ถูกหลอกลวง โดยญาติแท้ๆ ตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน สามารถดำเนินคดีใดได้บ้างคะ ? ผู้รู้ช่วยตอบทีค่ะกราบงามๆล่วงหน้า

ร้องไห้
Facepalmเรื่องเล่า จากชีวิตจริงค่ะ อาจจะมีซีเรียสบ้างนะคะ ขออนุญาตเล่าทุกอย่างตาม ไทม์ไลน์ละกันนะคะ


          ตัวละครหลักในเรื่องคือ พ่อ แม่ ยาย ฉัน  น้องสาวคนที่ 1 (จะใช้สรรพนามสั้นๆว่า น้อง ป.), น้องชาย และน้องสาวคนที่ 2 (จะใช้สรรพนามสั้นๆเรียกว่าน้อง จ.)


พ.ศ.2547      ฉันอายุ 15 ปี พ่อกับแม่แยกทางกัน อาศัยบ้านของทางคุณทวด(แม่ของปู่)ที่ยู่ในจังหวัดนนทบุรี ซึ่งอยู่ตั้งแต่เด็กๆพร้อมสมาชิก แม่ และน้อง 3 คน แต่พ่อก็เริ่มไปอยู่บ้านกับแฟนใหม่ค่ะ สักพักน้องป.ก็ไปมีแฟน จึงย้ายไปอยู่ห้องพักกับแฟนนาง และต่อด้วยน้องชายที่ย้ายออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ที่คอนโดของป้า (พี่สาวของพ่อ) ตามลำดับค่ะ


เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554      ดิฉันหนีออกจากบ้านที่จังหวัดนนทบุรีค่ะ จากคำหลอกลวงของน้องป. ที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกหลอกวันนี้ ซึ่งช่วงที่หนีเป็นช่วงที่ดิฉันยังฝึกงานโครงการสหกิจศึกษา อยู่ย่านลาดพร้าว ถ.วิภาวดี ระยะเวลาฝึกทั้งหมด 4 เดือน ตอนนั้นฝึกงานผ่านมาได้เกือบสองเดือนละค่ะ ระหว่างฝึกงาน เคยส่งส.ค.ส.ให้ยาย แต่น้องป. บอกว่าส่งสคส. ไปหายายเหรอ ยายบอกส่งมาเพราะอยากจะขอยืมเงินยายใช่มั้ย ? ตั้งแต่นั้นก็ไม่คิดจะติดต่อยายอีกเลยค่ะ เหตุผลของเราส่วนตัวที่หนีคือ ตอนนั้นแม่จะเช่าหอให้น้อง จ. อยู่ใกล้โรงเรียน ซึ่งเราไม่เห็นด้วย เพราะมหาวิทยาลัยของเราก็ไกล แต่เรายังนั่งรถเมล์ไปเรียนเลย น้องป.ก็รู้ว่าเรามีปัญหานี้กับแม่ กับน้องจ. และอยากเคลียบ้านให้ไม่มีคนอยู่ นางจึงลวงเราให้มาอยู่กับนาง โดยให้เหตุผลว่า เข้าใจความรู้สึกเราทุกเรื่อง อยากช่วยเหลือ สถานที่อยู่ของนางอยู่ใกล้กับที่เราฝึกงานมากกว่า และได้อยู่กันกับน้องสาวแท้ๆ ดูแล้วปลอดภัย อีกทั้งนางยังบอกว่าน้องจ.ขโมยทองยายไปเป็นคนไม่ดี อย่าไปอยู่กับน้องจ. เราจึงไปอยู่กับน้องป.ค่ะ ในปีนี้ยายบอกแม่ว่าทอง 30 บาทหาย ผู้ต้องสงสัยคือน้องป. และน้องจ.ค่ะ จากนั้นเราก็อาศัยอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ ถนนเกษตรนวมินทร์ มาโดยตลอด ซึ่งไม่ได้อยู่ฟรีๆนะ เราช่วยค่านำ้ค่าไฟ ให้กับทางแม่ผัวของน้องป. เดือนละ 500 บาททุกเดือน ช่วงนั้น เรากู้กยศ.เรียน + ทำงานพิเศษทั้งสตาฟทัวร์ + งานยืนตามเชลล์ในห้างสรรพสินค้าต่างๆ แถมได้ดูแลน้องป. ระหว่างนางตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 (คนละสามีกับลูกคนแรก ซึ่งนางเอาลูกคนที่ 1 ไปฝากยายเลี้ยงที่บ้านยายอยู่ภาคอีสานค่ะ ส่วนสามีนั้นหย่ากันไปแล้ว)


มีนาคม พ.ศ.2555           เรียนจบ และรับปริญญา ทำงานฟรีแลนซ์แบบเรื่อยๆเป็นไกด์ เลี้ยงลูกของน้องสาว ซึ่งเราคิดว่าเป็นหลานแท้ๆ เลยช่วยกันเลี้ยง ทั้งที่เราก็อยากไปเรียนสอบโทอิคหรืออ่านหนังสือให้เต็มที่ แต่ก็น่าเสียดาย นางให้เราค่าเลี้ยงลูก ล้าง+ลวกขวดนม เดือนละ 3,000 บาทแต่เราก็จำใจ เพราะเห็นแก่หลานที่เป็นสายเลือดของเรา ระหว่างนั้นก็มีเพื่อนคนจีนชวนไปทำงานที่ย่านสาทร คนละซีกโลก แต่เพื่อให้ได้ภาษาจีน จึงไปทำงานเป็นเลขาคนจีนอยู่ประมาณ 4 เดือน เวลานั้น น้องป. นางให้รถผัวนางเรายืมขับไปสอบใบขับขี่ เพราะนางได้ซื้อรถใหม่ให้ผัวนาง เราก็จำได้ว่ามีทั้งมาสด้า MX5 จากนั้นนางขาย เพื่อนำเงินไปซื้อรถซูบารุ คันละ 2 ล้านบาท น้องป.กินดีอยู่ดี กินอาหารข้างถนนไม่ได้ กินในห้างทุกวันค่ะ


กพ. 2556 ลาออกจากบริษัทของเพื่อน เพราะอยากไปเรียนภาษาสำหรับสอบโทอิค คิดอยากมีเวลาให้กับตัวเองสักพักตังเก็บเริ่มหมด ขายโน้ตบุก ของใช้ประทังชีวิต แต่เพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันส่งข้อมูลบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนไทยให้มาลองสมัคร จึงยื่นรีซูเม่ และสอบผ่านจนได้ทำงานที่นี่ มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ได้งานใหม่ แต่ยังคงอยู่ที่บ้านแม่ผัวของน้องป. จนเริ่มเกิดความรู้สึกระแคะระคายหลายๆอย่าง ช่วงนั้นน้องป.บอกเราว่าลุงแดงจะโอนเงินมาให้ใช้ ให้ช่วยไปถอนเงินให้หน่อย จะเอาเงินมาใช้จ่ายในบ้าน นางบอกประมาณจำนวนเงิน เราก็ไปโอนให้ เพราะนางบอกว่าลุงโอนเงินให้นางแต่เป็นแค่ชื่อบัญชีเราเฉยๆ เราก็เชื่อใจพี่น้องกัน เดี๋ยวถ้าถาม จะหาว่าเราไม่ไว้ใจ นางบอกเงินของนาง เราก็เชื่อใจค่ะ จากนั้นเงินก็เข้าบัญชีเราตลอดมา บัตรเอทีเอ็ม นางเป็นคนถือค่ะ เงินที่ได้เฉลี่ย เดือนละ 1 ล้านบาท รวมๆแล้วเกิน 10 ล้านบาทค่ะในปีนี้ นางเอาไปศัลยกรรมตัวนาง ซื้อทาวเฮ้าที่ติดกับผัวของนาง ซื้อของใช้ทุกอย่างที่นางอยากได้ เราทะเลาะกับนาง เรื่องแม่ผัวนาง จึงแยกกันอยู่


ประมาณปี 2557 เราอยู่หอ ได้ชวนนางไปเที่ยวญี่ปุ่น ซื้อทัวร์ไปคนละ 3 หมื่นบาทต่างคนต่างจ่าย นางไม่ได้ออกให้เรา ได้ข่าวว่าน้องป. นางถูกแม่ผัวกับผัวนางทำร้าย จึงให้ที่อยู่นางมาอยู่ที่หอเรา และนางบอกไม่มีเงิน จึงให้นางยืมบัตรเครดิต นางไปเกาหลี เอาบัตรเราไปรูดจ้ะ ขับรถไม่มีเงินเติมนำ้มัน เอาบัตรรูดเติมนำ้มัน จนกระทั่งวันที่เราบอกว่าเมื่อไหร่จะคืนเงิน เราจ่ายไม่ไหวให้นางหยุดใช้ นางก็รับปากจะไม่ใช้บัตร แต่ก็ทำ หลังจากนั้น เราโทรไปอายัติบัตรเครดิตกับธนาคาร และขอให้นางใช้หนี้เรา นางขายบ้านทาวเฮ้าที่ติดกับผัวนางได้แล้ว แต่นางก็หลอกเราว่ายังขายไม่ได้ เราเกือบฆ่าตัวตาย เพราะทนความกดดันจากบัตรเครดิตหลายใบที่โทรมาทวงหนี้ไม่ไหว นางมีรถซูบารุขับแต่ก็ไม่ยอมขายมาใช้หนี้เรา ยังคงขับรถหรู ไม่สนใจเรา จนผช.ที่เราคบหาดูใจมาช่วยเรา เราจึงรอดตาย


มีนาคม 2558 เราซื้อบ้านแถวพระรามห้า นางก็มาอยู่ด้วย แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน ได้ข่าวว่านางเปิดอู่ซ่อมรถให้ผัวใหม่ แถวซอยนวลจันทร์ซอย 1 เยื้องๆกับปั้มแก๊ส นางพาเราไปเที่ยวญี่ปุ่นออกแค่ค่าตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมให้แค่นั้น เราไม่มีเงิน กินมาม่าที่เอามาจากเมืองไทย แฟนนางสางสารเลยเลี้ยงข้าวหน้าปลาไหล 1 จาน กลับมาจากเที่ยว นางบอกนางอยู่บ้านกับผัวใหม่นาง เราจึงไล่นางไป และคอยตามหนี้ที่นางเป็นหนี้เราจนหมด เราเริ่มรู้สึกเหมือนนางไม่ใช่พี่น้องเรา ตอนเราลำบากเดือดร้อนนางไม่ได้นึกถึง ต่างคนต่างอยู่กับนางตั้งแต่นั้นมา และบอกนางไปว่าเกี่ยวกับบัญชีไม่ต้องมายุ่งกับเราอีก ให้ลุงไปโอนของมันเอง ต่างคนต่างอยู่


มิถุนายน 2561 พ่อแท้ๆติดต่อกลับมาหาเรา บอกว่ายายของเราหมดตัวแล้ว เราอยากรู้ความจริง วันเสาร์ที่ผ่านมา จองตั๋วรถทัวร์ไปภาคอีสาน วันเสาร์ได้เจอกันกับยาย และถามว่ายายเคยว่าเราเรื่องส.ค.ส.มั้ยที่ส่งไป แล้วยายตอบมาว่า จะขอยื่มเงินใช่มั้ยที่ส่งไป ยายบอกไม่เคยพูด แล้วยายถามเราว่า หนูเป็นยังไงบ้าง เงินสามล้านสุดท้ายที่ยายโอนไป เรียนจบเมืองนอกรึยัง เราร้องไห้เลย เราบอกไม่เคยไปเรียนเพราะไม่มีเงิน ยายบอกมีหลักฐานการโอนเงินชื่อบัญชีหนู หมดไป 16 ล้าน น้องป.บอกหนูเข้าห้องสอบไม่ได้ถ้าไม่โอน บอกหนูไม่มีอะไรกิน ยายขายที่นา+ไร่หมด เพื่อส่งหนูเรียน น้องป.มันติดต่อยายมา เรื่องโอนเงินทุกครั้ง เรานำ้ตาไหล ร้องไห้ ทุกวันนี้นอนตรอมใจทุกคืน เราน่าจะไปให้เร็วกว่านี้ อยากไปเวิคแอนด์แทรเวลที่อเมริกาเหมือนเพื่อนๆ แต่ไม่เคยรู้ว่ายายจะสนับสนุนเรา สงสารยายจับใจ ทำอย่างไรจึงจะดำเนินคดีกับน้องป. ให้นางเอาเงินมาคืนได้บ้าง ยายไม่มีจะกินแล้วค่ะ ต้องไปร้อยลูกปัดเส้นละ 10 บาทเลี้ยงลูกของน้องป. น้องป.ไม่เคยส่งเงินค่าเลี้ยงลูกตั้งแต่เด็กเกิด จนเดือนนี้เพิ่งโอนมาให้ 3 พันเด็กจะ 9 ขวบละค่ะ ยังไม่จบ นางไปหลอกแม่แท้ๆของเรา บอกว่าเราจะกลับมาไทยแล้ว ขออีกแสนนึง เดี๋ยวกลับแน่ๆ


แย่สรุป นางเอาเงินสดกับแม่ที่อ้างเรา ร่วมสามแสนนะคะ แล้วเอาแม่เราไปปล่อยที่ศูนย์พักคนชรา ทั้งที่แม่เราบอกว่าเจ็บขา และเจ็บตาจะไปโรงพยาบาล ขอร้องแสนนึงสุดท้าย ว่าอย่าเอาไป มันก็ดึงเงินในมื้อเค้า ไปเลยค่ะ อันนี้ได้ยินข่าวว่า แม่ตาจะบอดเพราะร้องไห้บ่อย มองไม่ค่อยชัดแล้ว ส่วนยายถูกหลอกให้ขายที่ดินแล้วโอนเงินเข้าบัญชีชื่อเรา ส่วนเราโดนแม่แช่งฟรีๆ เงินก็ไม่ได้ใช้สักบาท เค้าคงคิดว่าเรามาเอาเงินเค้าไป โดยบังคับให้น้องป.มารับเงิน เรากินอยู่อย่างอดอยาก ใช้ชีวิตอย่างประหยัด เพราะต้องผ่อนบ้านทุกเดือน รายจ่ายก็เยอะ ไม่มีสามีก็ใช้ชีวิตผ่อนไม่ไหว ไม่คิดว่านางจะทำกับคนในบ้านเราแบบนี้  เสียใจมากๆ


เข้ามาดูใครรู้ว่าแจ้งความหรือทำไรได้ แนะนำเราที เงินเราก็ไม่มี จะปรึกษาทนายฟรีคิวยาวเป็นหางว่าว ไม่รู้จะทำยังไงละ มันมืดแปดด้านจริงๆ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ที่ให้ระบายและปรึกษาปัญหาชีวิต
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เรื่องนี้ขอตั้งชื่อว่า เลือดจาง...คนข้น จบไปเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2561

    หลังจากที่ทางตำรวจได้จับกุมตัวน้อง ป. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2561 ในกรุงเทพฯ เราเข้าไปพูดคุยกับนาง ถามเหตุผลที่หลอกลวงทุกคนเพื่อไร แต่นางไร้ซึ่งสำนึกผิด ทำตัวปกติมากก็พูดว่าหลอกแล้วไง แถมมองชั้นด้วยตาขวางประมาณว่า ถ้ากูหลุดจากคุกเมื่อไหร่ ไม่รอดแน่ นางเหมือนไม่แคร์การกระทำที่ผ่านมา เราจึงถามถึงสิ่งที่ค้างคาใจต่างๆแล้วเดินออกมา และวันถัดมา 12 กันยายน ตำรวจกรุงเทพฯได้นำตัวไปส่งสน.ในจังหวัดที่เกิดเหตุ ในเวลานั้น นางได้คุยกับยายสร้างเรื่องแถใหม่ นำแมงดาให้ช่วยพูดกับยาย และแม่มาหว่านล้อมต่างๆ เพื่อให้ยายไม่ให้นางติดคุก เราพยายามติดต่อยายตลอด มากกว่า 10 รอบ บอกยายว่าห้ามเซ็นยอมความต่างๆ หากยังไม่ได้ทรัพย์สินคืนทั้งหมด ยายบอกรับปากจะไม่เซ็น แม้มันจะบอกว่าตอนนี้มีให้ 300,000 บาทเบื้องต้นก่อนก็ตาม
            
              แต่โชคร้ายหรือโชคดีไม่รู้ วันที่ 13 กันยายน 2561 ตื่นนอนมาก็รีบโทรหายาย แต่ยายปิดเครื่อง โทรอีกเบอร์ก็ไม่มีคนรับสาย กระวนกระวายใจมาก สังหรณ์ใจว่าต้องมีไรไม่ชอบมาพากล ตัดสินใจโทรหาแม่ เราก็บอกให้แม่มีสติ อย่าหลงกลน้องป. แต่แม่ก็จะไปช่วยนาง ซึ่งแม่แท้ๆตัดสินใจช่วยเพราะผลประโยชน์ทางการเงินกับน้องป.  จนกระทั่ง ช่วงเวลาประมาณ 10 โมงเศษๆ ยายเป็นฝ่ายโทรมาหาเรา และบอกว่ายายเซ็นยอมความละ และยังสั่งว่าให้เราและน้องสาวอีกคน อย่าไปยุ่งกับน้องป. ไม่ต้องไปไลน์ถามคนที่น้องป.เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเค้ารับประกันว่าหลังออกมาจากคุก จะไม่ทำอันตรายใดๆเรา (เราไม่เชื่อใจเลย หากวันนึงที่เราเป็นอะไร คนที่ทำให้เราตายคืออีน้องป.เนี่ยแหละค่ะ เผื่ออนาคตนางจะจ้างคนมาเก็บเรา หลังจากเรื่องซาลงแล้ว เพราะเราคือคนที่รู้ความลับของนางตั้งแต่เกิด) สรุปสั้นๆง่ายๆ คือ วันนั้นยายเซ็นยอมความ ห้ามเรายุ่งกับป. และป.จะไม่มายุ่งกับเรา ถ้ามายุ่งให้แม่เข้าคุกแทน ประมาณนั้น เอกสารลงบันทึกประจำวันไรเราก็ไม่เห็น เพราะเค้าเป็นฝ่ายโทรหาเราอย่างเดียว เราก็ทำงานอยู่กทม. ไม่ได้ขึ้นไปค่ะ หลังจากที่รู้เรื่องว่าเซ็นแล้ว เรานำ้ตาไหลเลยค่ะ  แล้วบอกยายว่าขอตั้งสติก่อน เดี๋ยวโทรกลับ
              
              พอตั้งสติได้ เราโทรกลับไปหายายเพื่อไปลาครั้งสุดท้าย เราโทรไปบอกว่า ที่ผ่านมาถือว่าได้พิสูจน์แล้วว่า เราไม่เคยใช้เงินของยายแม้แต่บาทเดียว ถือว่าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจให้ทุกคนได้รับรู้ ต่อไปนี้เราคงไม่ได้ไปดูแลยาย คงให้เป็นทางแม่และน้องป. เป็นฝ่ายดูแลยายละกันในเมื่อยายเป็นฝ่ายเลือกเค้า เราจะไม่เข้าไปยุ่งต่อจากนี้ ส่วนยายก็ไม่ต้องติดต่อเรามาอีกนับแต่บัดนี้ เป็นต้นไป มือถือที่เราซื้อให้เพื่อให้ติดต่อสื่อสาร สอนวิธีโทรไลน์ให้เค้าทันคนภายนอก หรือค่าตำรวจทั้งสองฝั่งที่เราจ่ายไป ถือว่าให้ฟรี ไม่ต้องมาจ่ายเงินเรา เราถือว่าเราให้ ไม่ได้หวังว่าจะมาเอาไร ก็ขอจบความสัมพันธ์เพียงเท่านี้ เราก็จะไม่ยุ่งกะน้องป. แม่และยายอีกค่ะ แล้วเราก็วางสาย  
              
                เรายังงงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้แต่คิดว่า วันที่ 23 มิถุนายน 2561 หลังจากที่เราและยายทราบความจริง เราถามยายตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าตำรวจจับมัน ยายจะยอมความมั้ย ถามหลายรอบ เค้าบอกไม่ยอมแน่ๆ จะเอามันเข้าคุกอย่างเดียว ตลอดเวลา 2 เดือนกว่า คือคำตอบไปในทางนี้ ซึ่งเราก็บอกเค้าแล้วว่า เอาแน่ๆนะ ถ้าจะยอมความ เราจะได้ไม่ต้องไปดำเนินคดีตั้งแต่แรก เพราะต้องลางาน เสียเวลา เสียเงิน ฯลฯ  แต่พอมาวันนี้ กลับยอมง่ายๆ ความรู้สึกเหมือน เราคุยกันคนละเรื่องเลยกับเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว เหมือนยายมาหักหลังเราภายหลัง เงินสามแสนที่มันบอกจะให้ก็ไม่ได้ ให้นะ  นางบอกต้องไปยืมคนอื่นมาประกันตัว แต่นางว่าจะให้ยายเดือนละประมาณ หนึ่งหมื่นบาทโดย 15 วันโอนครึ่งนึง ซึ่งใช้แม่เป็นคนรับประกัน เราเสียใจที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ ทุกวันที่ตื่นนอนตอนเช้า สมองจะนึกถึงแต่เรื่องที่ยายเซ็นยอมความเป็นอาทิตย์ ช่วงนี้อาการเริ่มดีขึ้นหลังจากที่บล็อกเบอร์โทรและไลน์ของ พ่อ แม่ ยาย น้องป. ไม่ต้องรับรู้เรื่องทางเค้าอีก คนที่อยู่ข้างๆเราก็คอยให้กำลังใจ มีแวบๆช่วงแรกๆที่อยากฆ่าตัวตายบ้าง ช่วงนั้นข่าวไบเกอร์กำลังดัง แต่พอดึงสติกลับมาได้ก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตายอีกเลย เราควรจะมีชีวิตที่จะไปท่องโลกกว้างที่เราอยากไป การเดินทางรอบโลกรอเราอยู่


บทเรียนที่ได้จากเรื่อง... เลือดจาง   คนข้น ในครั้งนี้

  1. ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในนำ้ใจคน  
         2. อย่าเชื่อในสิ่งที่บางคนอัปลงเฟซหรือโซเขียลมีเดีย บางทีเค้าอาจไม่ได้รำ่รวยจริงอย่างที่คนคิด
         3. พี่น้องไม่จริง มิจฉาชีพแท้ๆ
         4.คนสวย อายุน้อย ร้อยคดี นางมีชื่อเสียงในวงการสัตว์เลี้ยงอย่างเฟอเรซ เที่ยวบอกคนอื่นว่าแม่เป็นเจ้าของโรงสีข้าว มีเงินใช้วันละเป็นแสนๆ ซึ่งเอาเงินมรดกของพี่น้องคนอื่นมาทำให้ตัวเองสวยและเลี้ยงแมงดาไปวันๆ (แมงดาสมรู้ร่วมคิดและเปิดอู่รถยนต์ ต้นซอยนวลจันทร์ซึ่งเงินที่เริ่มต้นเปิดอู่ ก็มาจากการหลอกลวงยายนั่นล่ะค่ะ)
         5.การไม่มีคดีความเป็นลาภอันประเสริฐ เสียไปหลายบาทเป็นหมื่นๆค่ะงานนี้ สุดท้ายได้ความชำ้ใจกลับมา
         6. พ่อแม่ที่ดีต้องให้ความรักและความห่วงใยลูก รักลูกให้ถูกทาง อย่าสองมาตราฐาน บอกว่าให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ตัวแม่ไม่ให้อภัยน้องสาวคนเล็กที่ความผิดแทบไม่มี แต่ทีน้องป.ก่อคดีฉ้อโกง กลับบอกให้อภัย ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอก เที่ยวพูดอยู่ได้ว่า อย่ามาเรียกกูว่าแม่ กูไม่มีลูก เค้าบอกลูกทุกคน เราหนีมาจากบ้าน 8 ปี เชื่อมั้ย ไม่เคยคิดจะตามหา ที่ติดต่อได้ เพราะเราเป็นฝ่ายโทรหาแม่ แต่พ่อก็ยังมีความพยายามตามหาเราที่มหาวิทยาลัยอยู่บ้าง แต่ด้วยทัศนคติที่แตกต่างกัน เราขอต่างคนต่างอยู่แบบนี้ล่ะค่ะ
         7. หลายคนอาจมองว่าเราที่เข้าไปเพราะอยากได้ส่วนแบ่งหรือผลประโยชน์ เราอยากให้ได้เงินคืน เพื่อที่ยายจะเอาไว้ใช้ซ่อมแซมบ้านและดูแลตัวเค้าเองตอนแก่ค่ะ เพราะที่ผ่านมาซาบซึ่งในนำ้ใจยายที่คิดว่าเป็นเราเรียนเมืองนอกเลยส่งเงินมาตลอด
         8. คนที่อยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลืออย่างจริงใจมาโดยตลอด ดีกว่าญาติแท้ๆซะอีก มีอยู่จริง ขอบคุณเรื่องนี้ที่ทำให้พิสูจน์และเจอรักแท้
         9. อยู่เมืองไทยคุณต้องมีเงินเยอะๆ ไม่ว่าคดีไหนก็ตามแต่ ถ้าคุณมีเงิน หรือวงเงินในคดีเยอะๆ คุณจะได้รับการพิจารณาทำคดีในลำดับต้นๆ
        10. เรียนรู้กับความล้มเหลวของตัวเราเอง มีสติที่สุดกับเรื่องใหญ่แบบนี้ เสียใจได้แต่อย่านาน แล้วเริ่มตั้งต้นชีวิตใหม่ หนี้สินบ้าน บัตรเครดิต ค่านำ้ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอาหารหมาขี้เรื้อน รอเราอยู่
        11. เคยเห็นเพื่อนๆที่ครอบครัวเค้าปูทางธุรกิจให้ มีบ้านหลังละสิบล้าน ยังคิดเลยว่า บรรพบุรุษเค้าดีจัง ปูทางให้ลูกหลานเค้าเรียบร้อย แล้วย้อนมามองตัวเรา หากชวดยังมีชีวิตอยู่ในวันนี้ ชวดคงเสียใจกับการกระทำของยายแน่ๆ สมบัติที่ชวดหามาให้รุ่นลูกรุ่นหลานต่อยอด ก็พังทลาย โชคดีที่ชวดตายแล้ว แต่ก็นับเป็นเรื่องดีที่เราจะได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง เริ่มต้นจากศูนย์
        12. กฎหมายอาจทำไรไม่ได้ แต่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมตามทันแน่

        ปล. ขอขอบพระคุณ ท่านผู้รู้ทุกท่านที่ได้ให้คำแนะนำทั้งในโพสและหลังไมค์ เป็นครั้งแรกที่ได้ความรู้เรื่องกฎหมาย จากการประสบเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าไม่เกิดกับตัว คงยังไม่รู้ เพราะคำแนะนำของทุกคนจึงทำให้เราจบคดีนี้ได้ค่ะ ขอบคุณจากใจจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่