Mission: Impossible - Fallout (2018)
กำกับโดย Christopher McQuarrie (Jack Reacher, MI5: Rogue Nation)
8.5/10
(ไม่สปอยล์)
ผมเคยดูแต่ละภาคในซีรี่ส์นี้แค่รอบเดียว เลยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าดูซ้ำ (และความจริง Fallout คงเป็นภาคเดียวที่ควรดูทุกภาคมาก่อนอีกสักรอบ หรืออย่างน้อยก็ภาค 5 Rogue Nation เพราะมันแทบภาคต่อตรงๆมาเลย) แต่ส่วนตัวตอนนี้ผมยังชอบภาค 4 Ghost Protocol กว่าหน่อย จากการที่ผู้กำกับ แบรด เบิร์ด เอาประสบการณ์กำกับอนิเมชั่นมาใช้ จนฉากแอ็คชั่นเขามีทั้งอารมณ์สนุกสนาน ทั้งความหัวครีเอทในการสร้างฉากแอ็คชั่นมาก ยิ่งฉากสู้สุดท้ายในโรงจอดรถภาคนั้น ให้อารมณ์ฉากไคลแม็กซ์หนัง Pixar อย่างใน Toy Story 2 หรือ Monsters Inc. เลย
แต่ภาค Fallout ผมก็ยังชอบสูสีตามมาติดๆ และพูดได้เลยว่ามันน่าจะเป็นภาคที่ทะเยอทะยานที่สุดในซีรี่ส์แล้ว จากการที่มันพยายามจะขมวดความเป็นซีรี่ส์นี้ทั้งซีรี่ส์เข้ามารวมในภาคเดียว จนบางทีชวนซึ้งกระแทกใจได้อย่างไม่คาดคิด ภาคนี้ดึงตัวละครในอดีต, บางพล๊อตค้างคา, ภาพจำแอ็คชั่นที่ผ่านมา, และประเด็นเก่าๆเรื่องตัวตนการต้องเป็นสายลับที่ถูกต้องในโลกของซีรี่ส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวตนของการต้องเป็น อีธาน ฮันท์ ที่มาพร้อมความสามารถกับหน้าที่หนักอึ้ง ทำให้หนังมีความรู้สึกเป็นปลายทางของทุกภาคที่ผ่านมามาก จนอัดแน่นยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง ราวกับจะทำภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายแล้ว นี่นึกภาพไม่ออกเลยว่าภาคหน้าจะเป็นอย่างไรต่อ
ตั้งแต่ฉากแรก หนังนำเสนอบททดสอบทางศีลธรรม ว่าควรเสียสละชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตหนึ่งในตอนนี้ แลกกับการรักษาอีกหลายพันกว่าชีวิตในตอนหลังหรือไม่ และหนังจะวนเวียนอยู่กับคำถาม dilemma นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะในรูปแบบส่วนตัวมาก ไปจนถึงความเป็นความตายของทั้งโลก โดยเสริมขนานไปกับแผนการของผู้ร้ายและประวัติที่มีมายาวนานของตัว อีธาน ฮันท์ เอง (มีคนตั้งคำถามว่าฮันท์จะยังภักดีได้อย่างไรต่อองค์กรที่ให้เขายอมเสียสละมากมายและปัดเขาออกห่างหลายครั้ง)
ประวัติอันนั้นเองที่น่าจะทำให้ภาคนี้มีเนื้อเรื่องดีที่สุดของซีรี่ส์ และยังเป็นภารกิจที่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่สุดด้วย จนฉากแอ็คชั่นดุดัน (ที่มักแฝง dilemma นั้นในรูปแบบต่างๆเยอะบ้างน้อยบ้าง) ต่างมีน้ำหนักดราม่าและความชวนลุ้นมากขึ้นไปอีก จะเห็นได้จากการที่องค์สามของหนังมีการเผยปมบางอย่าง ที่ตัวละครต่างทำตามหลักความเป็นจริง ที่เอาจริงก็เรียบง่ายและไม่น่าแปลกใจเท่าไร แต่มันมีความมองโลกเป็นผู้ใหญ่สูงมากๆสำหรับแนวหนังแอ็คชั่นบล็อคบัสเตอร์ จนมันกระแทกใจตลอดทั้งองค์สามให้เกือบน้ำตาตกในตอนจบเลย
แต่ถ้าที่ว่ามาทำให้ฟังดูเป็นหนังดราม่าหนักๆ ก็ขอเสริมว่าปมนั้นแฝงอยู่ในไคลแม็กซ์หนัง ที่เล่าแอ็คชั่นสามเส้นเรื่องพร้อมๆกันได้ดุดันรัวเร็วแทบไม่ทันหายใจ และหนึ่งในเส้นเรื่องแอ็คชั่นนั้นก็มีการใช้ IMAX ได้ตื่นตาเกือบเทียบเท่าฉากปีนตึกสูงในภาค 4 เลย โดยรวมแล้วผมอาจยังชอบแอ็คชั่นภาค 4 กว่าหน่อย แต่การดีไซน์ของภาคนี้ที่ให้สตั้นสมจริง ดูกระแทกแรงจริง มาเจอกับการปล่อยแอ็คชั่นรัวๆใส่อีธาน ฮันท์แทบไม่ได้หยุดหย่อน ก็ชดเชยพอสู้การกำกับภาค 4 ได้อยู่ จริงๆเอาแค่ฉากแอ็คชั่นใหญ่สองฉากแรก คือฉากกระโดดร่ม HALO วันเทคชวนหยุดหายใจ กับฉากสู้ต่อยหนักหน่วงชวนสะเทือนตามในห้องน้ำ ก็แทบจะเป็นฉากชูโรงหรือฉากไคลแม็กซ์ในหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นได้เลย แต่สำหรับเรื่องนี้เหมือนหนังเพิ่งวอร์มอัพเสร็จเท่านั้น
และการทำตัวเป็นเหมือนหนังภาคขมวดซีรี่ส์เอง ก็ทำให้หนังมีมุมอ้างถึงประวัติตัวเองเบาๆจนเข้าขั้นหยอกเย้าในบางที ไม่ได้เครียดไปหมดถึงเดิมพันจะสูงกว่าทุกภาค ตั้งแต่ มีตัวละครดูถูกการใช้หน้ากากปลอมตัวของหน่วย IMF (“มีใครเชื่อมุกนี้กันด้วยเหรอ?”), สีหน้าไม่อยากเชื่อจากทั้งฝั่งพระเอกกับผู้ร้าย ตอนเห็นสถานการณ์มันซ้อนกัน impossible มากขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลา และตอนเห็นว่า อีธาน ฮันท์ แทบไม่เคยปฏิเสธจะข้ามความ impossible นั้นทุกครั้ง, ไปจนถึงการที่หนังดูจงใจยังไม่ให้มีฉากท่าวิ่งสุดแรงประจำตัวของฮันท์ (ที่ความจริงแล้วก็คือท่าวิ่งประจำตัวของ ทอม ครูซ น่ะนะ) อยู่นาน แล้วมาปล่อยเต็มที่ในภายหลัง โดยปล่อยยาวๆอย่างปั่นความอลังการมากขึ้นเรื่อยๆจนหนังน่าจะต้องมีความรู้ตัวเอง (self-aware) เกี่ยวกับตัวมันนอกเนื้อเรื่องหนังแน่นอน
ซึ่งก็เวิร์คสองเลเวล เพราะมองในตัวเรื่อง จุดนั้นเองก็เป็นช่วงที่เรื่องกำลังตื่นเต้นมาก แต่ถ้ามองนอกตัวหนัง ในฐานะที่ภาคนี้ดูจะขมวดตัวตนความเป็นฮันท์ทั้งซีรี่ส์เข้าไป มันก็มีความยั่วเหย้า แบบยังเห็นใจในการต้องเผชิญภารกิจที่ราวกับแบกโลกทั้งใบ ที่ความ impossible ถาโถมรุมเข้ามาทุกทิศทาง ยิ่งปลายทางฉากวิ่งกลับพลิกเป็นอารมณ์ตกต่ำ แล้วถ่ายไกลให้เห็นฮันท์เป็นร่างเล็กท่ามกลางพื้นหลังกว้างใหญ่ ก็ยิ่งขับเน้นว่าในความเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดที่เขาได้เคยทำมา (และทำเยอะมากในภาคนี้จนชวนรู้สึกร่างแตกสลายแทน) อีธาน ฮันท์ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์มีเลือดเนื้อคนหนึ่งเท่านั้น
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่
www.facebook.com/themoviemood ครับ
[SR] [รีวิว] Mission: Impossible - Fallout (8.5/10) อัดแน่นแอ็คชั่นใหญ่สุดกว่าทุกภาค กับความหนักอึ้งของสายลับภารกิจเดิมพันโลก
กำกับโดย Christopher McQuarrie (Jack Reacher, MI5: Rogue Nation)
8.5/10
(ไม่สปอยล์)
ผมเคยดูแต่ละภาคในซีรี่ส์นี้แค่รอบเดียว เลยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าดูซ้ำ (และความจริง Fallout คงเป็นภาคเดียวที่ควรดูทุกภาคมาก่อนอีกสักรอบ หรืออย่างน้อยก็ภาค 5 Rogue Nation เพราะมันแทบภาคต่อตรงๆมาเลย) แต่ส่วนตัวตอนนี้ผมยังชอบภาค 4 Ghost Protocol กว่าหน่อย จากการที่ผู้กำกับ แบรด เบิร์ด เอาประสบการณ์กำกับอนิเมชั่นมาใช้ จนฉากแอ็คชั่นเขามีทั้งอารมณ์สนุกสนาน ทั้งความหัวครีเอทในการสร้างฉากแอ็คชั่นมาก ยิ่งฉากสู้สุดท้ายในโรงจอดรถภาคนั้น ให้อารมณ์ฉากไคลแม็กซ์หนัง Pixar อย่างใน Toy Story 2 หรือ Monsters Inc. เลย
แต่ภาค Fallout ผมก็ยังชอบสูสีตามมาติดๆ และพูดได้เลยว่ามันน่าจะเป็นภาคที่ทะเยอทะยานที่สุดในซีรี่ส์แล้ว จากการที่มันพยายามจะขมวดความเป็นซีรี่ส์นี้ทั้งซีรี่ส์เข้ามารวมในภาคเดียว จนบางทีชวนซึ้งกระแทกใจได้อย่างไม่คาดคิด ภาคนี้ดึงตัวละครในอดีต, บางพล๊อตค้างคา, ภาพจำแอ็คชั่นที่ผ่านมา, และประเด็นเก่าๆเรื่องตัวตนการต้องเป็นสายลับที่ถูกต้องในโลกของซีรี่ส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวตนของการต้องเป็น อีธาน ฮันท์ ที่มาพร้อมความสามารถกับหน้าที่หนักอึ้ง ทำให้หนังมีความรู้สึกเป็นปลายทางของทุกภาคที่ผ่านมามาก จนอัดแน่นยาวถึงสองชั่วโมงครึ่ง ราวกับจะทำภาคนี้เป็นภาคสุดท้ายแล้ว นี่นึกภาพไม่ออกเลยว่าภาคหน้าจะเป็นอย่างไรต่อ
ตั้งแต่ฉากแรก หนังนำเสนอบททดสอบทางศีลธรรม ว่าควรเสียสละชีวิตบริสุทธิ์ชีวิตหนึ่งในตอนนี้ แลกกับการรักษาอีกหลายพันกว่าชีวิตในตอนหลังหรือไม่ และหนังจะวนเวียนอยู่กับคำถาม dilemma นี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะในรูปแบบส่วนตัวมาก ไปจนถึงความเป็นความตายของทั้งโลก โดยเสริมขนานไปกับแผนการของผู้ร้ายและประวัติที่มีมายาวนานของตัว อีธาน ฮันท์ เอง (มีคนตั้งคำถามว่าฮันท์จะยังภักดีได้อย่างไรต่อองค์กรที่ให้เขายอมเสียสละมากมายและปัดเขาออกห่างหลายครั้ง)
ประวัติอันนั้นเองที่น่าจะทำให้ภาคนี้มีเนื้อเรื่องดีที่สุดของซีรี่ส์ และยังเป็นภารกิจที่มีความลึกซึ้งทางอารมณ์ที่สุดด้วย จนฉากแอ็คชั่นดุดัน (ที่มักแฝง dilemma นั้นในรูปแบบต่างๆเยอะบ้างน้อยบ้าง) ต่างมีน้ำหนักดราม่าและความชวนลุ้นมากขึ้นไปอีก จะเห็นได้จากการที่องค์สามของหนังมีการเผยปมบางอย่าง ที่ตัวละครต่างทำตามหลักความเป็นจริง ที่เอาจริงก็เรียบง่ายและไม่น่าแปลกใจเท่าไร แต่มันมีความมองโลกเป็นผู้ใหญ่สูงมากๆสำหรับแนวหนังแอ็คชั่นบล็อคบัสเตอร์ จนมันกระแทกใจตลอดทั้งองค์สามให้เกือบน้ำตาตกในตอนจบเลย
แต่ถ้าที่ว่ามาทำให้ฟังดูเป็นหนังดราม่าหนักๆ ก็ขอเสริมว่าปมนั้นแฝงอยู่ในไคลแม็กซ์หนัง ที่เล่าแอ็คชั่นสามเส้นเรื่องพร้อมๆกันได้ดุดันรัวเร็วแทบไม่ทันหายใจ และหนึ่งในเส้นเรื่องแอ็คชั่นนั้นก็มีการใช้ IMAX ได้ตื่นตาเกือบเทียบเท่าฉากปีนตึกสูงในภาค 4 เลย โดยรวมแล้วผมอาจยังชอบแอ็คชั่นภาค 4 กว่าหน่อย แต่การดีไซน์ของภาคนี้ที่ให้สตั้นสมจริง ดูกระแทกแรงจริง มาเจอกับการปล่อยแอ็คชั่นรัวๆใส่อีธาน ฮันท์แทบไม่ได้หยุดหย่อน ก็ชดเชยพอสู้การกำกับภาค 4 ได้อยู่ จริงๆเอาแค่ฉากแอ็คชั่นใหญ่สองฉากแรก คือฉากกระโดดร่ม HALO วันเทคชวนหยุดหายใจ กับฉากสู้ต่อยหนักหน่วงชวนสะเทือนตามในห้องน้ำ ก็แทบจะเป็นฉากชูโรงหรือฉากไคลแม็กซ์ในหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่นได้เลย แต่สำหรับเรื่องนี้เหมือนหนังเพิ่งวอร์มอัพเสร็จเท่านั้น
และการทำตัวเป็นเหมือนหนังภาคขมวดซีรี่ส์เอง ก็ทำให้หนังมีมุมอ้างถึงประวัติตัวเองเบาๆจนเข้าขั้นหยอกเย้าในบางที ไม่ได้เครียดไปหมดถึงเดิมพันจะสูงกว่าทุกภาค ตั้งแต่ มีตัวละครดูถูกการใช้หน้ากากปลอมตัวของหน่วย IMF (“มีใครเชื่อมุกนี้กันด้วยเหรอ?”), สีหน้าไม่อยากเชื่อจากทั้งฝั่งพระเอกกับผู้ร้าย ตอนเห็นสถานการณ์มันซ้อนกัน impossible มากขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลา และตอนเห็นว่า อีธาน ฮันท์ แทบไม่เคยปฏิเสธจะข้ามความ impossible นั้นทุกครั้ง, ไปจนถึงการที่หนังดูจงใจยังไม่ให้มีฉากท่าวิ่งสุดแรงประจำตัวของฮันท์ (ที่ความจริงแล้วก็คือท่าวิ่งประจำตัวของ ทอม ครูซ น่ะนะ) อยู่นาน แล้วมาปล่อยเต็มที่ในภายหลัง โดยปล่อยยาวๆอย่างปั่นความอลังการมากขึ้นเรื่อยๆจนหนังน่าจะต้องมีความรู้ตัวเอง (self-aware) เกี่ยวกับตัวมันนอกเนื้อเรื่องหนังแน่นอน
ซึ่งก็เวิร์คสองเลเวล เพราะมองในตัวเรื่อง จุดนั้นเองก็เป็นช่วงที่เรื่องกำลังตื่นเต้นมาก แต่ถ้ามองนอกตัวหนัง ในฐานะที่ภาคนี้ดูจะขมวดตัวตนความเป็นฮันท์ทั้งซีรี่ส์เข้าไป มันก็มีความยั่วเหย้า แบบยังเห็นใจในการต้องเผชิญภารกิจที่ราวกับแบกโลกทั้งใบ ที่ความ impossible ถาโถมรุมเข้ามาทุกทิศทาง ยิ่งปลายทางฉากวิ่งกลับพลิกเป็นอารมณ์ตกต่ำ แล้วถ่ายไกลให้เห็นฮันท์เป็นร่างเล็กท่ามกลางพื้นหลังกว้างใหญ่ ก็ยิ่งขับเน้นว่าในความเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดที่เขาได้เคยทำมา (และทำเยอะมากในภาคนี้จนชวนรู้สึกร่างแตกสลายแทน) อีธาน ฮันท์ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์มีเลือดเนื้อคนหนึ่งเท่านั้น
ติดตามรีวิวหนังและข่าวน่าสนใจในโลกภาพยนตร์อื่นๆของผมได้ที่ www.facebook.com/themoviemood ครับ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้