[Review] Ant-Man and the Wasp: โปรดลืมธานอสและ Infinity Stones ไปก่อน … [Spoil!]


By มาร์ตี้ แม็คฟราย
**บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ 100 %!!!

ท่ามกลางความงงงวยกับตอนจบของ Avengers: Infinity War (2018) ที่ทิ้งค้างไว้แบบสุดจะสิ้นหวัง แน่นอนว่าความคาดหวังถึงแฟนมาร์เวล ต่อหนังเรื่องต่อไปจะต้องมีอะไรที่เชื่อมโยง หรือมีอะไรให้คาดเดาได้บ้างก่อนจะไปถึง Avengers 4 ในปีหน้า

แต่หนังเรื่องสุดท้ายของมาร์เวลในปีนี้ ก็ยังคงไม่รีบร้อนที่จะพาผู้ชมไปเล่าเรื่องที่อยากรู้จนตัวสั่นเหมือนเดิม แต่เป็นการหวนกลับไปเล่าเรื่องมนุษย์มดที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่ Captain America: Civil War (2016) แถมยังไม่ปรากฏตัวในสงครามชิงอัญมณีใน Infinity War อีกต่างหาก อย่างน้อยก็เป็นการคลายความสงสัยในคำถามที่ว่า แอนน์แมนหายไปไหนใน Infinity War?

สิ่งแรกที่มาร์เวลยังคงยึดถือปฏิบัติเช่นเดิมคือความไม่รีบร้อนในการเล่าเรื่อง แม้ว่าเส้นเรื่องหลักในจักรวาลจะขมวดปมถึงจุดแตกหักอย่างไร แต่มาร์เวลยังคงใจเย็นและมีความมั่นใจมากพอว่ายังมีเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ที่มีความน่าสนในมากพอที่มาคั่นกลาง และแน่นอนว่ามันจะส่งผลถึงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งทั้งหมดนั้นผ่านการวางแผนเส้นเรื่องในระยะยาวมาเป็นอย่างดีจากบรรดาหัวกะทิในมาร์เวลและบอสใหญ่อย่าง เควิน ไฟกี มาแล้ว

อีกสิ่งหนึ่งคือความเป็นเอกเทศของตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องมุ่งหาการรวมจักรวาลหรือเส้นเรื่องหลักเพียงอย่างเดียว หากแต่ในหนังมีเรื่องราวของตนเอง มีเอกลักษณ์และอารมณ์หนังเฉพาะตัวสูงลิบ อารมณ์แบบหนังเรื่องก่อนก่อนหน้านี้ใครจะดีดนิ้วล้างชีวิตครึ่งจักรวาลกูไม่สนใจ กูจะเล่าเรื่องมิติควอนตัม เรื่องครอบครัว และความฟีลกู้ดแบบภาคแรกไป คล้ายเป็น Guardians of the Galaxy Vol. 2 (2017) ที่มีโทนหนังเหมือนภาคแรก และเรื่องราวที่เป็นเอกเทศกับเส้นเรื่องหลักมาก ๆ เสมือนเป็นหนังเดี่ยวที่ยืนได้ด้วยตนเอง

สองสิ่งนี้จึงเป็นข้อดีของมาร์เวลที่ยังคงมีให้เห็นเสมอ ทั้งการวางแผนมาเป็นอย่างดีกับเรื่องราวของหนังทุกเรื่อง รวมถึงความกล้าหาญในการนำเสนอหนังแต่ละเรื่องโดยมีอารมณ์แตกต่างกันออกไป โดยไม่จำเป็นต้องคิดถึงการเป็น ‘จักรวาล’ มากจนเกินไป

แต่ถึงตัวหนังจะมีความเอกเทศขนาดไหนแต่ยังไงก็หนีข้อบังคับในเรื่องสงครามอินฟินิตี้ไม่พ้นอยู่ดี ซึ่งจุดเชื่อมโยงก็มาในช่วงเครดิตแรก ที่เราจะรู้ในเส้นเรื่องของแอนท์แมนมากขึ้นว่าใน Avengers 4 เขาได้อยู่ตรงไหนแต่ต้องเผชิญกับอะไร ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้เกินความคาดเดาแต่อย่างใด แต่คำถามกลับเกิดขึ้นอีกว่าในช่วงที่ทั้ง แฮงค์ พิม, เจเน็ต และ โฮป แวน ไดน์ กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกครึ่งจักรวาลที่ถูกกำจัดจนสลายเป็นผุยผงจากการดีดนิ้วล้างครึ่งจักรวาล แต่เหตุการณ์นั้นมันเกิดหลังจากที่พวกลูกธานอสมาบุกโลกแล้ว อีโบนี มาว ก็มาบุกนิวยอร์กสู้กับ ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ จนพังเละไปแล้ว พรรคพวกส่วนเหลือก็มาบุกวาคานด้าจนเป็นสงครามไปแล้ว แตช่วงนั้นสก็อตต์กับโฮปไม่รู้อะไรเลยเหรอ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบนโลก หรือถ้ารู้จะไม่ออกไปช่วยหรือทำอะไรหน่อยหรือ ถ้าพรรคพวกอเวนเจอร์สออกไปต่อสู้พร้อมหน้าขนาดนั้น ...

โดยภาคนี้ ‘มุกตลก’ เป็นสิ่งแรกที่โดดเด่นอย่างชัดเจน ซึ่งเอาจริง ๆ ก็มีให้เห็นมาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่ภาคนี้จัดเต็มกว่าเดิม โดยวิธีการแสดงตลกของ พอล รัดด์ ยังคงทำงานได้อย่างดีเสมอ (ประกอบกับที่เขาเองก็เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทของหนัง ทำให้จัดเต็มกับมุกตลกได้เต็มที่) แม้บางมุกจะขำบ้างไม่ขำบ้าง แต่ก็เรียกรอยยิ้มได้ตลอด และโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นมุกตลกไดอะล็อกที่ฉลาดและเข้าท่ากว่ามุกตลก 5 บาท 10 บาทใน Thor: Ragnarok (2017) โดยรวม ๆ แล้วอารมณ์และโทนหนังในภาคนี้ไม่ต่างจากภาคแรก คือเป็นหนังที่ย่อยง่าย ดูสนุก แต่ปัญหาเดิม ๆ ของมาร์เวลที่มีให้เห็นกันบ่อยครั้งอย่างตัวร้าย ในภาคนี้ดีขึ้น แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามเกิดขึ้นอยู่ดี

เราคงไม่ต้องไปพูดถึงตัวร้ายภาคก่อนอย่าง แดเรน คอร์ส หรือ เยลโล่แจ็คเก็ต ที่ไม่มีน่าจดจำชนิดที่ตายแล้วก็ตายไป พอมาถึงภาคนี้เป็นทีของ โกสต์ ที่ดูดีขึ้นทั้งรูปลักษณ์ภายนอก พลังที่น่าสนใจและต่อกรยาก รวมถึง Background ตัวละครที่มีเรื่องราวและความน่าสงสารในตัวเอง แต่มาตกม้าตายตรงบทภาพยนตร์ที่ไม่สามารถเล่าประวัติตัวละครนี้โดยมีเกี่ยวข้องกับมิติควอนตัมได้ดีพอ เพราะหนังให้เวลากับย้อนอดีตของเธอเพียงฉากเดียว ผ่านศัพท์เฉพาะทางฟิสิกส์ที่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าใจได้ทันที สำหรับคนดู จึงทำได้เพียงแค่เข้าใจว่าผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายที่ส่งผลต่อชีวิตและความตายในเวลาอันใกล้ แต่กลับไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของการกระทำตัวละคร ว่าแบบนี้ไปเพื่ออะไรเสียอย่างนั้น ...

ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่