เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้

กระทู้คำถาม
วันนี้มาเล่าเรื่องไปเที่ยวมาครับ
คือ.. เรื่องมันเริ่มขึ้นจากที่ ช่วงซัมเมอร์หนึ่ง เพื่อนผม มาชวนผมไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน
โดยรวบรวมสมัครพักพวกและบรรดาผู้ติดตาม(แฟน)กันได้กลุ่มหนึ่ง ก็สักประมาณ 7-8 คนได้
เราขับรถตามกันไป 3 คัน มุ่งหน้าจะไปจังหวัดที่หมาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก กรุงเทพมากนัก
ขับไปถึงสักประมาณ 10 โมงเช้า เราก็แวะเที่ยวที่แห่งหนึ่งกัน ขับตามป้ายที่มีบอกเป็นระยะๆ
อืมจังหวัดนี้ผมว่าเขาทำป้ายบอกสถานที่ท่องเที่ยวดีนะครับ
ถนนหนทางก็ดี เหมาะกับเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวจริงๆ
พวกเราขับรถเพลินไปกับบรรยากาศสองข้างทางที่ดูเป็นธรรมชาติมากๆ
รถลาก็ไม่ขวักไขว่  จนถึงป้ายบอกว่าถึงแล้ว พวกเราก็เลี้ยวรถเข้าไปตามป้ายชี้

พอเลี้ยวรถเข้าไปได้ มองดูไกลๆ ลักษณะเหมือนขับไปแล้วจะมีภูเขาตั้งสง่าอยู่ด้านหน้า
ขับเข้าไปประมาณห้าร้อยเมตร ก็พบกับลิงเดินไปมาอยู่ข้างๆถนนเป็นกลุ่มๆ
พร้อมกับร้านขายอาหารลิง สองสามร้านเล็กๆ อยู่ห่างๆกัน

เพื่อนผมพาพวกเราไปจอดรถอยู่ข้างๆร้านขายอาหารลิงร้านหนึ่ง
พวกเราพากันลงไปถามป้าคนขายและก็ช่วยอุดหนุนแก
ด้วยความอยากรู้ก็ถามแกว่า ป้าข้างในมันมีที่เที่ยวอะไรบ้าง
ป้าแกก็บอกว่า มีเยอะเลย เป็นคล้ายๆอุทยาน เดินขึ้นไปบนเขาได้
ผมก็ถามว่า แล้วจอดรถได้หรือครับ
ป้าแกก็บอกว่าจอดได้ ข้างในมีที่จอด เข้าไปเลย
พอคุยกับป้าเสร็จก็ซื้ออาหารลิงกับป้าคนละถุงสองถุง แล้วก็พากันขึ้นรถ

ขับเข้าไปสักกิโล กว่าๆ
ก็ไปเจอคล้ายๆตีเขา มีบันใดปูนเป็นขั้นๆไต่ขึ้นไปตามภูเขา
แต่สองข้างทางมันเป็นป่ารกมาก

พอขับเข้าไปใกล้ๆจะถึงลานจอด
คราวนี้เจอฝูงลิง ชนิดที่ว่า เป็นฝูงม๊อบลิงยึดถนนเได้เลยครับ เยอะมากๆ เดินเต็มถนนไปหมด
แต่พอไปถึงลานจอดรถแล้ว ไม่มีใครกล้าลงจากรถเลยครับ
เพราะมองไปแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ไม่มีรถจอดสักคันเลยครับ
แล้วทางที่เป็นบันใดจะเดินขึ้นไปเป็นเขา มันก็ช่างดูรกร้างมาก หญ้าสูงท่วมหัว
จนมองแล้วเหมือนมันจะมีงูเลย
เห็นแบบนี้แล้ว ชวนวังเวงยังไงชอบกล
จนเพื่อนพูดขึ้น ว่า โห ใครจะกล้าจอดรถตรงนี้แล้วเดินขึ้นไปวะ ไม่มีคนสักคนเลย
มีแต่ลิง กลับลงมา สงสัยรถหายแน่ๆ หรือไม่ก็โดนลิงแทะเล่นจนพรุน

พวกเราตัดสินใจไม่จอดแวะ ขับต่อไปเรื่อยๆตามทาง
จนมันวนไปอยู่ตรงจุดจุดหนึ่ง คล้ายๆ ลานจอดพักรถ
พอเราเอารถไปจอดพักตรงนั้น แล้วเดินไปดูตรงที่เป็นคล้ายๆศาลาพัก
พอเข้าไปในศาลาพัก ด้านหลังมันติดกับเหวครับ
มองลงไปเป็นบึงน้ำสี มรกต สวยมากๆ
ผมก็นึกในใจ อืมก็ยังดี ที่ไม่เสียเที่ยวแวะเข้ามา
พอเพื่อนถ่ายรูปกันเสร็จ พวกเราก็ขับรถเที่ยวกันต่อ
ขับไปตามทางเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็วนกลับออกมาทางด้านหน้า
ตรงร้านขายอาหารลิงเหมือนเดิม

พอขับออกมาตรงปากซอยได้ ก็จอดรถปรึกษากันต่อ
ว่าจะไปไหนกันต่อดี

แล้วก็มีเพื่อนคนหนึ่งเสนอขึ้น  ไปถ้ำไง แถวนี้ถ้ำเยอะจะตาย ไปดูค้างคาวแม่ไก่กัน

หลังจากไม่มีใครคัดค้านอะไร
พวกเราก็ออกเดินทางกัน ขับออกมาไม่ไกล ก็เจอป้ายข้างทาง
ชี้ว่าไปถ้ำแห่งหนึ่ง
พวกเราก็ขับตามป้ายนั้นไป
ขับตามป้ายนั้นมาอยู่พักใหญ่
อยู่ๆป้ายชื่อที่บอกว่าไปถ้ำนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นอีกชื่อหนึ่งซะงั้น
อ้าว แล้วถ้ำที่เราจะไปมันหายไปไหนแล้วหละ ไหงกลายมาเป็นชื่อถ้ำนี้
รู้สึกว่าขับไป ขับไปมันจะมีป้ายชื่อบอกถ้ำ หลายชื่อเลยครับ
แสดงว่าแถวนี้มีถ้ำอยู่หลายจุด จนเราขับรถหลงกันไปไหนก็ไม่รู้
สรุปขับมาเป็นชั่วโมงก็ไม่เจอถ้ำอะไรสักถ้ำ
เพื่อนก็เลยพาแวะทานข้าวกันก่อน

หลังจากทานข้าวเสร็จ เราก็ถามคนแถวนั้นว่า แถวๆนี้จะไปเที่ยวถ้ำตรงไหนได้บ้าง
คนแถวนั้นก็บอกเราว่า เราเลยมาไกลแล้วให้ย้อนกลับไปทางเดิม

อ้าวซะงั้น

พอขับรถออกมาได้สักพัก กำลังจะหาที่กลับรถ
ปรากกฏว่า เจอป้ายบอกทางไปถ้ำอีกแล้วครับ
ป้ายมันบอกให้ตรงไป
เพื่อนก็เลยพาเราขับตรงไป ไม่ได้กลับรถ
แล้วสักพักก็พาเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ
ขับเข้าไปลึกพอสมควรครับ สองข้างทางเป็นทุ่งนาไม่มีบ้านคนเลย
และถนนก็ลาดยาง สภาพดีมากๆครับ เป็นถนนสองเลน
บรรยากาศ ดีมาก สวย ทุ่งนาเขียวขจี
ขับเข้าไปพักใหญ่ ไม่มีรถสวนออกมาเลย และก็ไม่มีรถตามเรามาด้วย
มีแค่รถกลุ่มพวกเราเท่านั้นที่วิ่งอยู่บนถนน
ยิ่งขับเข้าไปลึกก็ยิ่งเปลี่ยว จนผมชักเริ่ม หนาวๆร้อนๆ
เอาไงดีจะชวนเพื่อนกลับดีไหม มันลึกเกินไปแล้วนะ

แต่สุดท้าย ป้ายมันก็ชี้เข้าไปในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง
พวกเราก็ขับรถเข้าไป ปรากฏว่า ที่นั้นเป็นวัดครับ
พอผ่านรั้ววัดเข้าไป ก็มีลานจอดเล็กๆ อยู่หน้าวัด
ก็เลยพากันไปจอด ตรงนั้น แล้วข้างๆลานจอดนั้นเอง
ก็มีบันใดเดินขึ้นไปบนเนินสูงๆ ลักษณะคล้ายๆบันใดสามร้อยขั้น

เพื่อนๆลงมาจากรถ
มองรอบตัว
ไม่มีใครมาเที่ยวเลยหรือวะ คนหายไปไหนหมด
วังเวงจัง
เพื่อนคนหนึ่งก็เลยพูดขึ้น ไหนๆก็มาแล้ว อย่าให้เสียเที่ยว ไปดูกันเถอะ
กลุ่มผู้หญิงบางคนเขาก็ พูดลักษณะ ไม่อยากไป ขอรออยู่ข้างล่าง
แต่เพื่อนๆก็รบเร้าให้มาด้วยกัน มาเป็นเพื่อนหน่อย
สุดท้ายพวกเราก็เลย ตัดสินใจเดินขึ้นบันใดไปครับ
พอขึ้นไปสักประมาณ ช่วงถึงชานพักแรก
แล้วก็มองขึ้นไป มองเห็นปากถ้ำอยู่ราวๆ ร้อยเมตรน่าจะได้
โหไกลจัง  
แต่ผมมองดูขั้นบันใดแล้ว เหมือนไม่มีใครมาเที่ยวนานแล้วครับ
เพราะมีคราบตะไคร้น้ำเขียวๆขึ้นเต็มไปหมด
จนเพื่อนๆ พอเห็นสภาพแล้วก็มองหน้ากัน  เอาไงดี จะไปต่อดีไหม
เพื่อนผมคนหนึ่ง ก็คะยันคะยอทุกคน  เฮ้ย มาแล้วก็ต้องไปให้ถึงซี่

พวกเราก็เลยค่อยๆจับราวบันใดแล้วก็เดินไต่ไปตามขอบข้างๆบันใด
ไม่มีใครเดินตรงกลางเลยครับเพราะกลัวลื่นล้ม

สักพักหนึ่ง พอเดินขึ้นมาถึง ปากถ้ำกัน
ปรากกฏว่า อยู่มีลมแรงพัดวูบมา จนใบไม้ใบหญ้าแถวนั้นปลิวว่อนไปหมด
พวกเราต่างเอามือปิดหน้าปิดตาปิดจมูก ไม่ให้ฝุ่นเข้าตา
จนสักพักลมถึงสงบลง
พวกเราก็ตะลึงกัน มองหน้ากันใหญ่ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
แล้วเราก็หันไปมองตรงปากถ้ำกันครับ
มันเป็นบันใดคล้ายๆบันใดลิงไต่ลงไปในถ้ำอีกทีหนึ่ง
พวกเราไปยืนชะเง้อดูลงไปในถ้ำ เห็นลักษณะข้างในถ้ำเป็นลานโล่ง
แต่ก็ออกจะมืดๆอยู่สักหน่อยไม่มีไฟส่องสว่าง
แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็ร้องบอกทุกคนให้ดู บางสิ่งที่สลักอยู่ปากถ้ำ
ลักษณะเหมือนสัญลักษณ์ของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินครับ
พวกเราเห็นก็ต่างพากันตกใจ โห ของจริงหรือเปล่านี่
ได้แต่ตะลึงกัน

หลังจากนั้นพวกเราก็ไต่ลงไปในถ้ำกัน
ข้างในมืดสลัวสลัว แต่ก็พอมองเห็นครับ
เดินเข้าไปอีกนิดหนึ่ง ก็มีพระพุทธรูป วางชิดกับผนังถ้ำ
ผมมองไปรอบๆ บรรยากาศวังเวงมาก อากาศมันเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก

ดูแล้วไม่น่าจะมีใครมาที่นี่นานแล้ว
ผมก้มลงไปดูกองธูปกองเทียนที่วางอยู่ตรงฐานพระ
หยิบธุปขึ้นมา กะว่าจะจุดไหว้พระสักหน่อย
ปรากฏว่า ธูปมันเปื่อยยุ่ย คล้ายๆกะว่ามันโดนความชื้นมากๆ
ก็เลยไม่ได้ไหว้พระกัน
เพื่อนผมกลุ่มหนึ่งก็ต่างพากันเดินสำรวจไปทั่วบริเวณนั้น
ผู้หญิงบางคนก็ไม่กล้าเข้ามา ได้แต่ยื่นอยู่แถวๆปากถ้ำที่มีแสงสว่าง
แล้วอยู่ๆเพื่อนผมคนหนึ่งมันก็เดินมาหาผม
เอาบางอย่างมาให้ผมดู
เพื่อนก็บอกว่าเมื่อกี้ อยู่ๆ มันก็เห็นคล้ายๆแสงอะไรไม่รู้ เหมือนกระจกสะท้อนแสง
แว๊บขึ้น มันเลยเดินไปดูตรงที่เห็นแสง
แล้วก็เห็นสิ่งนี้
ผมหยิบมามองดูจากมือเพื่อน ลักษณะเหมือนหินก้อนดำๆเท่าหัวแม่มือครับ
มองไม่ถนัด เลยพาเพื่อนเดินไปดูตรงหน้าถ้ำที่มีแสงสว่างมากพอ
พอเดินมาถึงตรงที่มีแสงสว่าง
ผมหยิบเอาหินก้อนนั้นขึ้นมาดูอีกที ลักษณะ มันเป็นหินสีดำๆ เหมือนหินอุกกาบาตอะครับ
ผมก็เลยบอกเพื่อนว่า หินอุกกาบาต  หายากนะนี่ มันมาอยู่ในถ้ำได้ยังไง
เพื่อนคนหนึ่งก็พูดขึ้น เฮ้ย เหล็กไหลหรือเปล่าวะ
พวกเราก็พากันมามุงดูหินก้อนนั้นกัน แล้วก็พูดกันไปต่างๆนาๆ
เพื่อนคนที่เป็นคนเห็นหินก้อนนั้นก็เลยบอกว่า จะเอากลับไปด้วย
แต่เพื่อนผู้หญิงก็ทักว่า เฮ้ย เขาไม่ให้เอาอะไรกลับไปนะ เขาถือกัน อย่าเอาเลย
เพื่อนผมตัดสินใจอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เดินเข้าไปในถ้ำ แล้วมันก็ปาหินก้อนนั้นเข้าไปในถ้ำ
จากนั้นก็เดินกลับออกมา

พวกเราก็เลยพากันปีนกลับขึ้นมาจากถ้ำ แล้วก็เดินลงบันใด กลับไปที่รถ
พอมาถึงรถก็บ่ายแก่ๆแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่ที่พัก
ที่เพื่อนมันจองไว้

เราขับรถพากันมาถึงที่พักก็เย็นมากแล้ว เพราะ มัวแต่หลงทางกันอยู่
พอขับมาถึงรั้วที่พักมองเข้าไปข้างในอาณาบริเวณนั้น  เห็นด้านหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่
ผมก็นึกในใจ โห สวยมากเลย  ที่พักติดภูเขาด้วย
หลังจากแวะรับกุญแจที่พักกับทางเจ้าของ ที่อยู่ตรงด้านหน้าแล้ว
พวกเราก็ขับรถเข้าไปด้านในอีก ลึกพอสมควร
ก็เห็นเป็นบ้านหลังเล็กๆ สองหลัง ปลูกห่างกันไม่ไกลนัก
พอไปจอดตรงหน้าบ้านหลังแรก
ก็พากัน งงๆ นิดหนึ่ง อ้าว ใครจะอยู่หลังไหน กันบ้าง
ผมลงมาจากรถ ก่อนขนของเข้าบ้าน
มองสภาพบ้าน บ้านเป็นบ้านไม้ หลังคาทรงไทย พื้นใต้ถุนยกสูงนิดหนึ่ง
แต่ดูแล้วมันเก่ามากๆ เหมือนไม่มีใครมาอยู่นานแล้ว
จนผมพูดลอยๆขึ้น...

หวังว่า...คงไม่มีผีนะ
เท่านั้นแหละ เพื่อนๆหันขวับ มามองหน้าผมเป็นตาเดียวกัน

โปรดติดตามต่อต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่