ใครๆก็รู้ว่า บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีสัดส่วนทำกำไรสุทธิดีที่สุด 5 ปีมานี้ ไม่เคยมีอัตรากำไรสุทธิต่ำกว่า 24% และปีที่ผ่นมา เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำไรสุทธิมากกว่า 10,000 ล้านบาทเพียงรายเดียว เพราะมีความสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงาน ผสมกำไรพิเศษเป็นระยะ เพราะมีเครื่องมือทั้งทำธุรกิจและเครื่องมือทางการเงินครบเครื่อง
อัตรากำไรสุทธิในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งด้านทำกำไรของ LH อย่างนี้ หากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเสี่ยตึ๋ง หรือ นายอนันต์ อัศวโภคิน คิดจะซื้อหุ้นเพิ่ม ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
ถ้าจะแปลกก็ตรงที่ถ้าเสี่ยตึ๋งคิดจะขายตะหาก
การทำคำเสนอซื้อบางส่วนของเสี่ยตึ๋งที่สร้างความฮือฮา จนราคาพลิกบวกสวนตลาด จึงไม่ใช่เรื่องผิดประหลาด เพียงแต่การทุ่มเงินกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยตั้งเป้าจะซื้อไม่เกิน 10% ทำให้เกิดคำถามว่าเสี่ยตึ๋งคิดอะไรจึงกล้ากู้เงินมาซื้อหุ้น โดยยอมเสียดอกเบี้ยส่วนตัว เพื่อแลกกับเงินปันผลที่ว่าไปแล้วน่าจะไม่ต่างอะไรกับดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้เงิน
ปริศนาดังกล่าว...ยังไม่มีคำตอบ แล้วถึงมี ก็ไม่น่าจะเป็นคำตอบที่แท้จริง แต่เป็นคำตอบเชิงภาพลักษณ์ที่ต้องกรองแยกแก่นออกจากกากหลายๆครั้งเสียก่อน จึงควรเชื่อถือ
ปริศนาของเสี่ยตึ๋ง ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เพราะมีการกระทำที่สวนทางกัน จากการที่ทุนใหญ่จากสิงคโปร์ GIC Pte. กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ(SWF) ของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ถือ LH เป็นอันดับสองทั้งทางตรงและอ้อมมายาวนานกว่า 16 ปี ด้วยการขายทิ้งหุ้นที่ถือไว้มากถึง 976.8 ล้านหุ้น หรือ 8.2% ของทุนจดทะเบียน จนเหลือหุ้นต่ำกว่า7%
GIC มีพันธกิจหรือหน้าที่เป็นหัวหอกการลงทุนในต่างประเทศ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งฉกฉวยโอกาสเข้ามาลงหลักปักฐานในตลาดหุ้นไทยยาวนานในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ช้อนซื้อของถูกมากมาย และล่าสุดยามนี้ขณะนี้ ลงทุนอยู่ในหุ้น 19 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพของไทย มีมูลค่าเงินลงทุนเหยียบแสนล้านบาท
GIC เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ LH ครั้งแรกในเดือนกันยายน 2542 โดยเข้าซื้อทั้ง LH และบริษัทในกลุ่มเช่น ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ QH ในยามที่กลุ่ม LH กำลังเข้าตาจนจากขาดสภาพคล่องทางการเงินหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
ในกรณีของ LH ปรากฏว่า GIC ซื้อหุ้นไปครั้งแรกแบบเฉพาะเจาะจง ในจำนวน 94.285 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14.00 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท และซื้อเพิ่มอีกครั้งในการเพิ่มทุนใหม่เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดยใช้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ ในราคาหุ้นละ 14.00 บาท ยังผลให้หลังการเพิ่มทุน สัดส่วนของ GIC ที่ถือใน LH เพิ่มเป็น 21.17% เป็นอันดับสองรองลงมาจากกลุ่มอัศวโภคิน ที่ถืออยู่ 32.35%
ไม่เพียงแค่นั้น ยังแถมพกเข้ามาในนาม กองทุนไทยเวส พีทีอี ลิมิเต็ด (ซึ่งมีคัสโตเดียน เป็นผู้ดูแลแทนอีกส่วนหนึ่ง)โดยที่ไม่ปรากฎชื่อกองทุนในโครงสร้างผู้ถือหุ้น ....อีกต่างหาก
หลังจากปี 2542 นั้น เงินทุนใหม่ที่ GIC อัดฉีดเข้ามาในปี 2542 ในฐานะ"นักลงทุนเทพชักนำ" (Angel Investor) นอกจากมีส่วนทำให้ LH สามารถรักษาสภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิติดอันดับหัวแถวของตลาดไทยมาจนถึงปัจจุบัน ยากจะมีใครแซงหน้าได้ ยกเว้นยอดขาย และรายได้ (ที่ไม่มีความหมายอะไร)
กำไรของ LH และบริษัทในเครือที่สวยงามต่อเนื่อง ทำให้ GIC ไม่เคยถอยห่างจากการถือครองสัดส่วนอันดับสองของกลุ่มนี้มาโดยตลอด อาจจะมีเพิ่มบ้าง ลดบ้างตามระยะเวลา...เหตุผลเพราะรัก LH มากเหลือเกิน
เพียงแต่ความรักกับยุทธศาสตร์การลงทุนในยุคโลกาภิวัตน์นั้น ไม่จำต้องยั่งยืนเสมือนคู่สามี-ภริยา เพราะเมื่อถึงเวาก็ต้องจากกัน การปรับพอร์ตลดการถือครองหุ้น LH ลงมาถือเงินสดบางส่วนในเดือนกุมภาพันธ์จึงเกิดขึ้น แม้จะต่างกับกับกรณีที่ GIC ตัดสินใจการขายหุ้นทิ้งใน QH เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา จำนวน 1,154.42 ล้านหุ้น หรือ 10.77% จนเกลี้ยงพอร์ต อย่างไม่เหลือเยื่อใย
การลดสัดส่วนลงของ GIC ใน LH อาจจะไม่แปลก เพราะไม่กระทบกับผลการดำเนินงาน LH ที่ยังคงมีอนาคตเป็น"แม่วัวที่ให้น้ำนมเป็นทองคำ"ไปอีกยาวนานจากธุรกิจที่เป็นขาขึ้น แล้วยังมีแนวโน้มจ่ายปันผลดีที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือ มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่อัตราระดับเฉลี่ย 7% ทุกปี แถมยังมีมาร์เก็ตแคประดับ 1 แสนล้านบาท...เพียงแต่การลงทุนที่เนิ่นนานกว่า 18 ปี หากไม่ขายออกไปบ้าง เงินก็จะจม เพราะใครก็รู้ว่าเงินปันผลนั้น มันให้ผลตอบแทนช้ามาก ...อย่างไรเสียก็สู้ส่วนต่างราคาไม่ได้
ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า การจากไปของ GIC ที่ขายหุ้นสาดทิ้งเข้ามาในตลาด ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจจะเปิดทางให้มีผู้ถือหุ้น"ไม่พึงประสงค์"เข้ามาสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหารได้
ในเชิงกลยุทธ์ธุรกิจแล้ว แม้ในทางทฤษฎี LH จะเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียน แต่ในทางปฏิบัติ การเปิดช่องให้ผู้ถือหุ้น"ไม่พึงประสงค์"และไม่คุ้นเคย เข้ามาแทรกในสัดส่วนการถือหุ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ กรณีของการเทกโอเวอร์แบบ"เข้าประตูหลัง"ที่มีทั้งสำเร็จและมีปัญหาคาราคาซัง เป็นบทเรียนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
แม้การจะเดาใจว่าเสี่ยตึ๋งคิดอะไรอยู่จากข้อเสนอทำเทนเดอร์หุ้นบางส่วน(ต่างกับกรณี เสี่ยพิชญ์ โพธารามิก เมื่อปี 2559 ในกรณีหุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS แต่การดำเนินการนี้ ถือว่าเป็นปฏิบัติการป้องกันตัวล่วงหน้า (Proactive Self-Defense) ที่สมเหตุสมผล ส่วนจะคุ้มค่าหรือไม่ยากจะคาดเดา ต้องใช้เวลาในการติดตามผลเชิงลึกระยะต่อไป อีกนานหลายปี..ไ่ม่ใช่แค่ 1-2 ไตรมาส
รายละเอียดว่าด้วยข้อเสนอและเงื่อนไขถือครองหุ้นเพิ่มเติมของเสี่ยตึ๋งนั้น ปรากฏในหนังสือแจ้งความประสงค์ที่เสี่ยตึ๋งจะทำเทนเดอร์ เพื่อซื้อหุ้นสามัญของ LH ที่ราคาหุ้นละ 11.80 บาท จำนวน 1,194,971,317 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของหุ้นสามัญที่ออก และจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
ในข้อเสนอนี้ เสี่ยตึ๋งได้มีหนังสือยืนยันการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ เจ้าหนี้เงินกู้รายสำคัญ(ซึ่งถนัดดีลแบบนี้มากกว่าใครในรอบ 5 ปีนี้) ในวงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทที่จะทำการจ่ายชำระค่าเทนเดอร์ราคาแพงกว่าตลาดในวันที่ออกประกาศ
พร้อมกับข้อเสนอนี้ เสี่ยตึ๋งยังเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า
- หากมีผู้มาแสดงเจตนาขายหุ้นน้อยกว่าจำนวนดังกล่าว เสี่ยตึ๋งจะจะรับซื้อไว้ทั้งหมด
- หากมีผู้ถือหุ้นแสดงความประสงค์ขายหุ้นของบริษัทมากกว่าจำนวนที่รับซื้อ เสี่ยตึ๋งจะขอจำกัดรับซื้อเพียงจำนวนที่แจ้ง โดยใช้วิธีจัดสรรตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย (Pro-rata)
- สำหรับราคาเสนอซื้อ 11.80 บาทต่อหุ้นนั้นผู้ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนจะมีภาระค่าธรรมเนียมในการเสนอขายหุ้นดังกล่าวในอัตรา 0.25% ของราคาเสนอซื้อหุ้นสามัญ และภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ของค่าธรรมเนียมในการเสนอขายหุ้นดังกล่าว ดังนั้น ราคาสุทธิที่ผู้แสดงเจตนาขายหุ้นสามัญจะได้รับจะเท่ากับ 11.77 บาทต่อหุ้น
- หลังการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน หากมีผู้ถือหุ้นตอบรับเต็มตามจำนวนที่เสนอซื้อ เสี่ยตึ๋งจะมีจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 4,054,971,364 หุ้น หรือคิดเป็น 33.93% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ พร้อมแสดงเจตนาชัดวาาประสงค์จะถือหุ้นในบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่เกิน 49% เพื่อเพิ่มการลงทุนระยะยาวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนในการลงทุน
ข้อมูลล่าสุดจากบอร์ด LH ระบุว่า ก่อนการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน เสี่ยตึ๋ง (ซึ่งยามนี้ ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทฯนับตั้งแต่กรณีที่ดินวัดธรรมกาย) และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถือครองหุ้นสามัญLH รวมกันทั้งสิ้นจำนวน 2,860,000,047 หุ้น หรือคิดเป็น 23.93% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท
ดีลนี้เพิ่งจะเริ่มต้น เพราะตากติกา LH ต้องให้คณะกรรมการฯนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 สิงหาคมเพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวเสียก่อน เพราะเป็นข้อเสนอที่ต้องการได้รับยกเว้นไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ
ปฏิบัติการ"ป้องกันตัวเองล่วงหน้า"ของเสี่ยตึ๋งนี้ จะนำไปสู่อะไรบางอย่าง (เช่น มีการคาดเดาว่าอาจจะซูเอี๋ยเพื่อเปิดทางให้ GIC "โยน"ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด) เป็นเกมที่ต้องติดตาม
งานนี้เสี่ยตึ๋งยังไม่สามารถไปนิพพานได้ เพราะยังมีเรื่องที่ปุถุชนต้องห่วงใยต่อไป เนื่องจากสร้างLH จนเติบใหญ่มาถึงวันนี้ ไม่ได้ง่ายดายนัก อาจจะไม่ถึงกับ"สร้างกรุงโรม" แต่ก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันกี่มากน้อย
///////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/ www.share2trade.com
LH เสี่ยตึ๋งป้องกันตัวล่วงหน้า โดย อีหล่าน้อย บทความจากเว็บไซต์ Share2Trade
อัตรากำไรสุทธิในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งด้านทำกำไรของ LH อย่างนี้ หากผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างเสี่ยตึ๋ง หรือ นายอนันต์ อัศวโภคิน คิดจะซื้อหุ้นเพิ่ม ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน
ถ้าจะแปลกก็ตรงที่ถ้าเสี่ยตึ๋งคิดจะขายตะหาก
การทำคำเสนอซื้อบางส่วนของเสี่ยตึ๋งที่สร้างความฮือฮา จนราคาพลิกบวกสวนตลาด จึงไม่ใช่เรื่องผิดประหลาด เพียงแต่การทุ่มเงินกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท เพื่อทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ โดยตั้งเป้าจะซื้อไม่เกิน 10% ทำให้เกิดคำถามว่าเสี่ยตึ๋งคิดอะไรจึงกล้ากู้เงินมาซื้อหุ้น โดยยอมเสียดอกเบี้ยส่วนตัว เพื่อแลกกับเงินปันผลที่ว่าไปแล้วน่าจะไม่ต่างอะไรกับดอกเบี้ยจ่ายจากการกู้เงิน
ปริศนาดังกล่าว...ยังไม่มีคำตอบ แล้วถึงมี ก็ไม่น่าจะเป็นคำตอบที่แท้จริง แต่เป็นคำตอบเชิงภาพลักษณ์ที่ต้องกรองแยกแก่นออกจากกากหลายๆครั้งเสียก่อน จึงควรเชื่อถือ
ปริศนาของเสี่ยตึ๋ง ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เพราะมีการกระทำที่สวนทางกัน จากการที่ทุนใหญ่จากสิงคโปร์ GIC Pte. กองทุนมั่งคั่งแห่งชาติ(SWF) ของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ถือ LH เป็นอันดับสองทั้งทางตรงและอ้อมมายาวนานกว่า 16 ปี ด้วยการขายทิ้งหุ้นที่ถือไว้มากถึง 976.8 ล้านหุ้น หรือ 8.2% ของทุนจดทะเบียน จนเหลือหุ้นต่ำกว่า7%
GIC มีพันธกิจหรือหน้าที่เป็นหัวหอกการลงทุนในต่างประเทศ ของรัฐบาลสิงคโปร์ ซึ่งฉกฉวยโอกาสเข้ามาลงหลักปักฐานในตลาดหุ้นไทยยาวนานในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ช้อนซื้อของถูกมากมาย และล่าสุดยามนี้ขณะนี้ ลงทุนอยู่ในหุ้น 19 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพของไทย มีมูลค่าเงินลงทุนเหยียบแสนล้านบาท
GIC เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ LH ครั้งแรกในเดือนกันยายน 2542 โดยเข้าซื้อทั้ง LH และบริษัทในกลุ่มเช่น ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ QH ในยามที่กลุ่ม LH กำลังเข้าตาจนจากขาดสภาพคล่องทางการเงินหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง
ในกรณีของ LH ปรากฏว่า GIC ซื้อหุ้นไปครั้งแรกแบบเฉพาะเจาะจง ในจำนวน 94.285 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 14.00 บาท จากราคาพาร์หุ้นละ 10 บาท และซื้อเพิ่มอีกครั้งในการเพิ่มทุนใหม่เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน โดยใช้สิทธิ์ของผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 5 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ ในราคาหุ้นละ 14.00 บาท ยังผลให้หลังการเพิ่มทุน สัดส่วนของ GIC ที่ถือใน LH เพิ่มเป็น 21.17% เป็นอันดับสองรองลงมาจากกลุ่มอัศวโภคิน ที่ถืออยู่ 32.35%
ไม่เพียงแค่นั้น ยังแถมพกเข้ามาในนาม กองทุนไทยเวส พีทีอี ลิมิเต็ด (ซึ่งมีคัสโตเดียน เป็นผู้ดูแลแทนอีกส่วนหนึ่ง)โดยที่ไม่ปรากฎชื่อกองทุนในโครงสร้างผู้ถือหุ้น ....อีกต่างหาก
หลังจากปี 2542 นั้น เงินทุนใหม่ที่ GIC อัดฉีดเข้ามาในปี 2542 ในฐานะ"นักลงทุนเทพชักนำ" (Angel Investor) นอกจากมีส่วนทำให้ LH สามารถรักษาสภาพการเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง มีกำไรสุทธิติดอันดับหัวแถวของตลาดไทยมาจนถึงปัจจุบัน ยากจะมีใครแซงหน้าได้ ยกเว้นยอดขาย และรายได้ (ที่ไม่มีความหมายอะไร)
กำไรของ LH และบริษัทในเครือที่สวยงามต่อเนื่อง ทำให้ GIC ไม่เคยถอยห่างจากการถือครองสัดส่วนอันดับสองของกลุ่มนี้มาโดยตลอด อาจจะมีเพิ่มบ้าง ลดบ้างตามระยะเวลา...เหตุผลเพราะรัก LH มากเหลือเกิน
เพียงแต่ความรักกับยุทธศาสตร์การลงทุนในยุคโลกาภิวัตน์นั้น ไม่จำต้องยั่งยืนเสมือนคู่สามี-ภริยา เพราะเมื่อถึงเวาก็ต้องจากกัน การปรับพอร์ตลดการถือครองหุ้น LH ลงมาถือเงินสดบางส่วนในเดือนกุมภาพันธ์จึงเกิดขึ้น แม้จะต่างกับกับกรณีที่ GIC ตัดสินใจการขายหุ้นทิ้งใน QH เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 ที่ผ่านมา จำนวน 1,154.42 ล้านหุ้น หรือ 10.77% จนเกลี้ยงพอร์ต อย่างไม่เหลือเยื่อใย
การลดสัดส่วนลงของ GIC ใน LH อาจจะไม่แปลก เพราะไม่กระทบกับผลการดำเนินงาน LH ที่ยังคงมีอนาคตเป็น"แม่วัวที่ให้น้ำนมเป็นทองคำ"ไปอีกยาวนานจากธุรกิจที่เป็นขาขึ้น แล้วยังมีแนวโน้มจ่ายปันผลดีที่สุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หรือ มีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่อัตราระดับเฉลี่ย 7% ทุกปี แถมยังมีมาร์เก็ตแคประดับ 1 แสนล้านบาท...เพียงแต่การลงทุนที่เนิ่นนานกว่า 18 ปี หากไม่ขายออกไปบ้าง เงินก็จะจม เพราะใครก็รู้ว่าเงินปันผลนั้น มันให้ผลตอบแทนช้ามาก ...อย่างไรเสียก็สู้ส่วนต่างราคาไม่ได้
ประเด็นปัญหาอยู่ที่ว่า การจากไปของ GIC ที่ขายหุ้นสาดทิ้งเข้ามาในตลาด ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจจะเปิดทางให้มีผู้ถือหุ้น"ไม่พึงประสงค์"เข้ามาสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้บริหารได้
ในเชิงกลยุทธ์ธุรกิจแล้ว แม้ในทางทฤษฎี LH จะเป็นบริษัทมหาชนจดทะเบียน แต่ในทางปฏิบัติ การเปิดช่องให้ผู้ถือหุ้น"ไม่พึงประสงค์"และไม่คุ้นเคย เข้ามาแทรกในสัดส่วนการถือหุ้น ถือเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ กรณีของการเทกโอเวอร์แบบ"เข้าประตูหลัง"ที่มีทั้งสำเร็จและมีปัญหาคาราคาซัง เป็นบทเรียนที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
แม้การจะเดาใจว่าเสี่ยตึ๋งคิดอะไรอยู่จากข้อเสนอทำเทนเดอร์หุ้นบางส่วน(ต่างกับกรณี เสี่ยพิชญ์ โพธารามิก เมื่อปี 2559 ในกรณีหุ้นบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS แต่การดำเนินการนี้ ถือว่าเป็นปฏิบัติการป้องกันตัวล่วงหน้า (Proactive Self-Defense) ที่สมเหตุสมผล ส่วนจะคุ้มค่าหรือไม่ยากจะคาดเดา ต้องใช้เวลาในการติดตามผลเชิงลึกระยะต่อไป อีกนานหลายปี..ไ่ม่ใช่แค่ 1-2 ไตรมาส
รายละเอียดว่าด้วยข้อเสนอและเงื่อนไขถือครองหุ้นเพิ่มเติมของเสี่ยตึ๋งนั้น ปรากฏในหนังสือแจ้งความประสงค์ที่เสี่ยตึ๋งจะทำเทนเดอร์ เพื่อซื้อหุ้นสามัญของ LH ที่ราคาหุ้นละ 11.80 บาท จำนวน 1,194,971,317 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 10% ของหุ้นสามัญที่ออก และจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ
ในข้อเสนอนี้ เสี่ยตึ๋งได้มีหนังสือยืนยันการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ เจ้าหนี้เงินกู้รายสำคัญ(ซึ่งถนัดดีลแบบนี้มากกว่าใครในรอบ 5 ปีนี้) ในวงเงิน 1.4 หมื่นล้านบาทที่จะทำการจ่ายชำระค่าเทนเดอร์ราคาแพงกว่าตลาดในวันที่ออกประกาศ
พร้อมกับข้อเสนอนี้ เสี่ยตึ๋งยังเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า
- หากมีผู้มาแสดงเจตนาขายหุ้นน้อยกว่าจำนวนดังกล่าว เสี่ยตึ๋งจะจะรับซื้อไว้ทั้งหมด
- หากมีผู้ถือหุ้นแสดงความประสงค์ขายหุ้นของบริษัทมากกว่าจำนวนที่รับซื้อ เสี่ยตึ๋งจะขอจำกัดรับซื้อเพียงจำนวนที่แจ้ง โดยใช้วิธีจัดสรรตามสัดส่วนของจำนวนหุ้นที่มีผู้แสดงเจตนาขาย (Pro-rata)
- สำหรับราคาเสนอซื้อ 11.80 บาทต่อหุ้นนั้นผู้ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วนจะมีภาระค่าธรรมเนียมในการเสนอขายหุ้นดังกล่าวในอัตรา 0.25% ของราคาเสนอซื้อหุ้นสามัญ และภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ของค่าธรรมเนียมในการเสนอขายหุ้นดังกล่าว ดังนั้น ราคาสุทธิที่ผู้แสดงเจตนาขายหุ้นสามัญจะได้รับจะเท่ากับ 11.77 บาทต่อหุ้น
- หลังการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน หากมีผู้ถือหุ้นตอบรับเต็มตามจำนวนที่เสนอซื้อ เสี่ยตึ๋งจะมีจำนวนหุ้นสามัญทั้งสิ้น 4,054,971,364 หุ้น หรือคิดเป็น 33.93% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ พร้อมแสดงเจตนาชัดวาาประสงค์จะถือหุ้นในบริษัทฯ ในสัดส่วนไม่เกิน 49% เพื่อเพิ่มการลงทุนระยะยาวเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนในการลงทุน
ข้อมูลล่าสุดจากบอร์ด LH ระบุว่า ก่อนการทำคำเสนอซื้อหุ้นบางส่วน เสี่ยตึ๋ง (ซึ่งยามนี้ ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทฯนับตั้งแต่กรณีที่ดินวัดธรรมกาย) และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถือครองหุ้นสามัญLH รวมกันทั้งสิ้นจำนวน 2,860,000,047 หุ้น หรือคิดเป็น 23.93% ของหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัท
ดีลนี้เพิ่งจะเริ่มต้น เพราะตากติกา LH ต้องให้คณะกรรมการฯนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 สิงหาคมเพื่อพิจารณาอนุมัติเรื่องดังกล่าวเสียก่อน เพราะเป็นข้อเสนอที่ต้องการได้รับยกเว้นไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ
ปฏิบัติการ"ป้องกันตัวเองล่วงหน้า"ของเสี่ยตึ๋งนี้ จะนำไปสู่อะไรบางอย่าง (เช่น มีการคาดเดาว่าอาจจะซูเอี๋ยเพื่อเปิดทางให้ GIC "โยน"ขายหุ้นทิ้งทั้งหมด) เป็นเกมที่ต้องติดตาม
งานนี้เสี่ยตึ๋งยังไม่สามารถไปนิพพานได้ เพราะยังมีเรื่องที่ปุถุชนต้องห่วงใยต่อไป เนื่องจากสร้างLH จนเติบใหญ่มาถึงวันนี้ ไม่ได้ง่ายดายนัก อาจจะไม่ถึงกับ"สร้างกรุงโรม" แต่ก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันกี่มากน้อย
///////////////////////////////////
ขอบคุณบทความจาก www.facebook.com/Share2Trade/ www.share2trade.com