“เราทำบางเวลาหล่นหายไปหรือเปล่า”
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่ผมจะได้ออกไปเที่ยว 2 ชุมชน กับ 2 จังหวัดภาคอิสาน
คือหนองคายแล้วก็ขอนแก่น ที่ผมลุยเดี่ยวไปเที่ยวมาไม่นานนี้
_____________________________________________________________
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับ ผมเป็นหนุ่มออฟฟิศทำงานมาได้ซักพักแล้ว ความตั้งใจอย่างแรกของผมที่มันถูกจุดติดตั้งแต่ตอนเรียนประมาณปี 3 ก็คือ อยากออกไปท่องเที่ยวแบบคนเดียว เพราะชอบติดตามกลุ่มในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการแบกเป้เที่ยวคนเดียวมาก จนมีหลายครั้งที่เกือบจะได้ไปคนเดียวจริงๆ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดอ่ะครับ “พังลงไม่เป็นท่า”
ก็มีอีกบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมนัดหมายกับเพื่อนที่จะออกไปแตะขอบฟ้า ที่ต่างจังหวัดออกไปสัมผัสท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีควันรถอย่างในกรุงเทพเหมือนกันกับผม นัดกันดิบดีแต่ก็ “พัง” ทุกทีเช่นกัน
ในที่สุดความฝันของผมมันก็ “หล่นหาย” ไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ จนโผล่เข้าอีกทีก็ตอนที่ผมทำงานมาได้ซักพักแล้ว ความฝันที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับเงินทองที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จนที่สุดผมจึงตัดสินใจวางแผนการออกไปท่องเที่ยวอีกครั้ง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสุขที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้สัมผัสเหมือนที่ผมได้รับกันครับ
ผมตั้งใจที่จะเดินทางไปเที่ยวด้วยการ “วางแผนว่าจะไม่วางแผน” ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเป็นการลุยเดี่ยว ลองดูว่าถ้าไปแบบไม่รู้อะไรจะเป็นอย่างไรบ้าง
ยังไงก็แล้วแต่ ต้องออกตัวก่อนเลยนะครับว่า ผมเป็นตากล้องมือใหม่ ยืมกล้องแฟนเก่ามา พร้อมเลนส์อะไรไม่รู้วุ่นวายหลายอย่างเต็มไปหมด ถ้ารูปสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง ก็เมตตาผมในจุดนี้ด้วย 5555
ทริปเดินทางของผมเริ่มต้นขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 มิถุนายน 2561 แล้ววันจันทร์ก็แบกร่างมาทำงานต่ออีก โหดพอหรือเปล่าครับคุณผู้อ่าน
ผมเลือกที่ท่องเที่ยวที่จะไปจากรีวิวที่เคยมีคนมาแบ่งปันไว้ เป็นสถานที่น่าสนใจแต่หลายคนมองข้ามมันไปและจากข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆที่ผมหาในอินเตอร์เน็ต ได้ที่พักแบบโฮมสเตย์มา 2 ที่ ผมเลือกที่แรกคือที่…
….โฮมสเตย์วังน้ำมอก อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย….
ทำไมต้องวังน้ำมอกอาจจะเป็นคำถามที่คุณอยากถามผมเป็นอันดับแรก
ตอบเลยครับ ก็เพราะเป็นชุมชนที่เงียบสงบ ท่ามกลางเขารอบๆ
คิดว่าการเดินทางไปพบสถานที่ใหม่ๆ เงียบๆ คงจะได้พักผ่อน ได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่
ส่วนที่ต่อไปคือ
….ศิลาโฮมสเตย์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นครับ….
ส่วนทำไมต้องศิลาโฮมสเตย์หรอครับ ก็เพราะอยากได้บรรยากาศสบายๆ คล้ายๆ
ที่บ้านเราอะไรทำนองนี้
หลังจากที่ผมเคลียร์ตัวเอง ตกลงปลงใจกับที่เที่ยวได้แล้ว ก็เริ่มโทรจองที่พักให้เสร็จสรรพ จนถึงวันที่การเดินทางของผมเริ่มต้นขึ้น…

วิธีในการเดินทางไปหนองคายอย่างแรกที่ผมอยากลองก็คือนั่งรถไฟขบวนใหม่ครับ
ที่เป็นรถไฟแบบนอนสาย “อีสานมรรคา”

รถไฟขบวนนี้เดินทางออกจากหัวลำโพงตอน 2 ทุ่ม จริงๆแล้ว จะต้องถึงสถานีรถไฟหนองคายตอน 06.40 น.
แต่ถึงจริงๆ ก็ประมาณ 07.20 น.ครับ

ผมไม่คิดเลยว่าภาพทุ่งนาแบบต่างจังหวัด แต่มีรถไฟรุ่นทันสมัยวิ่งตัดผ่านกลางทุ่งนี้เช่นนี้จะเกิดขึ้นที่เมืองไทย อาจจะดูแคลนไปหน่อย แต่ผมเห็นว่ามันสะท้อนถึงการขยายความเติบโตไปยังส่วนภูมิภาคได้อย่างลงตัว รถไฟคันอัจฉริยะแบบนี้ถือเป็นทางเลือกใหม่ของการเดินทางได้ดีจริงๆ


เยส !!!!!!! ฟ้าสางแรกที่เจอ คือที่สถานีรถไฟหนองคายนะครับ พอลงจากขบวนรถ
อยากจะโกนให้ลั่นสถานีไปเลยว่า “ฝันเป็นจริงแล้วโว้ยยย”
และแล้วผมก็มาถึง บขส. หนองคายตอน 07.40 น. ครับ ผมสอบถามคนแถวนั้นเรื่องการเดินทางไปยังอำเภอศรีเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่ตั้งแรกที่จะไป ได้รับคำแนะนำว่าให้นั่งรถคันสีส้มให้ไปลงที่ท่าบ่อแล้วต่อรถไปอีกที
คุณลุงคนขับรถบอกผมว่ารถจะออก 08.30 น. มองไปไกลๆ เห็นมีคนเดินกันพลุกพล่าน เลยสังเกตได้ว่าเป็นตลาดสด ไปเดินหาไรกินกันหน่อยดีกว่าก่อนออกเดินทาง
ตลาดสดโพธิ์ชัยเป็นตลาดสดในย่านนี้ มีคนจับจ่ายซื้อของกันเยอะในช่วงเช้า พ่อค้า แม่ค้าบอกว่าสายๆ ก็จะเก็บของกลับบ้านกันแล้ว ตลาดสดที่นี่แตกต่างกับที่ตลาดสดในกรุงเทพที่เคยเห็นตรงที่ ทุกคนใช้ชีวิตเหมือนฮิปเตอร์ สโลว์ไลฟ์กันมาก เพราะไม่มีอะไรมาเป็นตัวบังคับให้ทุกอย่างเร่งรีบ บทสนทนาระหว่างแม่ค้า กับลูกค้าก็ยาวขึ้น มีรอยยิ้มส่งมอบให้กันเพิ่มเติมจากเงินทองที่ยื่นส่ง
เวลาแห่งการเดินทางเริ่มต้นอีกครั้ง เมื่อเข็มนาฬิกาเดินทางมาถึงเวลารถออกพอดี ผมแบกสัมภาระที่ติดตัวมา ขึ้นไปบนรถ ตอนนี้รวมจำนวนประชากรบนรถได้ทั้งสิ้น 1 คนครับ 5555 คือผมเอง
รถวิ่งเลียบแม่น้ำโขง ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจากกระจกรถหลับสบายมากเลยครับ เหมือนรถคันนี้เป็นของผมคนเดียวเลยครับค่าเดินทางรอบนี้ 40 บาทถ้วน
พอมาถึงท่าบ่อ รถที่ไปศรีเชียงใหม่เที่ยวล่าสุดรถออกไปพอดี๊ พอดีครับ เซ็งมากๆ คลาดกันไปนิดเดียว ต้องรออีกนานนนนเลย ผมเลยลองวัดใจลองโบกรถที่ผ่านมาแถวนั้น จะขอติดรถ โชคเข้าข้างที่ไปเจอคุณลุงคุณป้าใจดี “บังเอิญเป็นคนที่วังน้ำมอก” ผมเลยขอติดรถไปด้วยแต่ลุงกับป้าบอกว่าขอไปทำธุระที่โลตัสก่อน หลังจากที่ลุงกับป้าเสร็จธุระ ก็พากลับบ้านแถมเลี้ยงข้าวผมด้วยนะครับ ขอบคุณไม่รู้จะขอบคุณยังไงเลย

ผมมาถึงวังน้ำมอกตอนประมาณบ่ายอ่อนๆ บรรยากาศโฮมสเตย์ที่นี่ร่มรื่นมากๆ
มีเสียงนกเสียงกากระซิบ กระซาบกันเบาๆ เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ โอ้ยยยยย อยากนอน
หลังจากที่ทานข้าวที่บ้านลุงกับป้าไปแล้วรอบนึง แต่ก็ไม่วายที่จะเติมพลังกันอีกรอบกับสำรับข้าวที่โฮมเสตย์จัดไว้ให้ อิ่มแปล้เลยครับ ออกไปถ่ายรูปได้ซักพัก ก็ง่วงนอนมากๆ เป็นไปตามสำนวน “หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน” โดยแท้ ตอนนี้ต้องขออนุญาตทุกท่านไปนอนก่อนซักงีบนะครับ ฝันดีตอนกลางวันครับ
“เฮ เฮ” เสียงเด็กๆ ประมาณ 5-6 คน ที่กำลังกระโดดน้ำจากสะพาน อย่างไม่สนใจปลาในธาร ทำเอาผมตื่นนอนมาได้พอดี บิดตัวซ้ายขวา ดื่มน้ำไปซักอึก ก่อนแบกกระเป๋ากล้องเดินออกจากห้องพักมาถ่ายรูปเด็กๆ
“พี่ๆ ถ่ายผมหน่อย” เด็กๆ ขอให้ถ่ายรูป ทำท่าเท่ พร้อมอยากอวดลีลาการกระโดดลงน้ำให้ดูอย่างเท่เลยครับ
ใจจริงก็อยากจะลงไปร่วมวงด้วย แต่ก็กลัวสนุกเกินเด็ก ขอสงวนข้อนี้ไว้ก่อนก็แล้วกันครับ
ผมได้รูปถ่ายพอให้คิดถึงสมัยไปเฝ้าพ่อที่ทุ่งนาได้นิดนึง แล้วก็เลยชวนเด็กๆ ไปร้านขายของชำแถวนั้น สวมบทเป็นคุณพ่อลูกดก เลี้ยงน้ำหวานเด็กๆ คนละขวด ให้ชื่นใจ แล้วค่อยไปเล่นน้ำต่อ
ตอนนี้เด็กๆ เล่นน้ำกันอยู่ ผมเดินลัดขึ้นไปต้นน้ำ อยู่ข้างโรงเรียนบ้านวังน้ำมอก หมาแถวนั้นก็เห่าจะกัดแหล่ ไม่กัดแหล่ จะโดนฝูงน้องหมารุมขย้ำเอาชีวิตมาตายคนเดียวหรือเปล่าเนี่ย แต่ช่วงที่ผมไปเหมือนฝนไม่ตกมาพักนึงแล้ว น้ำก็เลยน้อยไปนิดนึง แต่ยังพอมีน้ำไหลเอื่อยๆ ให้ชื่นใจครับ

ความลำบากของการเที่ยวรอบนี้คือผมมาคนเดียวครับ รูปตัวเองจะน้อยๆ หน่อย ตั้งกล้องลำบากมากๆ โอ้ ลำบากลำบนจริงๆ 5555 ต้องหามุม หาแสงอีก สาละวนนานมากครับ (ช่วงนี้เข้าสู่ช่วงอวดรูปตัวเองนะ) ที่ถือมือถือไม่ใช่อะไรนะครับ กดถ่ายรูปตัวเองครับ
******ขอพักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวไปลุยเดี่ยวกันต่อที่คอมเม้นท์ครับ*****
***** เดี๋ยวจะมาต่อโฮมสเตย์ตอนกลางคืนครับ ขอบอกว่าสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ****
#แบกเป้ลุยเดี่ยว เที่ยวอิสาน ณ วังน้ำมอก - ศิลาโฮมสเตย์
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่ผมจะได้ออกไปเที่ยว 2 ชุมชน กับ 2 จังหวัดภาคอิสาน
คือหนองคายแล้วก็ขอนแก่น ที่ผมลุยเดี่ยวไปเที่ยวมาไม่นานนี้
_____________________________________________________________
ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนนะครับ ผมเป็นหนุ่มออฟฟิศทำงานมาได้ซักพักแล้ว ความตั้งใจอย่างแรกของผมที่มันถูกจุดติดตั้งแต่ตอนเรียนประมาณปี 3 ก็คือ อยากออกไปท่องเที่ยวแบบคนเดียว เพราะชอบติดตามกลุ่มในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการแบกเป้เที่ยวคนเดียวมาก จนมีหลายครั้งที่เกือบจะได้ไปคนเดียวจริงๆ แต่สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดอ่ะครับ “พังลงไม่เป็นท่า”
ก็มีอีกบ่อยครั้งเหมือนกันที่ผมนัดหมายกับเพื่อนที่จะออกไปแตะขอบฟ้า ที่ต่างจังหวัดออกไปสัมผัสท้องฟ้ากว้างๆ ไม่มีควันรถอย่างในกรุงเทพเหมือนกันกับผม นัดกันดิบดีแต่ก็ “พัง” ทุกทีเช่นกัน
ในที่สุดความฝันของผมมันก็ “หล่นหาย” ไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ จนโผล่เข้าอีกทีก็ตอนที่ผมทำงานมาได้ซักพักแล้ว ความฝันที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับเงินทองที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง จนที่สุดผมจึงตัดสินใจวางแผนการออกไปท่องเที่ยวอีกครั้ง และนี่คือจุดเริ่มต้นของความสุขที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้สัมผัสเหมือนที่ผมได้รับกันครับ
ผมตั้งใจที่จะเดินทางไปเที่ยวด้วยการ “วางแผนว่าจะไม่วางแผน” ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าจะเป็นการลุยเดี่ยว ลองดูว่าถ้าไปแบบไม่รู้อะไรจะเป็นอย่างไรบ้าง
ยังไงก็แล้วแต่ ต้องออกตัวก่อนเลยนะครับว่า ผมเป็นตากล้องมือใหม่ ยืมกล้องแฟนเก่ามา พร้อมเลนส์อะไรไม่รู้วุ่นวายหลายอย่างเต็มไปหมด ถ้ารูปสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง ก็เมตตาผมในจุดนี้ด้วย 5555
ทริปเดินทางของผมเริ่มต้นขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 10 มิถุนายน 2561 แล้ววันจันทร์ก็แบกร่างมาทำงานต่ออีก โหดพอหรือเปล่าครับคุณผู้อ่าน
ผมเลือกที่ท่องเที่ยวที่จะไปจากรีวิวที่เคยมีคนมาแบ่งปันไว้ เป็นสถานที่น่าสนใจแต่หลายคนมองข้ามมันไปและจากข้อมูลเพิ่มเติมต่างๆที่ผมหาในอินเตอร์เน็ต ได้ที่พักแบบโฮมสเตย์มา 2 ที่ ผมเลือกที่แรกคือที่…
….โฮมสเตย์วังน้ำมอก อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย….
ทำไมต้องวังน้ำมอกอาจจะเป็นคำถามที่คุณอยากถามผมเป็นอันดับแรก
ตอบเลยครับ ก็เพราะเป็นชุมชนที่เงียบสงบ ท่ามกลางเขารอบๆ
คิดว่าการเดินทางไปพบสถานที่ใหม่ๆ เงียบๆ คงจะได้พักผ่อน ได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่
ส่วนที่ต่อไปคือ
….ศิลาโฮมสเตย์ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่นครับ….
ส่วนทำไมต้องศิลาโฮมสเตย์หรอครับ ก็เพราะอยากได้บรรยากาศสบายๆ คล้ายๆ
ที่บ้านเราอะไรทำนองนี้
หลังจากที่ผมเคลียร์ตัวเอง ตกลงปลงใจกับที่เที่ยวได้แล้ว ก็เริ่มโทรจองที่พักให้เสร็จสรรพ จนถึงวันที่การเดินทางของผมเริ่มต้นขึ้น…
ที่เป็นรถไฟแบบนอนสาย “อีสานมรรคา”
แต่ถึงจริงๆ ก็ประมาณ 07.20 น.ครับ
อยากจะโกนให้ลั่นสถานีไปเลยว่า “ฝันเป็นจริงแล้วโว้ยยย”
คุณลุงคนขับรถบอกผมว่ารถจะออก 08.30 น. มองไปไกลๆ เห็นมีคนเดินกันพลุกพล่าน เลยสังเกตได้ว่าเป็นตลาดสด ไปเดินหาไรกินกันหน่อยดีกว่าก่อนออกเดินทาง
รถวิ่งเลียบแม่น้ำโขง ลมเย็นๆ พัดเข้ามาจากกระจกรถหลับสบายมากเลยครับ เหมือนรถคันนี้เป็นของผมคนเดียวเลยครับค่าเดินทางรอบนี้ 40 บาทถ้วน
มีเสียงนกเสียงกากระซิบ กระซาบกันเบาๆ เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ โอ้ยยยยย อยากนอน
“พี่ๆ ถ่ายผมหน่อย” เด็กๆ ขอให้ถ่ายรูป ทำท่าเท่ พร้อมอยากอวดลีลาการกระโดดลงน้ำให้ดูอย่างเท่เลยครับ
ใจจริงก็อยากจะลงไปร่วมวงด้วย แต่ก็กลัวสนุกเกินเด็ก ขอสงวนข้อนี้ไว้ก่อนก็แล้วกันครับ
******ขอพักไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวไปลุยเดี่ยวกันต่อที่คอมเม้นท์ครับ*****
***** เดี๋ยวจะมาต่อโฮมสเตย์ตอนกลางคืนครับ ขอบอกว่าสวยมากๆๆๆๆๆๆๆๆ****