ระบบทีมของญี่ปุ่นที่เหนียวแน่น ไม่ว่ารุ่นเล็ก ใหญ่ ระดับสโมสร ชายหรือหญิง มีมาตรฐาน ต้องเล่นอยู่ในแพทเทิร์นเดียวกัน

ระบบทีมของญี่ปุ่นที่เหนียวแน่นถูกออกแบบมา  สิ่งที่น่าสังเกต  ไม่ว่ารุ่นเล็ก ใหญ่  ระดับสโมสร  ชายหรือหญิง มีมาตรฐาน  ต้องเล่นอยู่ในแพทเทิร์นเดียวกัน  

ญี่ปุ่นเป็นเจ้าแห่งระบบระเบียบแบบแผน  ถูกปลูกฝังเริ่มตั้งแต่เด็กๆอยู่ใน ระบบของโรงเรียน เด็กญี่ปุ่นจะเรียบร้อย สงบเสงี่ยม เข้าแถวต่อคิว ไม่มีงอแง โตมาทำงานก็อยู่ในองค์กรมีระเบียบแบบแผน  มีแผนปฎิบัตการเป็นขั้นเป็นตอน  ไม่มีซิกแซก หาทางลัด ให้ความสำคัญส่วนรวมมาก่อนตัวเอง  พูดง่ายคือระบบทีมมาก่อน อุปนิสัยคนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังให้อยู่ในระเบียบวินัย อยู่ในระบบทั้งชีวิต  แม้แต่คำพูดคำจา มีไดอะล็อคโต้ตอบกับคู่สนทนาที่เป็นแพทเทิร์น  บางทีคล้ายกับหุ่นยนต์ ใครที่เคยสัมผัสกับคนญี่ปุ่น หรือไปเที่ยวญี่ปุ่น จะรู้สึกว่าบ้านเมืองเขา คนญี่ปุ่นใจดี เรียบร้อย น่ารัก บางครั้งจนเรารู้สึกสงสัยว่าสิ่งที่เขาปฎิบัติกันมันเป็นหน้าที่หรือ มารยาทที่เป็นแพทเทิร์น ทุกคนต้องรู้และปฎิบัติตาม

ทีมวอลเลย์บอลของญี่ปุ่น  ก็มีระบบทีมที่เป็นมาตรฐาน ยึดระบบเป็นสำคัญมากกว่าความสามารถส่วนบุคคล ทุกคนต้องเล่นอยู่ในแพทเทิร์นที่ถูกออกแบบมา โดยเฉพาะการ defend  สวนกลับ  ไม่ว่าระดับไหนมาเล่น มาตรฐานญี่ปุ่นก็ไม่เคยตก น่าจะเป็นรูปแบบการเล่นที่ถูกกำหนดตายตัวมาจากสมาคมวอลเลย์บอลหลักของประเทศ  ไม่มี one man show หรือ rising star  เก่งมาจากไหนก็ต้องเล่นตามแพทเทิร์นของเขา  เล่นตามอำเภอใจ เชิญพักจากทีมชาติก่อน  

รูปแบบการเล่น เกมรุกน่าจะเป็นหน้าที่การสื่อสารระหว่าง setter กับ ผู้เล่นในทีมเป็นหลัก
แต่ที่น่าสังเกต รูปแบบเกมรับ หรือ การ defend สวนกลับ หากใครสังเกต ไม่รุ่นไหนที่แข่ง เล็ก ใหญ่ ระดับสโมสร ชาย หรือหญิง มีแพทเทิร์นการเล่นตายตัว เหมือนๆกันทุกทีม มาตรฐานเดียวกัน สามารถต่อกรหรือเยื้อเกมกับทีมที่เหนือกว่าได้อย่างสูสี

1.    การตั้งโซนรับที่เป็นอัตโนมัติ  ญี่ปุ่นไม่เคยหลุดโซน ตำแหน่งตัวเอง เมื่อต้องอยู่ในเกมรับ ทุกคนมีสติ ต้องเรียกว่ามีวินัยอยุ่ในสายเลือด ถอยไปตั้งรับ รับผิดชอบพื้นที่ของตัวเอง  ตำแหน่งบล็อกขึ้นทำหน้าที่สกัดกั้น  ตำแหน่ง  2 หรือ 4  ยืนปิดเวลาถูกตีบิดเข้าในแล้วแต่ตีจากหัวเสาฝั่งไหน   ตำแหน่งแดนหลัง  5 6 1 ตั้งโซนรับไม่ได้ยืนมั่ว ที่น่าสังเกตุเขายืนเป็นรูปแบบแพทเทิร์นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ปลายสามเหลี่ยมตำแหน่ง 6 อยู่เส้นหลัง ตำแหน่ง 5 กับ 1 ปิดเส้นออกข้าง ปล่อยให้ตรงกลางเป็นหลุม ที่ทุกคนพร้อมจะบินไปรองลูกตบ

-  จุดอ่อนทีมสาวไทย เวลาเกมบุก ดันขึ้นหน้ารองบอล  แต่หลังจากนั้น โซนรับหายหมด ข้างหลังบ้านว่างโบ๋  กรุกันไปอยู่แดนหน้า สายตาจ้องแต่เกมรุกของคู่ต่อสู้ จนลืมถอยไปตั้งโซนรับ ไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนของสนาม ลองไปเปิดดูเทปเก่าๆแทบจะทุกแมทซ์ ดันขึ้นหน้ากันหมด คู่แข่งตียาววางหลังได้แต้มทุกที เหมือนเจอขุมทรัพย์หลังบ้านทีมสาวไทย  สาเหตุส่วนนึงที่สาวไทยเกมรับอ่อน เพราะลืมตัวไปตั้งโซนรับ  ยึดความสามารถส่วนบุคคลเป็นหลัก เซ็ตเตอร์ กับ ลิป อันดับ 1 วิ่งไปทั่วสนาม  รุ่นพี่เก๋าๆ  ก็กลางแขนกันมือออก ขอจองพื้นที่ส่วนตัว 1 เอเคอร์ในการรับบอล เพราะทักษะฉันดี เธอถอยไปไกลๆ

2. การรองบอลของทีมญี่ปุ่นที่เหนียวแน่น ทุกคนในสนามดันขึ้นหน้ากันทุกคน ทุกตำแหน่งกระจายอยู่ในแดนหน้า พร้อมที่จะเกี่ยวบอลด้วยปฎิกิริยาที่ไวมากกว่าทีมใดๆในโลก แล้วการรองบอล จะเกี่ยวขึ้นมาด้วยอวัยวะอะไรก็แล้วแต่   จะเกี่ยวให้ลอยโด่งสูงขึ้นมากๆ ในแนวดิ่ง ไม่มีเกี่ยวเบาๆเตี้ยๆ เพื่อให้การต่อบอลจังหวะ 2  มีเวลามากพอและสูงพอด้วยการเซ็ทเป็นหลัก

- ส่วนสาวไทย   การรองบอลเป็นหน้าที่ของ mb กับลิป เป็นซะส่วนใหญ่ (ลองหลับตาเค้นความทรงจำเก่าๆจะเห็นภาพติดตา เจ๊หน่องนั่งยองๆเตรียมรองบอลกับลิปแป้นโผล่มาจากไหนไม่รู้แทรกขึ้นมา)  บางครั้งผู้เล่นคนอื่นๆ ยืนให้กำลังใจเฉยๆ เอาที่สบายใจ ขึ้นตบได้เลย  ขอยืนลุ้นเอาใจช่วย  เฝ้าดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ   มีบางแมทซ์ที่ช่วยกันไปรองบอลทุกตำแหน่ง (พอไปรองบอลก็ลืมถอยตั้งโซนรับ  ปํญหาเกมรับอ่อนเป็นงูกินหางอีก)  

3.การต่อบอลของทีมญี่ปุ่น  เมื่อรองบอลแล้วเกี่ยวขึ้นโด่งๆ (ไม่โด่งไม่ได้ จะต่อบอลลำบาก) ญี่ปุ่นจะต่อบอลด้วยการเซ็ท บอลเทไปทางไหน ก็จะเซ็ทบอลโค้งไปยังหัวเสาฝั่งตรงข้าม (ถ้าเซ็ทไม่ได้ ก็จะอันเดอร์โด่งๆเข้าไว้) บอลเทมาทางซ้าย เซ็ทไปยังหัวเสาขวา บอลเทมาทางขวาจะเซ็ทไปหัวเสาซ้าย  ทุกคนเป็นอันรู้กัน  ตำแหน่งที่เซ็ทบอลโค้งไม่ได้ยึดว่าผู้เล่นหัวเสายืนอยู่ตรงไหน บอลจะถูกเซ็ทไปยังบริเวณที่กำหนดคือเส้น 3 เมตรด้านข้างเท่านั้น  บริเวณนี้มุมจะเปิดกว้าง เพราะห่างเน็ทมาก บล็อกก็จะขึ้นริมหัวเสา ผู้เล่นสามารถตีเข้าใน สวนกลับได้สบายๆ  หัวเสาก็จะรู้กัน สแตนบาย เตรียมตัวถอยออกไปอยุ่นอกสนามเพื่อมีจังหวะเทคตัวกระโดดได้สูงขึ้น  ญี่ปุ่นจะใช้วิธีการต่อบอลแบบนี้และสวนกลับได้แต้มซะส่วนใหญ่ ไม่มีการเซ็ทบอล ต่อบอลไปเรื่อย ตามอำเภอใจ

- การต่อบอลทีมสาวไทย จะยึดผู้เล่นเป็นหลัก ไว้ใจผู้เล่นท๊อปสกอร์เท่านั้น หรือ ใกล้ใคร อันเดอร์ง่ายเข้าว่าก็จะโยนไปทางนั้น   บล็อกก็จะรู้ ไปยืนดักรอฝั่งนั้น  บางครั้งเห็นลิป 1 มาจากไหนไม่รู้ ต่อบอลด้วยการอันเดอร์สั้นๆเตี้ยๆตรงมุมที่บล็อกรออยู่แล้ว ไม่มีการโยกมุม  คิดว่าการเข้าบอลเร็ว สับเร็วๆ บล็อกจะขึ้นไม่ทัน (จะไม่ทันได้ไง ก็เขารออยู่ตรงนั้นแล้ว จะมาวัดความเร็วอะไรตอนนี้) ส่งผลให้หัวเสาตีจมบล็อค ในแต้มเข้าได้เข้าเข็ม แพ้ไปอย่างน่าเสียดาย บางครั้งมีการเซ็ทให้เซ็ตเตอร์ตีได้อีกหรือโยนให้ผุ้เล่นท๊อปสกอร์ ไม่กล้าตบ ฟรีบอลไปปลอดภัยกว่า  เลยรู้ว่าทีมไทยมีปัญหารองบอล เกี่ยวบอลเตี้ย ต่อบอลตามสะดวกตามหน้างาน ไม่มีแพทเทิร์นตายตัวแบบญี่ปุ่น

4. การรับเสิร์ฟ รับตบ ของทีมญี่ปุ่น   ลดทอนความแรงของบอลด้วยการงัดโด่งในแนวดิ่งเข้าไว้   กรณีบอลที่ถูกเสิร์ฟจากการกระโดดจั๊ม หรือลูกพุ่งเร็ว ลูกจะคงยังอยู่ในเซ็ตโซน   เซ็ตเตอร์ไม่ต้องทำงานหนักมาก มีเวลาไปยืนรอลูก หลอกดึงจังหวะได้  หรือการรับตบแรงๆ การงัดโด่งขึ้นแนวดิ่ง ลดแรงปะทะบอลก็ยังอยู่ในฝั่งของตัวเอง การต่อบอลไปยังตำแหน่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น

- ทีมสาวไทย รับเสิร์ฟด้วยการอันเดอร์ สั้นหน้าเตี้ย ไปยังเซ็ตเตอร์ด้วยความเร็ว  เร่งจังหวะ  (จนหลังๆเขาจับทางได้ว่าจะเล่นบอลสูตร ขึ้นดักจังหวะ 2)  กรณีเขาเสิร์ฟเบาๆอ่อยๆไม่มีปัญหา  พอเจอเขาเน้นเกมเสิร์ฟ เสิร์ฟแบบหวังผล  เขาเสิร์ฟมาแรงเปิดหน้าแขน 45 องศาใช้ความแรง ปะทะความแรงเพื่อยิงไปยังเซตเตอร์เร็วๆ  เปิดหน้าแขนไม่ถูกหน้าบอล ปลิ้นด้วยความแรงออกข้าง หรือกระเด็นล้นไปยังฝั่งตรงข้าม  คิดดู แรงปะทะ = แรงต้าน การควบคุมทิศทางบอลจะยากแค่ไหน จะเห็นว่าลิปอันดับหนึ่งในผลงาน VNL แหกไปไม่เป็น เลยทีเดียว ทีมที่บอลแรกดี หรือเหนียวๆ จะไม่มีใครเร่งจังหวะอันเดอร์บอลแรก  เขาลดทอนความแรงของบอลขึ้นไปในแนวดิ่ง  ส่วนเซ็ตเตอร์ เป็นคนควบคุมสปีดบอลเอง  หลังๆมาเห็น บุ๋มบึ๋มและเพียวรับบอลแรกได้ดีขึ้น   โดยเฉพาะเพียวเห็นรับบอลตบได้ดีขึ้นมาก เพียวงัดบอลโด่งเข้าไว้ ทำให้จังหวะ 2 ยังพอต่อบอลได้ง่ายขึ้น

เคยได้อ่านว่า ยุคโค้ชอ๊อดให้ฝึกรับเสิร์ฟ หนักๆจากการกระโดดจั้มของทีมผู้ชาย แต่หลังๆเลิกไป เพราะเวลาเขาเสิร์ฟเบาจะควบคุมน้ำหนักบอลไม่ได้ จะล้นไปยังฝั่งตรงข้าม   OMG !!!  ไม่รู้ว่าใครคิดตรรกะแบบนี้  ทำไมคิดว่าคนคือหุ่นยนต์ ถูกฝังโปรแกรมอะไรมา โปรแกรมได้แค่คำสั่งเดียวเท่านั้น  input อะไรมาต้องได้ output อย่างเดียวเท่านั้น  ป้อนได้เพียง 1 คำสั่ง  ไม่สามารถยืดหยุ่นอะไรได้เลย ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง คนที่มีอิทธิพลฝังความเชื่อแบบนี้ ส่งผ่านความเชื่อแบบนี้ไปยังลูกทีม  แล้วลูกทีมดันเชื่อแบบนี้  จำกัดศักยภาพของทีม ยิ่งไปกันใหญ่  สมองคนเราบันทึกความทรงจำไว้หมด วิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็พิสูจน์แล้วว่า ความทรงจำถูกบันทึกอยู่ในเซลล์ทุกเซลล์ด้วย แน่นอนควาทรงจำก็อยู่ในกล้ามเนื้อ ไม่ใช่แค่สมองอย่างเดียว กล้ามเนื้อแขนขวาที่ใช้ในการอันเดอร์รับบอล เชื่อมกับประสาทไขสันหลังเชื่อมไปยังสมอง ส่งข้อมูลสื่อสารแบบ two ways กลับไปกลับมาระหว่างกล้ามเนื้อและสมอง   ยิ่งซ้อมการรับเสิร์ฟหลายๆรูปแบบ สมอง กล้ามเนื้อยิ่งมีความยืดหยุ่น adapt เข้ากับทุกเงื่อนไขทุกสถานการณ์ได้หมด มันสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติ  ความสามารถ ศักยภาพของมนุษย์นั้นไม่มีข้อจำกัด  มนุษย์จำกัดกันเองด้วยความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง  ภาวนาอยากให้เลิกระบบแบ่งแยกลิปรับเสิร์ฟ ลิปรับตบเสียที  ลิปควรจะยืนยาวๆ  ทุกคนในทีมควรฝึกสกีลรับเสิร์ฟ รับตบ ไม่เป็นภาระให้ลิปคนเดียวอีกต่อไป

5. แผนการเล่นของญี่ปุ่น ที่มีหลายแผน มีทีม A และ B ที่สามารถทดแทนกันได้  มีทีมสเก๊าท์ บันทึกสถิติเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อจับวิธีเล่นของคู่แข่ง แต่ญี่ปุ่นยังมีกลยุทธ์อีกหลายอย่าง  พักตัวผู้เล่น  การหลอกให้ชินจังหวะขึ้นบล็อคแล้วส่งผู้เล่นอีกชุดที่เข้าตีเร็วหรือช้ากว่า ทำให้บล็อคคู่แข่ง สับสนจังหวะขึ้นบล็อก  ญี่ปุ่นเขามีวิธีคิดหลายชั้น หลายแผนในหัว ไม่งั้นประเทศของเขา คงไม่เจริญก้าวหน้า พัฒนามาถึงขนาดนี้  ถ้าใครได้ไปสัมผัสญี่ปุ่น จะรู้ว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ นวัตกรรมต่างๆ มันมีมากมายจริงๆ  อึ้งแบบว่า แบบนี้มีด้วยเหรอ บ้านเราไม่เห็นมีเลย คิดได้ยังไง  คนเขาคิดละเอียดมากๆ ตั้งแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆที่คาดไม่ถึงจนไปถึงเรื่องใหญ่ๆสำคัญๆ  อุปนิสัยคนญี่ปุ่นใส่ใจทุกรายละเอียด

-    แผนการเล่นทีมไทย มีการสเก๊าท์คู่แข่งก็จริง คิดแผนได้ชั้นเดียว แก้เกมก็อย่างว่า ไม่พูดมาก ไม่แปลกใจที่ทีมไทยมาดีๆในเซ็ทแรกๆ ต่อมาโดนเขาอ่านขาด ไม่มีรูปแบบแพทเทิร์นการเล่นที่แน่นอนเหมือนญี่ปุ่น หวังบอลแรกเข้าอย่างเดียว(ซึ่งไม่ถูกฝึกให้รับเสิร์ฟแบบหลากหลาย) ถูกเขาเอาคืนยาวๆ ชนะเซ็ทหลังๆ  แพ้ไปอย่างน่าเสียดาย  เราคิดไม่ละเอียดซับซ้อนพอแบบคนญี่ปุ่น

6.    สภาพจิตใจของนักกีฬาทีมญี่ปุ่น   ผู้เล่นญี่ปุ่น จะสุขุม นิ่ง ยิ้ม ส่งเสียงเชียร์  ก้มหัว พยักหน้า ให้เกียรติกันแบบเรียบร้อย  แสดงอารมณ์ออกมาทางบวกมากกว่า แทบจะไม่เห็นการแสดงสีหน้าอารมณ์ทางลบออกมาให้กระทบต่อทีม  นักกีฬาจะอดทน  ไม่ถอดใจง่ายๆ พยายามอยู่ตลอดเวลา   นิสัยทั่วๆไปของคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกต่อกัน แม้แต่คนรัก ออกเดทกันก็จะระมัดระวัง ไม่เปิดเผยความรู้สึก  ในครอบครัว ถ้าหากลูกถูกเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง พ่อแม่ก็จะไม่พูดถึง เด็กต้องรู้จักอดทนน เข้มแข็งผ่านไปให้ได้  สังคมที่ทำงานก็จะไม่เปิดเผยความรู้สึกอ่อนแอให้ใครเห็น  คนญี่ปุ่นที่หาทางออกไม่ได้มากๆเข้า มักจะเก็บกด ลงท้ายด้วยการฆ่าตัวตาย

- ทีมสาวไทย จะง่ายๆ สบายๆ ยิ้มแย้ม ตลก  แต่เวลาเครียดกดดันจะแสดงออกทางสีหน้าหรือแสดงความรู้สึกผ่านภาษากายให้เห็นชัดเจน  เช่น บางคนก็จะตลกกลบเกลื่อน  บางคนเวลาตีพลาดก็จะยิ้มเขิลอาย ยกเท้าข้างนึงมากระแทกพื้น   บางคนยิ้มเขิลค้อนตัวเองแบบอายๆหลับตาปริบๆ  บางคนก็จะสูดลมหายใจเข้าทางจมูก เป่าลมออกทางปาก  ซึ่งก็เป็นวิธีการที่โอเคจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง

ในขณะที่ทีมญี่ปุ่นจริงจัง มุ่งมั่น สุขุม พักชาเลนท์ก็จะมีการฟุตเวิร์ค ขยับร่างกายไปด้วย แต่สาวไทยเราจะสบายๆยิ้มคุยกันร่าเริง ซึ่งมันเป็น ทั้งข้อดีข้อเสียกันคนละแบบ

7. อาจจะมีระบบทีมอื่นๆของญี่ปุ่น ซึ่งยังนึกไม่ออก บลาๆๆๆ.....


สรุป  ญี่ปุ่นยึดระบบทีมมากกว่าตัวผู้เล่น เก่งมาจากไหนไม่สำคัญ ต้องเล่นในรูปแบบที่เขากำหนดให้  ส่วนทีมไทย ยึดความสามารถของบุคคลเป็นหลัก เกมรุกอาจมีแผน(ที่ขึ้นอยู่กับบอลแรก) ไม่มีรูปแบบแผนการเล่นที่ตายตัว เกมรับเอาตามสะดวก ตามหน้างาน ซึ่งบางครั้งมันอาจเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้เล่น ส่งผลต่อชัยชนะของทีม

การมีระบบอาจทำให้ขาดความหลากหลายในการเล่น  แต่มันมีความแน่นอน ซึ่งทีมวอลเลย์บอลญี่ปุ่นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่า รุ่นไหน เล็ก กลางใหญ่ ระดับสโมสร การเล่นของเขามีมาตรฐานที่ไม่ตก หยิบใครมาเล่นก็ได้ แม้ขาดตัวผู้เล่นที่เป็น Key player สำคัญ แต่ระบบทีมของญี่ปุ่นก็สามารถยื้อ ต่อกร สร้างความลำบากให้กับทีมที่เหนือกว่าตัวเองได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่