ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไทลื้อบ้านวังไผ่ : เมื่อการเยือน เหมือนได้ “กลับบ้าน”

ชีวิตของคนเราจะดำเนินไปได้อย่างไร การตั้ง "คำถาม" ของเราจะเป็นการบอก "ทิศ" ที่จะไป ส่วน "คำตอบ" จะบอกให้เรารู้ว่า "ทาง" ที่เลือกนั้นจะไปแบบไหน อย่างไร

ย่อหน้าข้างต้นที่หยิบยกเอามาจากหนังสือของ “หนุ่ม เมืองจันท์” หากนำเอามาใช้กับ “ชีวิตการเดินทาง” ต่อคำถามที่ตัวเองพบเจอบ่อยจากมิตรสหาย ยันไปถึงคนขายโรตี และอิสตรีที่รักใคร่กับการผจญภัยโลกกว้าง ปลายทางของเรื่องราวทั้งหมดในนี้คงพอจะเห็นเค้ากันแล้ว

“เชียงใหม่มีอะไรดี ถึงได้อยู่มาหลายปี”

ตอบด้วยสำเนียงเท่ๆ แบบพระเอกหนังฮอลลีวู้ด (พากย์ไทยโดยทีมพันธมิตร) ก็ต้องตอบไปว่า “ความหลากหลายทางวัฒนธรรมไงล่ะ”

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมจากชนเผ่า ทั้งชาวเขาและชนกลุ่ม ซึ่งถ้าหากนับนิ้วดู ก็คงร่วมๆ นับสิบ

จากหนึ่งในสิบกว่าๆ ในนั้น มีชนกลุ่ม “ไทลื้อ” ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับ เกริ่นกันมาซะหล่อๆ ขนาดนี้ นั่งคิดคำมาสาธยาย 2-3 ชั่วโมง พร้อมกับหักพวงมาลัยโค้งกันดื้อๆ คำตอบจากคำถามที่ตัวเองก็ไม่ถามเอง กำลังจะพาทุกคนไปยังโฮมสเตย์ไทลื้อ บ้านวังไผ่ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

เช้าวันอันสดใส เหมาะแก่การนอนแคะสะดือดูทีวีอยู่ที่บ้าน

รถตู้ขนพวกเราหลายสิบชีวิตฝ่าแดดนรกในช่วงกลางเดือนพฤษภา ใครคนนี้แกล้งทำเป็นรู้ไม่ชี้ ตั้งแต่หย่อนตูดลงบนเบาะรถตู้ (ที่ไม่รู้ว่ามันจะชันไปไหน เอนหลังได้หน่อยเดียว) ก่อนหลับไปยาวๆ ทำหน้าที่ของผู้โดยสารที่ดี ไม่มีไปรบกวนคนขับ เขาจะพาไปไหนถึงที่เดียวก็รู้กัน

แม้จะฝากชีวิตไว้กับชายหลังพวงมาลัย กระนั้นต่อมความสงสัยยังคงทำงาน ให้หลังจากตื่นขึ้นในระหว่างจอดพักที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง เพื่อพักดื่มน้ำ ปัสสาวะ (ถ้าไม่เว้นวรรค คนจะคิดว่า ไอ้นี้มันคงดื่มปัสสาวะ) คำถามลอยมาในหัวเลยตอนกำลังยืนจ่ายเงินในร้านสะดวกซื้อ

“ขอโทษนะครับ ที่นี่ที่ไหน”

เป็นประโยคที่คิดไว้ แต่ยังไม่ได้ถาม เมื่อสมองอีกส่วนสั่งการว่า ช้าก่อนพวก

การจะไปถามพนักงานร้านสะดวกซื้อว่า “ที่นี่ที่ไหน” ดูเผินๆ มันอาจจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หากพิจารณาดีๆ เราจะพบความงงงวยทันทีของคนที่ถูกถาม เพราะเขาก็จะสงสัยว่า “แล้วพวกเอ็งมากันยังไง ถึงได้มาถามอะไรแบบนี้”

นั่นนะซิ มันก็น่าจะถูกของเขานะ ถ้าคิดแบบนั้น ว่าแต่ไอ้เราจะอยากรู้ไปทำไม ว่าที่นี่ที่ไหน รู้แล้วได้อะไร เพราะไหนๆ เดี๋ยวคนขับรถตู้ก็จะพาทั้งคณะไปส่งปลายทางอยู่แล้ว

หยิบใบเสร็จจากร้านสะดวกซื้อขึ้นมาดู “ปตท. ไชยปราการ”


ล่องแพ แล้วเอาใจแช่น้ำ

คนเราจะรู้สึกเย็นอยู่ 2 แบบด้วยกัน คือ 1.เย็นกาย (เช่น ทาแป้งเย็นตรางู) 2.เย็นใจ อันหมายถึง รู้สึกสงบภายในจิตใจ ไม่ร้อนรุ่ม เหมือนหนุ่มกลัดมันกระหายพิศวาส


การเดินทางไปยังโฮมสเตย์บ้านวังไผ่ จัดอยู่ในประเภทรู้สึกเย็นๆ เพราะพาหนะของพวกเราหลังจากลงรถตู้ คือ การล่องแพในแม่น้ำกกระยะทางราว 15 กิโลเมตร คำนวณเป็นเวลาก็ราวๆ 4 ชั่วโมงด้วยกัน ทั้งนี้อัตราความเร็วขึ้นกับกระแสน้ำที่ไหลในแต่ละช่วงฤดู รวมทั้งทักษะของคนล่องแพ


เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นกว่าเดิม พี่ชัย ประธานโฮมสเตย์บ้านวังไผ่ ให้ข้อมูลเพิ่มกับพวกเราว่า “ถ้านั่งรถจาก บ้านท่าตอน ไปยังบ้านวังไผ่ จะใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงเองนะพ่อหนุ่ม”



อาหารมื้อเที่ยงอย่าง คั่วผักกูดใส่ขิง น้ำพริกมะเขือส้ม ปลาปิ้งอบสิบสองปันนา ถูกวางไว้บนแพตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง (ใครคนนี้เห็นว่าอร่อยหมดทุกอย่าง จะพิเศษว่าใครหน่อยก็ ปลาปิ้งอบสิบสองปันนา ตรงพุงปลาคือสวรรค์ปาก) ซึงลูกสี่ เครื่องดนตรีพื้นบ้านล้านนา ที่มีลักษณะคล้ายพิณกับทางอีสาน ถูกนำหยิบมาบรรเลงขับกล่อมโดยพี่ชัย ที่ทำหน้าที่ทั้งในฐานะไกด์ รวมทั้งนักดนตรีในคราเดียวกัน เป็นความพิเศษของอาหารมื้อกลางวันที่หาได้ยาก


พออาหารปากและอาหารหูถูกเสิร์ฟด้วยความพิเศษ เรื่องราวความพิเศษของแม่น้ำกก ก็ถูกหยิบมาเล่าในระหว่างการล่องแพ

ในขณะที่แม่น้ำอื่นๆ พากันไหลจากเหนือไปใต้ แม่น้ำกก กลับทำตัวสวนทางโดยการไหลจากใต้ไปเหนือ แจ้งใบเกิดตัวเองจากภูเขาตอนเหนือของเมืองกก จ.เชียงตุง ภายในอาณาเขตของรัฐฉานในประเทศพม่า (จิตร ภูมิศักดิ์ เชื่อว่าบริเวณแม่น้ำกกแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางใหญ่ที่สำคัญอย่างยิ่งของสังคมชนชาติไทยและอารยธรรมของไทยยุคก่อนหน้า พ.ศ.1800 ขึ้นไป ซึ่งอาจเป็นเพราะบริเวณลำน้ำมีต้นกกขึ้นอยู่โดยรอบจึงเรียก แม่น้ำกก) แล้วก็เอ้อระเหอลอยชายไหลเข้าสู่สยามที่ช่องแม่น้ำกก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ผ่านตัวเมืองเชียงราย ไหลลงแม่น้ำโขงที่บริเวณสบกก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เบ็ดเสร็จก็มีความยาวร่วมๆ 285 กิโลเมตร




จากความใหญ่ยาว เอ้ย ยาว 285 กิโลเมตร ที่พวกเราล่องแพกันแค่ราวๆ 15 กิโลเมตร นอกจากทิวทัศน์ที่ชวนให้เย็นกาย เย็นใจ โดยไม่ต้องอาศัยแป้งเย็นตรางู วัดพระธาตุสบฝาง คือไฮไลต์ในระหว่างการล่องแพ ด้วยอายุของวัดพันกว่าปี ภายในเจดีย์บรรจุพระธาตุส่วนพระนลาฏของพระพุทธเจ้า (กระดูกส่วนหน้าผาก) มีบันไดนาคขึ้นจากฝั่งแม่น้ำกกยาว 716 ขั้น ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่ครูบาศรีวิชัยขึ้นมาบูรณะพระธาตุ เมื่อปี พ.ศ. 2467 แน่นอน เมื่อขึ้นไปบนวัด ทิวทัศน์ที่มองลงมาจากด้านบนกำลังผายมือต้อนรับแขกผู้มาเยือนทุกท่าน



แต่ไอ้เที่เล่าๆ มานั้น พวกเราไม่ได้ขึ้นไปกันหรอก เพราะนอกจากจะไม่ได้มีในโปรแกรมแล้ว ท่าน้ำตรงบันไดวัดยังยากต่อการจอดเทียบท่า

***ตามรายทางจากนี้ไป ยังมีวัดพระธาตุแสงรุ้ง วัดหมอกจ๋าม***


ขอต้อนรับสู่บ้านวังไผ่

ชื่อหมู่บ้านมาจากการผนวกของคำว่า "วัง" ในภาษาไทลื้อ ที่หมายถึง แม่น้ำ (ในภาษาไทย คือ ห้วงน้ำลึก) และคำว่า “ไผ่” มาจากต้นไผ่ที่ล้อมรอบหมู่บ้าน

ลุงแสง พ่อหลวงแห่งบ้านวังไผ่

พี่ชัยเล่าให้ฟังว่าที่วังไผ่ปลามันชุม (วังไผ่จะอยู่เลยท่าเทียบแพของหมู่บ้านไปหน่อยเดียว) สมัยก่อนเวลาชาวบ้านไปหาปลา วังตรงไหนปลามันเยอะ ก็จะมีการตั้งชื่อให้วังตรงนั้น ตามแต่จะเรียกกัน เช่น วังไผ่, หวัง เฉา หม่า ฮั่น เป็นต้น (อันหลัง อำเล่นนะ ฮ่าๆๆ)


และก็เป็นธรรมดา พอรู้ว่าตรงไหนปลาเยอะ การล่าก็เยอะขึ้นตามลำดับ การเยอะในจำนวนคนล่ายังพอเข้าใจ แต่การเยอะในจำนวนของปลาที่หามาได้ต่อคนเกินความพอดี เรื่องนี้เข้าขั้นน่าเป็นห่วงต่อการลดลงของจำนวนปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูวางไข่ เลวร้ายสุดขึ้นอีกระดับ มีการนำระเบิด การช็อตไฟฟ้า มาใช้ในการล่า

ถ้านอกเขตหมู่บ้านแบบนี้ก็จับปลากันได้ตามปกติ

กฎไม่ให้จับปลาในแม่น้ำกกของบ้านวังไผ่จึงเกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหานี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยอนุรักษ์ปลาแล้ว ยังถวายเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

ถือว่าเป็นอะไรที่เข้าท่า


ที่แจ๋วกว่านี้ที่พี่ชัยนำเสนอ คือการรักษาความสะอาดในชุมชน สะอาดถึงขนาดที่ว่ามีรางวัลชนะเลิศหมู่บ้านสะอาดถูกสุขลักษณะในปี พ.ศ. 2551 จาก อบต.ท่าตอน และรางวัลรองชนะเลิศในปี พ.ศ. 2549 จากมูลนิธิโครงการหลวงหมอกจ๋าม มาการันตี แถมตลอด 3 วันที่ใช้ชีวิตที่บ้านวังไผ่ ผมยังไม่เห็นขยะทิ้งเกลื่อนกลาดเลยซักชิ้น


และถ้าจะมีทิ้ง ผมคงทิ้งหัวใจดวงน้อยๆ เอาไว้ ในฐานะที่นี่เป็นหมู่บ้านที่โคตรสะอาด

***ชาวไทลื้อ บ้านวังไผ่ อพยพมาจากดินแดนสิบสองปันนา เมืองยอง ทางตอนใต้ของประเทศจีน ในช่วงปี พ.ศ. 2520***
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่