โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อว่าสุนักขัตตะ ลาสึกได้ไม่นาน ได้ประกาศแก่สาธารณะชนอย่างนี้ว่า
“สมณโคดมไม่มีญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันวิเศษยิ่งกว่าธรรมดาของมนุษย์
สมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึกที่ไตร่ตรองด้วยการ
ค้นคิดตรึกตรอง จนแจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณโคดมแสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคล
นั้นเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบสำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้น”
----------------------------------------------------------------------
อนึ่งเนื้อความนั้นคือ สุนักขัตตะ ผู้ลาสิกขาไปได้ไม่นาน
ได้กล่าวหา พระพุทธเจ้าว่า
ความจริงที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้น
เป็นแต่เพียงความคิดที่เกิดจากการตรึกตรองคิดคำนวนเอา
อีกทั้งเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติตามความจริงเหล่านั้น
ในเรื่องนี้ สุนักขัตตะ คิดสิ่งใดอยุ่จึงกล่าวเช่นนั้น ผมจะขอข้ามไปเพราะไม่ใช่วิสัยที่จะไปอ่านใจใคร
แต่จะขอกล่าวถึงสิ่งที่ สุนักขัตตะ กระทำ
-
ในประการแรกนั้น จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุนักขัตตะ ได้แสดงความเห็นของตนแก่สาธารณะชน
ความเห็นที่ซึ่งปัญญาชนจะตั้งข้อสงสัย 2อย่างดังนี้
1) พระพุทธเจ้าไม่มีคุณวิเศษจริง หรือ 2) สุนักขัตตะไม่มีปัญญาเข้าถึงคุณวิเศษนั้นเอง
-
ในอีกประการหนึ่ง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุนักขัตตะ ได้กล่าวข้อความอันคนโง่จะเมินเฉย
แต่ปัญญาชนย่อมจะรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งมีค่าหาสิ่งอื่นเทียบเคียงไม่ได้นั่นคือ
"
เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติตามความจริงเหล่านั้น"
เมื่อรวมทั้ง 2 ประการเข้าด้วยกัน คนโง่ย่อมไม่ได้อะไรไม่เสียอะไร จากการฟังคำประกาศของ สุนักขัตตะ
แต่ปัญญาชน จักพึ่งเห็นว่า
"
ในเมื่อประเด็นที่2นั้น คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคุณอนันต์ ประเด็นแรกนั้นย่อมเป็นความโง่เขลาของสุนักขัตตะเอง"
คำประกาศของ สุนักขัตตะ นั้นไม่มีค่าในหมู่คนโง่และคนพาล
คำประกาศของ สุนักขัตตะ นั้นเป็นการยกย่องพระพุทธเจ้าในทางหนึ่ง
และอีกทางหนึ่งก็ทำให้ตัวสุนักขัตตะเองดูต่ำทรามในสายตาของปัญญาชน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พึงระวัง อย่าเป็นเหมือน สุนักขัตตะ เสียเอง
สุนักขัตตะ กล่าวตู่พระพุทธองค์
“สมณโคดมไม่มีญาณทัสสนะที่ประเสริฐอันวิเศษยิ่งกว่าธรรมดาของมนุษย์
สมณโคดมแสดงธรรมที่ประมวลมาด้วยความตรึกที่ไตร่ตรองด้วยการ
ค้นคิดตรึกตรอง จนแจ่มแจ้งได้เอง ธรรมที่สมณโคดมแสดงเพื่อประโยชน์แก่บุคคล
นั้นเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบสำหรับบุคคลผู้ปฏิบัติตามธรรมนั้น”
----------------------------------------------------------------------
อนึ่งเนื้อความนั้นคือ สุนักขัตตะ ผู้ลาสิกขาไปได้ไม่นาน
ได้กล่าวหา พระพุทธเจ้าว่า ความจริงที่พระองค์ทรงสั่งสอนนั้น
เป็นแต่เพียงความคิดที่เกิดจากการตรึกตรองคิดคำนวนเอา
อีกทั้งเป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติตามความจริงเหล่านั้น
ในเรื่องนี้ สุนักขัตตะ คิดสิ่งใดอยุ่จึงกล่าวเช่นนั้น ผมจะขอข้ามไปเพราะไม่ใช่วิสัยที่จะไปอ่านใจใคร
แต่จะขอกล่าวถึงสิ่งที่ สุนักขัตตะ กระทำ
- ในประการแรกนั้น จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุนักขัตตะ ได้แสดงความเห็นของตนแก่สาธารณะชน
ความเห็นที่ซึ่งปัญญาชนจะตั้งข้อสงสัย 2อย่างดังนี้
1) พระพุทธเจ้าไม่มีคุณวิเศษจริง หรือ 2) สุนักขัตตะไม่มีปัญญาเข้าถึงคุณวิเศษนั้นเอง
- ในอีกประการหนึ่ง จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุนักขัตตะ ได้กล่าวข้อความอันคนโง่จะเมินเฉย
แต่ปัญญาชนย่อมจะรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งมีค่าหาสิ่งอื่นเทียบเคียงไม่ได้นั่นคือ
"เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์แก่ผู้ปฏิบัติตามความจริงเหล่านั้น"
เมื่อรวมทั้ง 2 ประการเข้าด้วยกัน คนโง่ย่อมไม่ได้อะไรไม่เสียอะไร จากการฟังคำประกาศของ สุนักขัตตะ
แต่ปัญญาชน จักพึ่งเห็นว่า
"ในเมื่อประเด็นที่2นั้น คำสอนของพระพุทธองค์เป็นคุณอนันต์ ประเด็นแรกนั้นย่อมเป็นความโง่เขลาของสุนักขัตตะเอง"
คำประกาศของ สุนักขัตตะ นั้นไม่มีค่าในหมู่คนโง่และคนพาล
คำประกาศของ สุนักขัตตะ นั้นเป็นการยกย่องพระพุทธเจ้าในทางหนึ่ง
และอีกทางหนึ่งก็ทำให้ตัวสุนักขัตตะเองดูต่ำทรามในสายตาของปัญญาชน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พึงระวัง อย่าเป็นเหมือน สุนักขัตตะ เสียเอง