เว้นจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ไม่มีบรรพชา

กระทู้คำถาม
๔๑๘. หิยฺโยติ หิยฺยติ โปโส ปเรติ ปริหายติ.
คนที่ผัดวันว่าพรุ่งนี้ ย่อมเสื่อม ยิ่งว่ามะรืนนี้ ก็ยิ่งเสื่อม.
ขุ. ชา. วีส. ๒๗๔๖๖.

“หากเห็นว่า สิ่งนั้นสมควร คือแปลว่า มีผลน้อยที่จะตัดขาดจากความเสียหาย คือข้อที่ให้เราเห็นว่า ผู้ดี และ สะ เพื่อนพรหมจารีจะเข้าใจผิด เมื่อจะแยกความหมายออกจากกันดั่งนั้นแล้ว จะทำไปได้ตลอด จะทำไม่ได้, เช่นนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวคำศัพท์ว่า เป็น คมนาการ เป็น คมนียารมณ์ ที่ต่อไปก็จะนำตนไปให้ขาดจากอกุศล หรือความเสียหายนั้นไม่ได้ เพราะว่าการที่จะไปถึงสิ่งสมควร เป็นอันไม่รับรองกันแล้ว กับผู้ดี หรือเพื่อนพรหมจรรย์ที่อยู่ในอาวาสเดียวกัน ที่เป็นอย่างหนึ่งที่กุศลจะเกิด ก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้อีกต่อไป

ซึ่งทางที่ผู้ฉลาด จะอยู่ผู้เดียวก็มีอยู่ คมนาการ หรือคมนียารมณ์ จะเป็นไปได้นั้น จึงให้ต้องหวังตัดเสียซึ่งบาปทางพฤติกรรมที่ต่างกัน ซึ่งทางที่ผู้ฉลาดดั่งนั้น จะกระทำมีอยู่ก็จริง แต่อยากให้เข้าใจอย่างหนึ่งว่า การกระทำตนให้อ่อนกำลัง ด้วยหนทางลำบาก ที่คิดว่าตนควรจะอยู่ร่วมกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ ตามที่จะไม่อนุมัติต่อความเสียหาย ที่เป็นไปอยู่ และพาให้ดำเนินการรักษากันแม้ทางใจ คือเห็นผู้ที่เป็นอย่าง กระทำตนอยู่, มีผู้เป็นอย่างนั้น จึงหมายความว่า สพฺรหฺมจารี คือเป็นอย่าง ที่จะให้ไกลจากวิสภาค จากธรรม ที่ต้องได้เป็นอกุศล ที่เป็นสิ่งอัน ซึ่งอย่างไรก็แล้วแต่ ไม่อาจจะรับรองได้

คือได้ชี้แจงเป็นคำศัพท์ คือทำแบบนี้ ต้องให้เรียกว่า ใกล้ ๆ วิสภาค คือไม่ใคร่นัก คือไม่อาจจะอยู่ร่วม ให้ได้ใกล้กันเข้ามา คือถ้าจะนับมาก ๆ ตามความจริงล่ะก็ ก็นับว่าควรกั้น หรือคั่นกันไว้ด้วยยุคสมัยเลยทีเดียว เป็นคนละกาลคนละสมัยเลยทีเดียว จึงให้การอยู่ร่วมนั้นเฉียด ๆ กันเข้ามา แล้วบอกให้เห็น หรือให้เรียน ให้รู้ได้ในสิ่งเดียวกัน, แต่!ครั้งจะให้เป็น “สะ” คือเป็นเพื่อนพรหมจารีนั้นผิดไป เพราะไม่เอาด้วยสมัยด้วยกาล ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงต้องอธิบายพรหมจรรย์ในศาสนานี้ยกขึ้น ให้เห็น

ได้แก่ การที่อยากให้ได้เห็นกันตามเป็นจริง ว่าที่ใดมีบรรพชา หรือว่าที่นั้นไม่อาจมีบรรพชา, อธิบายเพราะว่า พรหมจรรย์ในศาสนานั้น ไม่ใช่กล่าวแต่ว่าจะต้องมีบรรพชา ใช่หรือไม่! เพราะโลกหรือสภาพ ภาวะบางชนิดนั้น เว้นจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ไม่มีบรรพชา คือทางตำราก็แสดงไว้ทำนองนี้เช่นกัน ก็ซึ่งการบำเพ็ญในเนกขัมมะนั้นมีได้ ด้วยการตั้งบรรพชาให้เป็นเหตุมาก่อน จึงเรียกว่ามีการประพฤติปฏิบัติตนบำเพ็ญเพียรในเนกขัมมะบารมี, ซึ่งเรื่องบารมีนี้ หนัก และยิ่งใหญ่ กว่าเรื่องกายนคร! ที่พูดไปแล้ว หนักและยิ่งใหญ่เพราะว่า ต้องถือในพระมหาวิหาร วิหารธรรม ตามเถรวาทนิกายนี้เป็นอาวาส อาวาสอันที่จะเกิดแก่ธรรมะ อย่างไร?อย่างนั้นจึงตั้งขึ้น

ตามอาวาสที่จะเกิดแก่สาราณีธรรม เกิดแก่บรรพชา อันไม่มีในที่อื่น ซึ่งจะเรียกว่าบำเพ็ญอยู่ซึ่งเนกขัมมะบารมี และให้เกิดได้เห็นแก่กันบ้าง ว่า ผู้ดี และสพรหมจารี เพื่อนในอาวาสวิหาร ทุก ๆ ราย จะไม่เข้าใจผิดแล้วเกิดแก่อกุศล จะเข้าใจถูก แล้วไม่พ้นต่อสิ่งที่สมควรกระทำต่อกันในทางศาสนา, เช่นการที่ใครไม่ให้มีบรรพชา เป็นต้นนั้น กระทำได้ แล้วพ้นกระทำจากกันไปคนละทิศละทาง กระทำให้ชื่อว่าบวชอย่างกาลเมื่อไม่มีศาสนา แล้วตั้งตนอยู่ ดั่งนี้

แต่!ครั้งว่า หากเมื่อมีกาลศาสนาอยู่ ตนเอง เราและเขา คนอื่น ๆ อีกโดยมาก ก็รู้แน่ว่าในตนเองยังไม่ถึงซึ่งอริยมรรคอริยคุณ และแม้ว่าความเพียรอันไม่ถอยกลับอย่างหนึ่งนั้น ตนก็ยังไม่เฉียดจะได้ เช่นนั้น ก็เรียกว่าไม่ได้มีพรหมจรรย์ในศาสนา ก็เห็น ๆ ชัด ๆ อยู่แล้ว แต่เราว่า เราประพฤติพรหมจรรย์นั้น มีเนกขัมมะ เขาว่าผิดอยู่ ถ้าเราไม่ได้ถือตนที่การออกบวช จึงเป็นสมัยที่ผิดอยู่ หากนับถือตามการมีศาสนาอยู่แล้ว ก็ย่อมถือว่าเราไม่มีพรหมจรรย์ เพราะพรหมจรรย์ในศาสนานั้น หมายถึงการให้มีบรรพชา การให้มีอุปะสัมโมทนี ซึ่งธรรมที่ประกาศแล้วอยู่โดยสงฆ์ เว้นข้อนี้ไป เว้นแต่ที่เป็นเทวโลก หรือสภาวะโลกอื่นจึงไม่ต้องมี, ข้อนี้จะถือว่า เราฉลาด เราได้ตั้งการบำเพ็ญตน แต่เขาว่า ไม่!, ไม่เพราะว่า สะ คือสภาคทางคุณธรรมของเรา ตัวเรา “เราคั่น!ยุคสมัย” เราคั่นยุคสมัยปัจจุบันตามความเป็นจริง เราไม่ได้อ้างบรรพชาตามจริง อันมีกาลศาสนา อันที่ซึ่งมีการบรรพชา ที่ประทานให้มีสืบต่อมาโดยดี ด้วยบรรพชาจากองค์พระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง”

พรรษา
ฤดูฝน, ปี, ปีของระยะเวลาที่บวช
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่