สวัสดีค่ะ คิดมาซักพักแล้วว่าอยากจะแชร์ประสบการณ์การเรียนและการทำงาน เผื่อจะเป็นกำลังใจให้คนที่อาจจะเรียนไม่เก่งแต่มีความฝัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนอะไรยาวๆแบบนี้ในพันทิป ถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ
เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการสมัคร หรือที่มาที่ไปว่าทำอย่างไรให้ได้เข้าเรียนและจะไม่ตอบคำถามในข้อนี้ แต่จะขอพูดถึงทำยังไงให้พัฒนาตัวเองและเรียนดีขึ้น
เราก็เป็นคนนึงที่ค้นหาตัวเองค่ะ แต่ภาษาอังกฤษเราไม่ดีเลย ครั้งนึงได้มีโอกาสมาเรียนในต่างประเทศ คือประเทศสวีเดน แต่การที่คนที่ไม่ได้จบการศึกษาในสวีเดน แล้วจะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) จะต้องมีระดับความรู้ภาษาอังกฤษ IELTs ในระดับ 6 เป็นอย่างน้อย (แล้วแต่สาขา) หรือจะเลือกสอบ/เรียนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมปลายของสวีเดนก็ได้ ครั้งแรกเราเลือกเรียนและสอบในระดับมัธยมปลาย เหตุผลคืองกค่ะเสียดายค่าเตรียมสอบและค่าสอบ แต่สุดท้ายคือเราสอบตก
ต้องบอกก่อนว่าหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษของสวีเดนนี่แตกต่างจากของไทยโดยสิ้นเชิง ในหลักสูตรนี้จะต้องเขียน Essay แต่งกลอน อ่านและวิเคราะห์วรรณกรรม classic และ modern เป็นต้น ผลก็คือ เราสอบตก ตกตั้งแต่อ่านคำถามไม่เข้าใจแล้ว (คือตีความคำถามผิด) วิเคราะห์วรรณกรรมก็ผิดอีก เขียน Essay ก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง วันที่รู้ผลคือเสียใจมาก
ทีนี้เวลายื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยเหลืออีกแค่ไม่ถึงสามเดือน เราก็คิดว่ายังสอบ IELTs ได้ เลยค้นเล็คเชอร์ที่เรียนภาษาอังกฤษออกมา นั่งทบทวนใหม่ ซื้อข้อสอบเก่า IELTs มาทำ ขอให้เพื่อนช่วยตรวจ Essay ให้ ช่วงนั้นคือทำแบบฝึกหัดแทบทั้งวันค่ะ
ถึงคนที่จะสอบ IELTs ต้องทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ส่วนการเขียน Essay ต้องฝึกเยอะๆและหาคนช่วยตรวจข้อเขียนให้
สุดท้ายเราสอบได้คาบเส้นพอดี แล้วผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนใน University of Gothenburg สาขา Software Engineering and management ต้องบอกว่าเกรดตอนเรียนที่ไทยนั้นสำคัญมาก
การผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ต้องออกตัวก่อนว่า ตอนแรกคือไม่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์หรือซอร์ฟแวร์เลย ง่ายๆเลยคือไม่รู้จัก compressed file, ไม่รู้ว่าจะต้องเปิด zip file ยังไง แต่คือต้องเรียนเขียนซอร์ฟแวร์ พูดง่ายๆคือเขียนโค้ด นอกจากเรียนด้านเทคนิคแล้วต้องเรียนprocess ในการผลิตซอร์ฟแวร์ด้วย รวมถึงการเขียนรายงานด้วยค่ะ ตอนนั้นคือตั้งคำถามว่าจะเรียนไหวมั้ย สุดท้ายบอกตัวเองว่าลองดู
เพื่อนร่วมชั้นเรียนมาจากหลายชาติมาก ตั้งแต่ อังกฤษ , USA, ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, จีน และอีกหลายประเทศ ทำให้สำเนียงที่ฟังก็แตกต่างกันไปและอาจารย์เป็นชาวเยอรมันบ้าง สวีดิชบ้าง
นอกจากปัญหาการเรียนที่ไม่คุ้นเคยแล้ว อีกปัญหานึงคือฟังอาจารย์เล็คเชอร์ไม่ค่อยเข้าใจ รวมถึงฟังเพื่อนร่วมชั้นไม่เข้าใจด้วย เราก็แก้ปัญหาโดยพยายามเกาะกลุ่มเพื่อนและทวนคำตอบเวลาเพื่อนหรืออาจารย์ตอบ ว่าเราเข้าใจตรงกัน อ่านหนังสือทุกเล่มและอ่านซ้ำในประเด็นที่ไม่เข้าใจ ทำแบบฝึกหัด (เขียนโค้ด)เยอะๆ ชวนเพื่อนทบทวนบทเรียนบ้าง ถกบทเรียนกะเพื่อนร่วมชั้นบ้าง ส่วนตัวพยายามเกาะเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษา และมักจะขอให้เพื่อนช่วยตรวจทานข้อเขียนให้
ถ้าเรามีน้อยกว่าคนอื่น เราต้องทำมากกว่าคนอื่นค่ะ ตอนนั้นคือหลังจากอาจารย์บรรยายเสร็จเรามักจะนั่งทบทวนบทเรียนต่อ คืออยู่ที่ห้อง Study ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นทุกวัน
ในปีแรกที่เรียนเพื่อนส่วนใหญ่คิดว่าเราคงเรียนไม่รอดแน่ ครั้งนึงเคยมีเพื่อนเจ้าของภาษาคนนึงพูดกับเราว่าถ้าเธอเรียนจบได้ สิ่งแรกที่เธอควรทำหลังจากเรียนจบคือไปเรียนภาษาอังกฤษใหม่ ตอนฟังจบน้ำตาคลอเลยค่ะ
แต่หลังจากความพยายามผ่านไป 1 ปี เราได้เกรดดีเลยแหละ ที่มหาวิทยาลัยที่เราเรียนจะมีแค่สามเกรดค่ะ คือ ตก, ผ่าน (G) และ ผ่านแบบดีมาก (VG) หลังจากเทอมที่สองเราก็ทำได้ค่ะ ได้เกรด VG เป็นส่วนใหญ่ เพื่อนหลายคน เริ่มเปลี่ยนมุมมอง มีหลายคนที่มาขอให้ช่วยติวหนังสือให้ บางคนก็ขออยู่กลุ่มทำรายงานด้วย ส่วนภาษาอังกฤษ เพื่อนคนอังกฤษถึงกับบอกว่า ภาษาเธอดีขึ้นมากฟังเข้าใจอ่านรู้เรื่อง เขียนรายงานดีขึ้นมาก
พอเข้าปีสุดท้าย ทุกคนเริ่มหางานทำโดยเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ เราก็ได้งานในบริษัท consult แห่งนึง ซึ่งส่งพนักงานเข้าไปทำงานในตำแหน่งต่างๆตามแต่บริษัทลูกค้าต้องการ และเน้นด้าน Automotive Technology development
เริ่มต้นการทำงาน
งานแรกที่เราได้รับมอบหมายคือไปทำตำแหน่ง Diagnostic Engineer ในฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทวอลโว่ ทรัค หน้าที่คือพัฒนาและเขียนวิธีการค้นหาต้นตอของปัญหาเช่น ระบบทำงานไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในระบบต่างๆในรถบรรทุก เป็นต้น รวมถึงเป็น back office ด้วย

จากที่เคยเรียนรู้แค่การเขียนซอร์ฟแวร์ คราวนี้ต้องเรียนรู้ในส่วนของฟังก์ขั่นการทำงานของรถบรรทุกด้วย ครั้งแรกที่เข้าไปทำงาน เราไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะของชิ้นส่วนและวิธีการทำงานของรถเลย เนื่องจากเราไม่มีพื้นฐานทางด้านเครื่องกลหรือไฟฟ้ามาก่อน (เคยแต่เรียนฟิสิกส์มอปลาย)
หลายคนอาจจะถามว่าไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วได้งานนี้ได้ยังไง คือตอนเรียนเราทำโปรเจ็คเกี่ยวกะการประกอบรถของเล่นโดยใส่แผงวงจรและเขียนซอร์ฟแวร์ให้รถขับเคลื่อนเองอัติโนมัติ (มีฟังก์ชั่นการค้นหาที่จอดเองและ ขับอ้อมถ้าเจอวัตถุ เป็นต้น) ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร เราเรียกมันว่า self-driving mini car ประกอบกับเราได้ทำโปรเจ็คเทอมสุดท้าย กับวอลโว่ทรัคค่ะ เจ้านายอาจจะเลือกเราจากปัจจัยนี้
สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าเราเรียนรู้ได้ ยังไงก็ต้องไปต่อ ชีวิตก็กลับเข้าสู่การเรียนด้วยตัวเองอีกครั้ง ถึงกับมีสมุดจดความรู้ของตัวเอง บางทีอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เดินไปโรงซ่อม ไปถามเอาจากพี่ช่างบ้าง เดินไปถามวิศวกรที่อยู่มานานบ้าง ถ้าเราอยากเก่งขึ้นเราต้องพัฒนาตัวเอง ยิ่งทำงานในสาย development ยิ่งจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

ทำงานมาพักนึงเราก็ยังต้องเดินไปถามชาวบ้านอยู่บ้างสืบเนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดที่เพิ่มเติมคือบางทีก็เป็นพี่เลี้ยงให้คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานบ้าง ตามแต่เจ้านายจะมอบหมาย
ถึงตอนนี้เรายังพูดไม่ได้ว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จ แต่เราได้ทำในสิ่งที่เราฝันและตั้งใจ สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ เราเชื่อว่าทุกคนพัฒนาได้ ขอให้พยายาม กำลังใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หมั่นให้กำลังใจตัวเองและต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เรามักจะบอกตัวเองเสมอว่าทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถที่เรามี วันข้างหน้าเราจะได้ไม่เสียใจเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว
เราหวังว่าเรื่องของเราจะเป็นกำลังใจให้คนที่พยายามตามความฝันของตัวเอง หรือคนที่ไม่ได้เรียนเก่งแต่มีความฝัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
จากที่คนที่สอบตกภาษาอังกฤษสู่การเป็นวิศวกรในบริษัทยานยนต์
เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการสมัคร หรือที่มาที่ไปว่าทำอย่างไรให้ได้เข้าเรียนและจะไม่ตอบคำถามในข้อนี้ แต่จะขอพูดถึงทำยังไงให้พัฒนาตัวเองและเรียนดีขึ้น
เราก็เป็นคนนึงที่ค้นหาตัวเองค่ะ แต่ภาษาอังกฤษเราไม่ดีเลย ครั้งนึงได้มีโอกาสมาเรียนในต่างประเทศ คือประเทศสวีเดน แต่การที่คนที่ไม่ได้จบการศึกษาในสวีเดน แล้วจะเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย (หลักสูตรภาษาอังกฤษ) จะต้องมีระดับความรู้ภาษาอังกฤษ IELTs ในระดับ 6 เป็นอย่างน้อย (แล้วแต่สาขา) หรือจะเลือกสอบ/เรียนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมปลายของสวีเดนก็ได้ ครั้งแรกเราเลือกเรียนและสอบในระดับมัธยมปลาย เหตุผลคืองกค่ะเสียดายค่าเตรียมสอบและค่าสอบ แต่สุดท้ายคือเราสอบตก
ต้องบอกก่อนว่าหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษของสวีเดนนี่แตกต่างจากของไทยโดยสิ้นเชิง ในหลักสูตรนี้จะต้องเขียน Essay แต่งกลอน อ่านและวิเคราะห์วรรณกรรม classic และ modern เป็นต้น ผลก็คือ เราสอบตก ตกตั้งแต่อ่านคำถามไม่เข้าใจแล้ว (คือตีความคำถามผิด) วิเคราะห์วรรณกรรมก็ผิดอีก เขียน Essay ก็อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง วันที่รู้ผลคือเสียใจมาก
ทีนี้เวลายื่นคะแนนเข้ามหาวิทยาลัยเหลืออีกแค่ไม่ถึงสามเดือน เราก็คิดว่ายังสอบ IELTs ได้ เลยค้นเล็คเชอร์ที่เรียนภาษาอังกฤษออกมา นั่งทบทวนใหม่ ซื้อข้อสอบเก่า IELTs มาทำ ขอให้เพื่อนช่วยตรวจ Essay ให้ ช่วงนั้นคือทำแบบฝึกหัดแทบทั้งวันค่ะ
ถึงคนที่จะสอบ IELTs ต้องทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ส่วนการเขียน Essay ต้องฝึกเยอะๆและหาคนช่วยตรวจข้อเขียนให้
สุดท้ายเราสอบได้คาบเส้นพอดี แล้วผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนใน University of Gothenburg สาขา Software Engineering and management ต้องบอกว่าเกรดตอนเรียนที่ไทยนั้นสำคัญมาก
การผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ต้องออกตัวก่อนว่า ตอนแรกคือไม่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์หรือซอร์ฟแวร์เลย ง่ายๆเลยคือไม่รู้จัก compressed file, ไม่รู้ว่าจะต้องเปิด zip file ยังไง แต่คือต้องเรียนเขียนซอร์ฟแวร์ พูดง่ายๆคือเขียนโค้ด นอกจากเรียนด้านเทคนิคแล้วต้องเรียนprocess ในการผลิตซอร์ฟแวร์ด้วย รวมถึงการเขียนรายงานด้วยค่ะ ตอนนั้นคือตั้งคำถามว่าจะเรียนไหวมั้ย สุดท้ายบอกตัวเองว่าลองดู
เพื่อนร่วมชั้นเรียนมาจากหลายชาติมาก ตั้งแต่ อังกฤษ , USA, ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, จีน และอีกหลายประเทศ ทำให้สำเนียงที่ฟังก็แตกต่างกันไปและอาจารย์เป็นชาวเยอรมันบ้าง สวีดิชบ้าง
นอกจากปัญหาการเรียนที่ไม่คุ้นเคยแล้ว อีกปัญหานึงคือฟังอาจารย์เล็คเชอร์ไม่ค่อยเข้าใจ รวมถึงฟังเพื่อนร่วมชั้นไม่เข้าใจด้วย เราก็แก้ปัญหาโดยพยายามเกาะกลุ่มเพื่อนและทวนคำตอบเวลาเพื่อนหรืออาจารย์ตอบ ว่าเราเข้าใจตรงกัน อ่านหนังสือทุกเล่มและอ่านซ้ำในประเด็นที่ไม่เข้าใจ ทำแบบฝึกหัด (เขียนโค้ด)เยอะๆ ชวนเพื่อนทบทวนบทเรียนบ้าง ถกบทเรียนกะเพื่อนร่วมชั้นบ้าง ส่วนตัวพยายามเกาะเพื่อนที่เป็นเจ้าของภาษา และมักจะขอให้เพื่อนช่วยตรวจทานข้อเขียนให้
ถ้าเรามีน้อยกว่าคนอื่น เราต้องทำมากกว่าคนอื่นค่ะ ตอนนั้นคือหลังจากอาจารย์บรรยายเสร็จเรามักจะนั่งทบทวนบทเรียนต่อ คืออยู่ที่ห้อง Study ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นทุกวัน
ในปีแรกที่เรียนเพื่อนส่วนใหญ่คิดว่าเราคงเรียนไม่รอดแน่ ครั้งนึงเคยมีเพื่อนเจ้าของภาษาคนนึงพูดกับเราว่าถ้าเธอเรียนจบได้ สิ่งแรกที่เธอควรทำหลังจากเรียนจบคือไปเรียนภาษาอังกฤษใหม่ ตอนฟังจบน้ำตาคลอเลยค่ะ
แต่หลังจากความพยายามผ่านไป 1 ปี เราได้เกรดดีเลยแหละ ที่มหาวิทยาลัยที่เราเรียนจะมีแค่สามเกรดค่ะ คือ ตก, ผ่าน (G) และ ผ่านแบบดีมาก (VG) หลังจากเทอมที่สองเราก็ทำได้ค่ะ ได้เกรด VG เป็นส่วนใหญ่ เพื่อนหลายคน เริ่มเปลี่ยนมุมมอง มีหลายคนที่มาขอให้ช่วยติวหนังสือให้ บางคนก็ขออยู่กลุ่มทำรายงานด้วย ส่วนภาษาอังกฤษ เพื่อนคนอังกฤษถึงกับบอกว่า ภาษาเธอดีขึ้นมากฟังเข้าใจอ่านรู้เรื่อง เขียนรายงานดีขึ้นมาก
พอเข้าปีสุดท้าย ทุกคนเริ่มหางานทำโดยเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ เราก็ได้งานในบริษัท consult แห่งนึง ซึ่งส่งพนักงานเข้าไปทำงานในตำแหน่งต่างๆตามแต่บริษัทลูกค้าต้องการ และเน้นด้าน Automotive Technology development
เริ่มต้นการทำงาน
งานแรกที่เราได้รับมอบหมายคือไปทำตำแหน่ง Diagnostic Engineer ในฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทวอลโว่ ทรัค หน้าที่คือพัฒนาและเขียนวิธีการค้นหาต้นตอของปัญหาเช่น ระบบทำงานไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นในระบบต่างๆในรถบรรทุก เป็นต้น รวมถึงเป็น back office ด้วย
จากที่เคยเรียนรู้แค่การเขียนซอร์ฟแวร์ คราวนี้ต้องเรียนรู้ในส่วนของฟังก์ขั่นการทำงานของรถบรรทุกด้วย ครั้งแรกที่เข้าไปทำงาน เราไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะของชิ้นส่วนและวิธีการทำงานของรถเลย เนื่องจากเราไม่มีพื้นฐานทางด้านเครื่องกลหรือไฟฟ้ามาก่อน (เคยแต่เรียนฟิสิกส์มอปลาย)
หลายคนอาจจะถามว่าไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วได้งานนี้ได้ยังไง คือตอนเรียนเราทำโปรเจ็คเกี่ยวกะการประกอบรถของเล่นโดยใส่แผงวงจรและเขียนซอร์ฟแวร์ให้รถขับเคลื่อนเองอัติโนมัติ (มีฟังก์ชั่นการค้นหาที่จอดเองและ ขับอ้อมถ้าเจอวัตถุ เป็นต้น) ไม่รู้ภาษาไทยเรียกว่าอะไร เราเรียกมันว่า self-driving mini car ประกอบกับเราได้ทำโปรเจ็คเทอมสุดท้าย กับวอลโว่ทรัคค่ะ เจ้านายอาจจะเลือกเราจากปัจจัยนี้
สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าเราเรียนรู้ได้ ยังไงก็ต้องไปต่อ ชีวิตก็กลับเข้าสู่การเรียนด้วยตัวเองอีกครั้ง ถึงกับมีสมุดจดความรู้ของตัวเอง บางทีอ่านแล้วไม่เข้าใจก็เดินไปโรงซ่อม ไปถามเอาจากพี่ช่างบ้าง เดินไปถามวิศวกรที่อยู่มานานบ้าง ถ้าเราอยากเก่งขึ้นเราต้องพัฒนาตัวเอง ยิ่งทำงานในสาย development ยิ่งจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
ทำงานมาพักนึงเราก็ยังต้องเดินไปถามชาวบ้านอยู่บ้างสืบเนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดที่เพิ่มเติมคือบางทีก็เป็นพี่เลี้ยงให้คนที่เพิ่งเข้ามาทำงานบ้าง ตามแต่เจ้านายจะมอบหมาย
ถึงตอนนี้เรายังพูดไม่ได้ว่าชีวิตเราประสบความสำเร็จ แต่เราได้ทำในสิ่งที่เราฝันและตั้งใจ สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ เราเชื่อว่าทุกคนพัฒนาได้ ขอให้พยายาม กำลังใจนั้นเป็นสิ่งสำคัญ หมั่นให้กำลังใจตัวเองและต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เรามักจะบอกตัวเองเสมอว่าทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถที่เรามี วันข้างหน้าเราจะได้ไม่เสียใจเพราะได้ทำเต็มที่แล้ว
เราหวังว่าเรื่องของเราจะเป็นกำลังใจให้คนที่พยายามตามความฝันของตัวเอง หรือคนที่ไม่ได้เรียนเก่งแต่มีความฝัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ