แดดเปรี้ยงในยามบ่ายที่กัวดาฮารายิ่งทำให้การโคจรมาพบกันของแชมป์ยุโรปและแชมป์โลกสามสมัยร้อนแรงขึ้นไปอีก
ผู้คนทั่วโลกที่ต่างเฝ้ารอคอย การพบกันของสองนักเตะผู้ยิ่งใหญ่จากสองทวีป
หนึ่งคือนักเตะผู้ได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติบราซิล ซิโก้ ผู้ได้รับฉายาว่า "เปเล่ขาว"

กับบุรุษที่ได้รับสมยานามว่า นโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ ชาวฝรั่งเศสต่างหมายมั่นว่าชายผู้นี้จะพาฝรั่งเศสเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก

บราซิล คุมทีมโดยเทเล ซานตาน่า หวังจะลบล้างความผิดหวังในปี 1982 ที่พลาดท่าตกรอบด้วยน้ำมือของ เปาโล รอสซี่และพลพรรคอัซซูรี่ไปอย่างน่าเจ็บใจ ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามมากที่สุดยุคหนึ่งในช่วงเวลานั้น

และนี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ ซิโก้ ถ้าไม่ได้แชมป์หนนี้ ก็คงต้องรอการเกิดของเทพเจ้าฟุตบอลคนต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

สองทีมโคจรมาพบกันในรอบแปดทีมสุดท้ายในเวลาที่เหมาะสม เมื่อบราซิลผ่านโปแลนด์ในรอบสองมาแบบสบาย ในขณะที่ฝรั่งเศสของพลาตินี่เขี่ยแชมป์เก่าอิตาลีตกรอบไปอย่างไม่ยากเย็น
ช่างเป็นเวลาที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่เพียงแต่แฟนบอลสองชาติ แต่นี่คือวันที่แฟนบอลทั่วโลกต่างรอคอย

บราซิลมีจอมทัพบัญชาเกมที่สง่างาม คือ โซคราติส คุณหมอยอดนักเตะ ในขณะที่รอบกายของมิเชล พลาตินี่ มียอดขุนพลอย่าง ฌอง ติกาน่า หลุยส์ เฟอร์นองเดซ อแลงค์ จิแรส มานูเอล อโมโรส โดมินิค โรเชอตู

กาเรก้า คือศูนย์หน้าที่มีความห้าว และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรง พร้อมจบสกอร์ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับมุลเลอร์ปีกดาวรุ่งที่มีความไวเป็นจรวด

ฟูลแบ็คสองข้าง คือ จอมบุกที่พร้อมขึ้นมาตะบันลูกระยะไกล ทั้งบร้งโก้ แบ๊คซ้าย และโจซิมาร์ ที่ซัดลูกใบ้ร่วงมาแล้วถึงสองลูกในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม

กาเรก้าซัดประตูสุดสวยให้แซมบ้าขึ้นนำเมื่อเกมเริ่มต้นไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที

กาเรก้า ที่ต่อมาคือศูนย์หน้าที่เล่นเคียงข้างกับ มาราโดน่า และ อเลเมา มิดฟีล์ดแซมบ้าอีกคนในทีมนาโปลียุครุ่งเรือง
หากในยุคที่ เอซีมิลาน มีสามประสานจากฮอล์แลนด์ และอินเตอร์มิลาน มีสามทหารเสือทีมชาติเยอรมัน (โลธาร์ มัทเธอุส ,อันเดรส เบรเมห์ และเจอร์เกนส์ คลิ้นส์มันส์) นาโปลีก็มี สามประสานจากอเมริกาใต้ เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อ ใน่ช่วงปี1990

อเลเมา เพลย์เมคเกอร์ทางฝั่งขวาที่ประสานงานกับโซคราเตส และจูเนียร์

แชมป์ยุโรปก็ไม่ปล่อยให้แซมบ้าได้เปรียบนานเกินไป ประตูตีเสมอได้มาในเวลาที่พวกเขาต้องการ ทำให้เกมกลับมาสูสีกันอีกครั้ง
ซิโก้ไม่ได้มีชื่ออยู่ในผู้เล่นตัวจริงเนื่องจากสภาพความฟิตไม่สมบูรณ์ แต่ก็พร้อม และถูกส่งลงมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในยามที่แซมบ้าต้องการการสร้างสรรค์เกมที่แสนวิเศษจากเขา

ทั้งสองทีมสร้างสรรเกมบุกใส่กัน อย่างสนุกตื่นเต้นตลอดเก้าสิบนาที ไปจนถึงช่วงต่อเวลา

เรื่องเหลือเชื่อสำหรับแฟนบอลทั้งประเทศ ก็เกิดขึ้นเมื่อซิโก้ พลาดจุดโทษในเวลาที่เป็นโอกาสให้บราซิลขึ้นนำและเก็บชัยชนะไปอย่างน่าเสียดาย

โซคราเตส ผู้ทำหน้าที่เป็นจอมทัพของบราซิลตลอดทั้งเกม ยิงจุดโทษไม่เข้า
ด้วยสเต็พเท้าเพียงก้าวเดียวของเขาในการสังหารจุดโทษมานักต่อนักกลับเป็นภาพที่ติดตาแฟนบอลทั่วโลกในการพลาดลูกสำคัญครั้งนี้

มิเชล พลาตินี่ ยิงลูกจุดโทษพลาดเช่นกัน แต่ทีมฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุด
เมื่อลูกโทษสำคัญจากผู้เล่นฝรั่งเศสที่ยิงไปชนเสาออกมากระดอนใส่หลังคาร์ลอสผู้รักษาประตูแซมบ้าเข้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้ายฝรั่งเศสเองกลับไม่สามารถผ่านเยอรมัน(ตะวันตก) เข้าไปชิงแชมป์ได้ดังหวัง มิเชล พลาตินี่ ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่พาฝรั่งเศสเป็นแชมป์โลก!
ฟุตบอลโลกรอบแปดทีมสุดท้าย ในปี 1986 คือหนึ่งในการแข่งขันที่ถือว่าเป็นแมทช์คลาสสิกที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง แม้ว่าในภายต่อมา บราซิล กับ ฝรั่งเศสจะได้โคจรกลับมาเจอกันในรอบสำคัญของฟุตบอลโลก แต่ก็ไม่มีครั้งใดที่จะสนุกตื่นตาตื่นใจเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเท่ากับ World Cup Mexico '86 อีกเลย
[CR] ฟุตบอลโลก ที่งดงามในความทรงจำ Brasil vs France in World Cup 1986 : "The Classic"
ผู้คนทั่วโลกที่ต่างเฝ้ารอคอย การพบกันของสองนักเตะผู้ยิ่งใหญ่จากสองทวีป
หนึ่งคือนักเตะผู้ได้ชื่อว่าเก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมชาติบราซิล ซิโก้ ผู้ได้รับฉายาว่า "เปเล่ขาว"
กับบุรุษที่ได้รับสมยานามว่า นโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ ชาวฝรั่งเศสต่างหมายมั่นว่าชายผู้นี้จะพาฝรั่งเศสเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก
บราซิล คุมทีมโดยเทเล ซานตาน่า หวังจะลบล้างความผิดหวังในปี 1982 ที่พลาดท่าตกรอบด้วยน้ำมือของ เปาโล รอสซี่และพลพรรคอัซซูรี่ไปอย่างน่าเจ็บใจ ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้สวยงามมากที่สุดยุคหนึ่งในช่วงเวลานั้น
และนี่อาจจะเป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ ซิโก้ ถ้าไม่ได้แชมป์หนนี้ ก็คงต้องรอการเกิดของเทพเจ้าฟุตบอลคนต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
สองทีมโคจรมาพบกันในรอบแปดทีมสุดท้ายในเวลาที่เหมาะสม เมื่อบราซิลผ่านโปแลนด์ในรอบสองมาแบบสบาย ในขณะที่ฝรั่งเศสของพลาตินี่เขี่ยแชมป์เก่าอิตาลีตกรอบไปอย่างไม่ยากเย็น
ช่างเป็นเวลาที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่เพียงแต่แฟนบอลสองชาติ แต่นี่คือวันที่แฟนบอลทั่วโลกต่างรอคอย
บราซิลมีจอมทัพบัญชาเกมที่สง่างาม คือ โซคราติส คุณหมอยอดนักเตะ ในขณะที่รอบกายของมิเชล พลาตินี่ มียอดขุนพลอย่าง ฌอง ติกาน่า หลุยส์ เฟอร์นองเดซ อแลงค์ จิแรส มานูเอล อโมโรส โดมินิค โรเชอตู
กาเรก้า คือศูนย์หน้าที่มีความห้าว และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรง พร้อมจบสกอร์ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับมุลเลอร์ปีกดาวรุ่งที่มีความไวเป็นจรวด
ฟูลแบ็คสองข้าง คือ จอมบุกที่พร้อมขึ้นมาตะบันลูกระยะไกล ทั้งบร้งโก้ แบ๊คซ้าย และโจซิมาร์ ที่ซัดลูกใบ้ร่วงมาแล้วถึงสองลูกในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม
กาเรก้าซัดประตูสุดสวยให้แซมบ้าขึ้นนำเมื่อเกมเริ่มต้นไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาที
กาเรก้า ที่ต่อมาคือศูนย์หน้าที่เล่นเคียงข้างกับ มาราโดน่า และ อเลเมา มิดฟีล์ดแซมบ้าอีกคนในทีมนาโปลียุครุ่งเรือง
หากในยุคที่ เอซีมิลาน มีสามประสานจากฮอล์แลนด์ และอินเตอร์มิลาน มีสามทหารเสือทีมชาติเยอรมัน (โลธาร์ มัทเธอุส ,อันเดรส เบรเมห์ และเจอร์เกนส์ คลิ้นส์มันส์) นาโปลีก็มี สามประสานจากอเมริกาใต้ เป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อ ใน่ช่วงปี1990
ซิโก้ไม่ได้มีชื่ออยู่ในผู้เล่นตัวจริงเนื่องจากสภาพความฟิตไม่สมบูรณ์ แต่ก็พร้อม และถูกส่งลงมาสร้างความเปลี่ยนแปลงในยามที่แซมบ้าต้องการการสร้างสรรค์เกมที่แสนวิเศษจากเขา
ทั้งสองทีมสร้างสรรเกมบุกใส่กัน อย่างสนุกตื่นเต้นตลอดเก้าสิบนาที ไปจนถึงช่วงต่อเวลา
เรื่องเหลือเชื่อสำหรับแฟนบอลทั้งประเทศ ก็เกิดขึ้นเมื่อซิโก้ พลาดจุดโทษในเวลาที่เป็นโอกาสให้บราซิลขึ้นนำและเก็บชัยชนะไปอย่างน่าเสียดาย
ด้วยสเต็พเท้าเพียงก้าวเดียวของเขาในการสังหารจุดโทษมานักต่อนักกลับเป็นภาพที่ติดตาแฟนบอลทั่วโลกในการพลาดลูกสำคัญครั้งนี้
มิเชล พลาตินี่ ยิงลูกจุดโทษพลาดเช่นกัน แต่ทีมฝรั่งเศสก็เป็นฝ่ายชนะในที่สุด
เมื่อลูกโทษสำคัญจากผู้เล่นฝรั่งเศสที่ยิงไปชนเสาออกมากระดอนใส่หลังคาร์ลอสผู้รักษาประตูแซมบ้าเข้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ
สุดท้ายฝรั่งเศสเองกลับไม่สามารถผ่านเยอรมัน(ตะวันตก) เข้าไปชิงแชมป์ได้ดังหวัง มิเชล พลาตินี่ ไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่พาฝรั่งเศสเป็นแชมป์โลก!
ฟุตบอลโลกรอบแปดทีมสุดท้าย ในปี 1986 คือหนึ่งในการแข่งขันที่ถือว่าเป็นแมทช์คลาสสิกที่สวยงามและตื่นตาตื่นใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง แม้ว่าในภายต่อมา บราซิล กับ ฝรั่งเศสจะได้โคจรกลับมาเจอกันในรอบสำคัญของฟุตบอลโลก แต่ก็ไม่มีครั้งใดที่จะสนุกตื่นตาตื่นใจเปี่ยมไปด้วยคุณภาพเท่ากับ World Cup Mexico '86 อีกเลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้