสำเร็จ ทำให้บริษัทเราและสามีเราเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ถึงตอนนี้ไม่ว่าใครอยากกินอาหารอะไร ไม่ว่าอเมริกัน เยอรมัน อิตาเลี่ยน ซูชิ บาร์บีคิว อาหารประเทศอะไร เขาทำได้หมดค่ะ ไม่ว่างานใหญ่ งานเล็ก คนเขาก็เริ่มโทรมาหาคุณสามีค่ะ งานก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เยอะพอที่เราสองคนจะออกจากงานประจำมาทำงานบริษัทนี้ได้อย่างเต็มตัว เราเองก็ยังคงทำงานโรงแรม และสามีก็ไปเป็น Executive Chef ให้ cafeteria แห่งหนึ่งค่ะ ทีนี้งานมันเข้ามามาก แต่เรายังทำที่บ้าน ไม่ถูกกฎหมายก็เริ่มกลัวค่ะ เราเลยคิดว่าจะต้องตั้งบริษัทให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วหล่ะมั้ง
ติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ.....
เล่าได้เล่าดี ตอนเคเทอริ่งที่รัก ตอนที่ 1
พอย้ายมาอยู่ที่โอกาโฮมาในปี 2006 สามีได้งานเป็น Excutive Chef อีกครั้งกับบริษัทขายเครื่องรีดไขมัน ลดน้ำหนัก กระชับกล้ามเนื้อ สามีทำหน้าที่ทำอาหารให้พนักงาน และลูกค้าที่เขาเชิญมานำเสนอขายเครื่องตัวนี้ งานดี เงินดี เจ้านาย และเพื่อนที่ทำงานดี แต่ก็นั้นแหละอะไรที่ดีๆมักจะผ่านไปไว พอปี 2008 เข้าช่วงฟองสบู่แตก เศรษฐกิจของอเมริกาล้มไม่เป็นท่า บริษัทของสามีก็เจ๊ง เทพนักงานออกอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นฉันทำงานโรงแรมเป็นฟร้อทเดส ได้เงินเดือนแค่ 8 เหรียญ ต่อชัวโมงเอง ก็ใช้เงินกันประหยัดๆมากๆ ช่วงนั้นสามีก็ทำอะไรได้ก็ทำค่ะ พอดีช่วงนั้นเพื่อนๆของสามีแต่งงาน และก็เชิญเราทั้งสองไปงานแต่งงานนั้นด้วย ไม่ว่างานไหนๆ เราก็เห็นเขาเสิรฟอาหารกันแบบนี้ทุกครั้ง คือ Meatball และก็ Appitiser อะไรเป็นคำๆ ที่เราสามารถซื้อมาจากช่องแช่งแข็งที่ร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต แล้วเอามาเข้าไมโครเวฟ แล้วมาขายให้เจ้าบ่าว-เจ้าสาว ในราคาที่แพงมาก ขายอาหารกันเป็นคำๆ บอกคำนวนว่า Meatball จะให้อัตราเฉลี่ย แขกกินคนละ 2 ลูก อะไรแบบนี้ แล้วเขาก็จะกั๊กของที่เหลือเอาไว้ในครัว ถ้าของหมดจากที่เขาเสริฟ แล้ว แต่แขกยังไม่อิ่ม อาจจะเป็นเพราะจำนวนแขกที่เชิญมามากกว่า จำนวนแขกที่จ่ายตังค์ซื้อ หรือแขกที่มาแม้จะจำนวนตรงกับที่บอกเขาไว้ แต่แขกกินมากกว่ากว่าที่เขากำหนด อย่างเช่น กำหนดว่าให้แขกกิน Meatball คนละ 2 ลูก แต่แขกดันกินคนละ 5 ลูก ทีนี้คนหลังๆไม่ได้กิน ถ้าอยากให้เขาเสิรฟของเพิ่ม ต้องจ่ายเพิ่มมาเลยอีก 200 ถึง 500 เหรียญ อันนี้ฉันก็ว่ามันเอาเปรียบลูกค้าเล็กๆ แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ เคเทอริ่งที่นี่ทำกันมานานมากแล้ว และลูกค้าก็ไม่มีทางเลือกใดๆ ที่ดีกว่านี้ เมนูก็ซ้ำๆ การนำเสนอก็ซ้ำๆ จำเจมาก บังเอิญว่าฉันเป็นคนไทย ฉันเคยชินกับงานเลี้ยงโต๊ะจีน ฉันเลยบอกสามีว่า ถ้าเราทำเคเทอริ่ง เราจะทำในรูปแบบใหม่ บริษัทของเราจะต้องไม่เหมือนใคร
พอดีวันหนึ่งมีเพื่อนสนิทของสามีจะแต่งงาน เขามาขอให้ทำอาหารให้ในวันแต่งงานของเขา ซึ่งในหมู่เพื่อนฝูงที่เติบโตมากับสามี จะรู้ว่าสามีทำอาหารเก่งมาก ปกติจะให้เงินสามีมาก้อนนึง แล้วเขาจะเขียนเมนูที่เหมาะสมกับเงินที่เพื่อนให้มา แล้วก็ทำอาหารให้ งานแต่งของเพื่อนคนสนิทนี้ก็เหมือนกัน สามีนั่งคุยกับเพื่อนว่า อยากได้อาหารแบบไหน ราคาเท่าไร่ ก็จ่ายตังค์มาแต่เขาไม่คิดค่าแรง งานนี้เรียกว่าเป็นงานเปิดตัวบริษัทเราก็ว่าได้ค่ะ เพราะเพื่อนสามีชวนคนมาเยอะมาก และบรรดาเพื่อนๆ คนรู้จักของสามีเราก็มามาก และก็ดีใจที่ได้รู้ว่าสามีของฉันย้ายกลับบ้านมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็เป็นคอนเน็คชั่น กระจายข่าวที่ดีอีกทางหนึ่ง งานแต่งงานนี้เลี้ยงคน 500 คนค่ะ สามีก็ทำอาหารที่บ้าน ตอนนั้นบ้านเล็กและครัวเล็กมาก ต้องทำกันทั้งในครัวและในโรงรถค่ะ เมนูก็ไม่ยากอะไร เป็นอาหารฝรั่งทั่วไป แต่เป็นแบบ Finger food เสิรฟแบบบัฟเฟต์ ที่จริงเพื่อนอยากได้แบบเสิรฟอาหารเป็นจานๆ แต่เงินไม่ถึงเลย เราเลยแนะนำให้ทำอาหารแบบบัฟเฟต์ เสิรฟจำนวนมาก ฉันและสามีก็เกิดไอเดีย และคิดกันว่า เราจะไม่ขายอาหารเป็นคำๆ เพราะคนที่นี่กินกันเยอะมาก เมนูอาหารของเราจะเป็นอาหารที่ทำและเสิรฟจำนวนเยอะๆ ให้ดีทั้งปริมาณและคุณภาพ เราจะไม่กั๊กอาหารเอาไว้ขายทีหลัง ไม่ว่าจะขายงานนี้ หรือขายงานหน้า เมนูของเราจะเป็นเมนูที่ทำขึ้น เพื่องานนั้น เพียงงานเดียว เป็น Custom Menu เนื่องจากว่าเราไม่มีทุนรอนอะไรเลย เงินเก็บก็ไม่มี เลยไม่มีเงินมาซื้อของตุนไว้ แบบร้านอาหารค่ะ เราไปจ่ายตลาดก็จ่ายตลาดแต่ของที่เราจะใช้ในงานนี้โดยเฉพาะ ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องเก็บ กั๊กอาหารของเหลือ จากงานหนึ่งไปใช้อีกงานหนึ่งค่ะ นอกเสียจากว่าจะเป็นพวกแป้ง พวกน้ำตาล อะไรพวกนี้
หลังจากงานนั้นเพื่อนๆ ญาติ พี่น้อง คนรู้จักก็ติดต่อกันเข้ามาค่ะ สามีก็ทำอาหารกันที่บ้านนี่แหละค่ะ เตาก็เล็ก ซิ้งค์ล้างจานก็เล็ก แต่รับทำค่ะ หากินกับคนรู้จักก่อนเลย พอทำมาได้ปีนึง ทีนี้พวก ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงก็แต่งงานกันไปหมดแล้ว ปัญหาก็เกิดคือเราจะหาลูกค้าเพิ่มที่ไหน การทำอาหารขาย เคเทอริ่งจากครัวที่บ้าน ที่โฮกลาโฮมามันผิดกฎหมายค่ะ ครั้นจะโฆษณาออกสื่อก็กลัวโดนซิตี้เรียกสอบ ฉันเคยพูดกับเพื่อนเล่นๆว่า เมื่อไหร่พวกแกจะหย่ากัน แล้วแต่งงานกันใหม่ เราจะได้มีงานมีรายได้เพิ่มขึ้น
พอดีช่วงนั้นฉันอยากกินซูชิมากๆเลย แต่สามีไม่เคยทำให้ฉันกิน เพราะเขาบอกว่าเขาทำซูชิจำนวนน้อยๆ กินกันคนสองคนเขาทำไม่เป็น ซึ่งมันก็จริงของเขาค่ะ เพราะว่าเขาทำอาหารกินแต่ละมื้อ อย่างกะจะทำกินกันทั้งหมู่บ้าน เพราะทำเยอะมาก แต่พอฉันพาเขาไปกินซูชิที่ร้านญี่ปุ่น ก็ไปนั่งทำหน้างอ เพราะไม่พอใจการปั้นซูชิของเขาค่ะ ตอนที่เขาทำที่ร้านซูชิที่ฟลอริด้า เขาเรียนการทำซูชิมากจาก Sushi Master ต้นตำรับญี่ปุ่นขนานแท้ค่ะ แต่ซูชิที่ทำขายกันที่โอกลาโฮมา จะเป็นชื้นใหญ่ และอัดส่วนผสมที่ไม่จำเป็นเข้าไปมากมาย ทำให้เวลากิน แทนที่จะกินได้เป็นคำๆ ก็ต้องกัดกินกลางคำ ทำให้เละตุ้มเป๊ะ สามีจึงไม่พอใจ เราก็เลยเลิกชวนเขาไปกินข้างนอกอีก ทีนี้ด้วยความอยากกินซูชิมากๆ เลยมีไอเดียขึ้นว่า ถ้าเราสามารถรวบรวมเพื่อนๆได้ประมาณยี่สิบคน และหุ้นตังค์ค่าอาหารคนละยี่สิบ เอามาให้สามีซื้อของมาทำซูชิให้กิน เพื่อนๆจะว่ายังไง เพื่อนๆตกลงค่ะ รวบรวมตังค์กันเอาไปให้สามี เขาก็เอาไปซื้อของมาทำ คืนวันนั้นเราจัดโต๊ะยาวในห้องนั่งเล่น เพราะห้องอาหารเล็กมาก เพื่อนๆมากันทั้งหมดยี่สิบคน พอมาพร้อมกัน เสิรฟเบียร์ ไวน์ที่ถือๆกันมา ก็มานั่งที่โต๊ะอาหาร คุณสามีก็จัดการปั้นๆ โรลๆซูชิแสดงกันสดๆเลยค่ะ ปรากฎว่าอาหารมื้อนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการทำ Sushi Night ของบริษัทเราค่ะ เราจะจัดกันเดือนละครั้ง ตอนนั้นเราตั้งชื่อว่า The Supper Club เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง The Breakfast Club ค่ะ มีตรีมงานว่า The Underground Dinner คือแขกที่ได้มาต้องได้รับเชิญมานะคะ ไม่เปิดให้คนทั่วไปมาทานอาหารได้ง่ายๆ ไอเดียสำหรับคนทั่วไปเขาว่ากันว่า อะไรที่มันกินยากๆ หายากๆ มันต้องดี ต้องเริศค่ะ
พอเราเริ่มได้ไอเดียทำ Sushi Night, The Supper Club Underground Dinner เพียงแค่ครั้งเดียวค่ะ คนยี่สิบคนที่มาในครั้งแรก หลังจากคืนนั้นก็เอาไปพูดกัน ว่าเราสองคนจัดงานปาร์ตี้สนุกสนาน บรรยากาศเป็นกันเอง ซูชิก็อร่อย และแปลกแตกต่างไปจาก ซูชิที่กินตามร้านซูชิในเมือง ได้ดูคุณสามีทำซูชิโชว์ อีกทั้งคุ้มสุดคุ้ม ยี่สิบเหรียญ คุณสามีเสริฟ 7 คอร์ส ใช้เวลากินกันสี่ห้าชั่วโมง กินกันจนพุงกาง สนุกสนานกินไปปาร์ตี้ไป สนุกดี พอเพื่อนของเพื่อนที่ได้ฟังก็ถามถึงรายละเอียดว่า ใครจัดงาน และจัดยังไง และทำยังไงถึงจะได้กิน เดือนต่อมา เราก็จัดอีก (ถึงตอนนี้ลูกค้างานแต่งงานเริ่มร่อยหรอแล้วค่ะ เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องแต่งงานกันไปหมดแล้ว เราต้องจัดงานแบบนี้อีกค่ะ เพราะเงินไม่ค่อยมี) คราวนี้เพื่อนๆของเราต่างชวนเพื่อนๆของเขามา กลุ่มละสี่ห้าคนได้ เราก็เริ่มรู้จักคนมากขึ้น จากยี่สิบคนแรก ก็กลายเป็นสี่สิบคน และก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แบบโฆษณาบอกเล่าปากต่อปาก
ตอนนั้นเรานี่นะอยากกินซูชิมากๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เราดันท้อง กินซูชิไม่ได้ ชีช้ำสุดฤทธิเลย แต่เราจัดงานแบบนี้ที่บ้าน สองครั้งค่ะ เราเหนื่อยมาก เพราะต้องทำความสะอาดบ้านวันก่อนวันงาน วันงานก็ต้องล้างถ้วยล้างจาน พอวันรุ่งขึ้น ต้องทำความสะอาดบ้านอีก บวกกับเราเริ่มท้องได้สองเดือน ด้วยความที่มันเหนื่อยมันเพลีย เราก็มานั่งนึกๆคิดๆ ทำยังไงดีหว่า เลยได้ไอเดียบอกต่อๆกันว่า ถ้าใครอยากจะเป็น Host จัดงานแบบนี้ที่บ้านตัวเอง ก็บอกเรามาได้ เพียงแค่คุณใช้บ้านของคุณ และหาเพื่อนๆมารวมกัน ไม่ต่ำกว่า 20 คน เราจะไปจัดงานที่บ้านคุณ โดยที่คุณไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร และได้กินฟรี ส่วนคนอื่นๆเราเก็บเงินสดที่หน้างาน เขาเอาเหล้า เบียร์ ไวน์ อะไรที่อยากดื่มมาดื่มกันเอง เราเอาอุปกรณ์ ตู้ซูชิ โต๊ะเก้าอี้ จานชาม ถ้วยน้ำ ตะเกียบ อื่นๆจิปาถะทั้งหลายแหล่ เราเอาไปเอง Host ไม่ต้องทำอะไร เตรียมที่ ที่บ้านไว้ก็พอ นี่คือที่มาของการเริ่มต้น การให้บริการ Privet Dinner ค่ะ ทีนี้เราก็ได้ลูกค้าที่บุ๊คงานปาร์ตี้ส่วนตัว และเรายังคงไม่เลิกการทำ Sushi Dinner, Supper Club ของเราค่ะ ก็ยังคงจัดทุกเดือน มาถึงตอนนี้แผนงานการบุกตลาดงานปาร์ตี้ส่วนตัวเป็นอันว่าประสบความสำเร็จ ทำให้บริษัทเราและสามีเราเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ถึงตอนนี้ไม่ว่าใครอยากกินอาหารอะไร ไม่ว่าอเมริกัน เยอรมัน อิตาเลี่ยน ซูชิ บาร์บีคิว อาหารประเทศอะไร เขาทำได้หมดค่ะ ไม่ว่างานใหญ่ งานเล็ก คนเขาก็เริ่มโทรมาหาคุณสามีค่ะ งานก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เยอะพอที่เราสองคนจะออกจากงานประจำมาทำงานบริษัทนี้ได้อย่างเต็มตัว เราเองก็ยังคงทำงานโรงแรม และสามีก็ไปเป็น Executive Chef ให้ cafeteria แห่งหนึ่งค่ะ ทีนี้งานมันเข้ามามาก แต่เรายังทำที่บ้าน ไม่ถูกกฎหมายก็เริ่มกลัวค่ะ เราเลยคิดว่าจะต้องตั้งบริษัทให้เป็นเรื่องเป็นราวแล้วหล่ะมั้ง
ติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ.....