สวัสดียามเช้าวันจันทร์ วันทำงานวันแรก ของสัปดาห์ ครับ พี่ๆน้องๆ ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put, Call Option ทุกๆท่าน
เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี SET index เคลื่อนไหวแกว่งตัวรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงเช้าดัชนีสามารถทะยานไป ทดสอบระดับ 1650 จุด ด้วยแรง
หนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ฟื้นตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงเปิดตลาดบ่าย เริ่มเห็น แรงเทขายทำกำไร ออกมาอีกครั้ง จากมติผลการประชุม
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% เช่นเดิม นอกจากนั้นยังดูกดดันจาก Sentiment ตลาดในภูมิภาค
ที่ยังคงเผชิญกับปัจจัย สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐ กับ จีน ครั้งใหม่ ซึ่งรุนแรงกว่าเดิม และ ส่งผลกระทบวงกว้างขึ้น ดังนั้น
จึงกดดันให้ดัชนี SET index วูบไถลลงมาปิดตัวที่ระดับ 1634.98 จุด +0.54 จุด วันนี้มาติดตามกันต่อ ว่าดัชนีจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้หรือไม่
Fundamental
เอเชียเช้านี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดบวกในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
หลังจากหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ภายหลังจากที่โอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน
ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดบวก 26.73 จุด หรือ +0.12% แตะที่ 22,543.56 จุด
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้านี้นำโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน กลุ่มกระดาษและเยื่อกระดาษ
ส่วนหุ้นกลุ่มขนส่งทางบก กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ และกลุ่มสิ่งทอ ปรับตัวลง
"ฝั่งสหรัฐ" ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (22 มิ.ย.) หลังจากร่วงลงติดต่อกันมา 8 วัน เช่นเดียวกับดัชนี S&P
ที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้นตามราคาน้ำมัน ภายหลังจากที่โอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุม
ครั้งล่าสุด แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดแดนลบ เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,580.89 จุด เพิ่มขึ้น 119.19 จุด หรือ 0.49%
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,754.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.12 จุด หรือ 0.19%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,692.82 จุด ลดลง 20.14 จุด หรือ -0.26%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงสองสัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค.
ที่ผ่านมา ด้านดัชนี S&P ลดลง 0.9% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาสี่สัปดาห์
ภาวะการซื้อขายในวันศุกร์นั้นได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้น 2.2% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบทะยาน
ขึ้น ภายหลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ออกแถลงการณ์หลังการประชุมกำหนดนโยบายการผลิต ที่กรุงเวียนนา วานนี้ โดยระบุว่าโอเปก
จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ไม่มีการระบุปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
แถลงการณ์โอเปกระบุว่า เนื่องจากสมาชิกบางประเทศได้ลดกำลังการผลิตมากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ในเดือนพ.ย.2559 ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้
สมาชิก 12 ประเทศจากทั้งหมด 14 ประเทศ เพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้ตัวเลขความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันกลับสู่จำนวน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันที่ตกลงกันไว้ในเดือนพ.ย.2559 ก่อนหน้านี้ โอเปกมีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี สมาชิกโอเปกได้ให้ความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันมากถึง 152% ซึ่งหมายความว่าสมาชิกโอเปก
ได้ปรับลดกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล/วันที่ได้ตกลงกันไว้
แถลงการณ์การประชุมครั้งล่าสุดของโอเปกระบุว่า "สมาชิกโอเปกได้ให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตน้ำมันแตะระดับ 152% ในเดือนพ.ค. ส่งผล
ให้ที่ประชุมมีมติในวันนี้ให้ลดตัวเลขความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันสู่ระดับ 100% โดยเริ่มต้นวันที่ 1 ก.ค." ทางด้านแหล่งข่าว
เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ที่ประชุมโอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนก.ค. การปรับเพิ่มกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน
จะสอดคล้องกับที่ซาอุดิอาระเบียเสนอก่อนหน้านี้ ขณะที่รัสเซียเสนอให้ปรับเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากสมาชิกโอเปกบางประเทศไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เนื่องจากติดขัดจากปัจจัยในประเทศ ทำให้คาดว่าตัวเลขการ
เพิ่มการผลิตน้ำมันที่แท้จริงจะอยู่ในระดับเพียง 600,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และการเพิ่มกำลัง
การผลิตในระดับดังกล่าวจะไม่กดดันราคาน้ำมันให้ดิ่งลง
หุ้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ทั้งเชฟรอน และเอ็กซอน โมบิล ต่างปิดทะยานขึ้นมากกว่า 2% หลังผลประชุมโอเปก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐและคู่ค้ารายใหญ่ อย่างจีน และสหภาพยุโรป อย่าง
ใกล้ชิด ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะลุกลามกลายเป็นปัจจัยถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่มาตรการตอบโต้ของ
EU ในการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้ามูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์นี้
โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีจากรถยนต์ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) หาก EU ไม่ยกเลิกการเรียก
เก็บภาษีต่อรถยนต์สหรัฐ
"จากการที่สหภาพยุโรปได้เรียกเก็บภาษี และตั้งกำแพงการค้าต่อบริษัทของสหรัฐ หากสหภาพยุโรปยังไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษี และกำแพงการค้า
เราก็จะเรียกเก็บภาษี 20% ต่อรถยนต์ทั้งหมดที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทวีตดังกล่าวของทรัมป์ส่งให้หุ้นบริษัทรถยนต์พากันปรับตัวลดลง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยวานนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)
รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ อ่อนตัวลงสู่ระดับ 56.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หลังจากแตะ 56.6
ในเดือนพ.ค.
ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหลังหลายบริษัทรายงานผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยหุ้นเรดแฮตร่วงหนักกว่า 14% หลังบริษัทซอฟต์แวร์เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการรายไตรมาสที่น้อยกว่าคาด
หุ้นแบล็คเบอร์รี ร่วงเกือบ 9% โดยถึงแม้บริษัทรายงานกำไรไตรมาสแรกดีกว่าคาด แต่รายได้กลับออกมาน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดี หุ้นคาร์แม็กซ์ บริษัทขายรถมือสอง พุ่ง 12.86% หลังจากที่บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกดีกว่าการคาดการณ์
ฝั่งยุโรป ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (22 มิ.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคธุรกิจของ
ยูโรโซนนั้นเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นจากที่ชะลอตัวมาหลายเดือน ประกอบกับได้แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน ภายหลังราคาน้ำมันดิบพุ่งรับผลประชุม
โอเปกที่มีมติเพิ่มกำลังการผลิต แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 4.16 จุด หรือ 1.09% ปิดที่ 385.01 จุด อย่างไรก็ตาม ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 1.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,387.38 จุด เพิ่มขึ้น 71.37 จุด หรือ 1.34%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,579.72 จุด เพิ่มขึ้น 67.81 จุด หรือ 0.54%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,682.27 จุด เพิ่มขึ้น 125.83 จุด หรือ 1.67%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนหลังจากที่ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการ
ฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.8 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า
กิจกรรมในภาคธุรกิจของยูโรโซนขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ดัชนี PMI รวมปรับตัวขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากภาค
บริการ โดยดัชนี PMI ภาคบริการยูโรโซน อยู่ที่ 55.0 ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 53.8 ในเดือนพ.ค. แม้ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงมาอยู่ที่ 55.0
ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 55.5 ในเดือนพ.ค.ก็ตาม
นอกจากนี้ กิจกรรมในภาคบริการของเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสองประเทศใหญ่สุดในยูโรโซน ก็ออกมาดีกว่าการคาดการณ์ด้วย แม้กิจกรรม
ในภาคการผลิตจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน
ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของเยอรมนี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.2 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ
2 เดือน จากระดับ 53.4 ในเดือนพ.ค. โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการ อยู่ที่ 53.9 ในเดือน
มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 52.1 ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิต อยู่ที่ 55.9 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ
18 เดือน จากระดับ 56.9 ในเดือนพ.ค.
Credit : สำนักข่าวอินโฟวเควสท์
Technical Analysis
SET index TF Day: ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนไถลร่วงหลุดแนวรับ Neck line ที่ระดับ
1673 จุด ลงมา และทำให้เห็นรูปแบบกลับตัว “Complex Head & Shoulder” ชัดเจนยิ่งขึ้น และแม้ว่าระหว่างกลางสัปดาห์ จะได้เห็นการฟื้นตัว
Rebound ของดัชนีบ้าง แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว และยังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงวันศุกร์ ดัชนีก็ยังคงทำ New Low
ลงไปอีก ซึ่งเป็นการยืนยันรูปแบบแท่งเทียน “Bear Hug” (ไม่ใช่ Bullish Stick Sandwich อย่างที่คาดกัน) และแนวโน้มถัดระยะกลางจากนี้มองว่า
มีโอกาสที่ ดัชนีจะไถลลงไปทดสอบ แนวรับจิตวิทยา 1600 จุด
S50M18 TF Day: ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนไถลร่วงหลุดแนวรับ เส้น EMA200 วัน ที่ระดับ 1110 จุด ลงไปอย่างง่ายดาย (Breakdown) ทำให้ภาพของขาลงอ่อน ชัดเจนขึ้น แม้ว่ะหว่างกลางสัปดาห์ จะเห็นการฟื้นตัว Rebound ของดัชนีบ้าง
แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว และยังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นการยืนยัน “Distribution Phase”
ทั้งนี้ยังเริ่มเห็นสัญญาณ Dead Cross ที่กำลังจะตัด ถ้าหากดัชนียังไม่ฟื้นตัว ก็มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีลงไปทดสอบแนวนับจิตวิทยา 1040 - 1050 จุด
ก็เป้นได้
S50M18 TF60 Min: เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนียังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างหนักหน่วง โดยการร่วงของดัชนี ได้เปิด Gap
ลงมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงระดับ “Island Reversal Bottom” พร้อมกับไม่ได้ทำ New Low แต่อย่างใด ซึ่งแนวโน้มวันนี้ หากดัชนีสามารถกลับ
ขึ้นไปยืนเหนือ 1080 ได้ ก็น่าจะทำให้สัญญาณระยะสั้นดีขึ้นเล็กน้อย โดยคาดว่าการฟื้นตัวของดัชนี (Pullback) น่าจะอยู่ระหว่าง 1090-1100 จุด
/หากดัชนีไม่สามารถฟื้นตัวใดๆได้เลย ก็อาจจะมี Panic ตามมาก็เป็นได้
Resistance : 1075 1080 1085 1090 / 1640 1644 1650
Support : 1066 1061 1055 1050 / 1626 1620 1616
*EOD End of day
ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ
สำหรับพี่ๆ น้องๆ ที่ เล่น Put,Call Option ครับ ผมอาจจะไม่ ถนัดด้านนี้
แต่ ในกระทู้นี้ รับรองว่ามี จอมขมังเวทย์ Option เยอะครับ เชิญแชร์ iDea เจ๋งๆ เด็ดๆ / หรือข้อสงสัย สอบถามกันตามสบายเลยครับ
กู๊ดมอนิ่ง ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put,Call (25 Jun 18)
สวัสดียามเช้าวันจันทร์ วันทำงานวันแรก ของสัปดาห์ ครับ พี่ๆน้องๆ ชาว ขาS และ ขาL & ชาว Put, Call Option ทุกๆท่าน
เมื่อวานศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนี SET index เคลื่อนไหวแกว่งตัวรุนแรง โดยเฉพาะในช่วงเช้าดัชนีสามารถทะยานไป ทดสอบระดับ 1650 จุด ด้วยแรง
หนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ฟื้นตัวขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงเปิดตลาดบ่าย เริ่มเห็น แรงเทขายทำกำไร ออกมาอีกครั้ง จากมติผลการประชุม
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.50% เช่นเดิม นอกจากนั้นยังดูกดดันจาก Sentiment ตลาดในภูมิภาค
ที่ยังคงเผชิญกับปัจจัย สงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐ กับ จีน ครั้งใหม่ ซึ่งรุนแรงกว่าเดิม และ ส่งผลกระทบวงกว้างขึ้น ดังนั้น
จึงกดดันให้ดัชนี SET index วูบไถลลงมาปิดตัวที่ระดับ 1634.98 จุด +0.54 จุด วันนี้มาติดตามกันต่อ ว่าดัชนีจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้หรือไม่
Fundamental
เอเชียเช้านี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดบวกในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์
หลังจากหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ภายหลังจากที่โอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมครั้งล่าสุด แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน
ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ดัชนีนิกเกอิเปิดบวก 26.73 จุด หรือ +0.12% แตะที่ 22,543.56 จุด
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า หุ้นที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเช้านี้นำโดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ กลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันและถ่านหิน กลุ่มกระดาษและเยื่อกระดาษ
ส่วนหุ้นกลุ่มขนส่งทางบก กลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ และกลุ่มสิ่งทอ ปรับตัวลง
"ฝั่งสหรัฐ" ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ (22 มิ.ย.) หลังจากร่วงลงติดต่อกันมา 8 วัน เช่นเดียวกับดัชนี S&P
ที่ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยตลาดได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้นตามราคาน้ำมัน ภายหลังจากที่โอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุม
ครั้งล่าสุด แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าจะเพิ่มขึ้นมากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดแดนลบ เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีร่วงลง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,580.89 จุด เพิ่มขึ้น 119.19 จุด หรือ 0.49%
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,754.88 จุด เพิ่มขึ้น 5.12 จุด หรือ 0.19%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,692.82 จุด ลดลง 20.14 จุด หรือ -0.26%
สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงสองสัปดาห์ติดต่อกัน และเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมี.ค.
ที่ผ่านมา ด้านดัชนี S&P ลดลง 0.9% และดัชนี Nasdaq ลดลง 0.3% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาสี่สัปดาห์
ภาวะการซื้อขายในวันศุกร์นั้นได้ปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่พุ่งขึ้น 2.2% โดยนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นบริษัทน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบทะยาน
ขึ้น ภายหลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ได้ออกแถลงการณ์หลังการประชุมกำหนดนโยบายการผลิต ที่กรุงเวียนนา วานนี้ โดยระบุว่าโอเปก
จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน แต่ไม่มีการระบุปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
แถลงการณ์โอเปกระบุว่า เนื่องจากสมาชิกบางประเทศได้ลดกำลังการผลิตมากกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ในเดือนพ.ย.2559 ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติให้
สมาชิก 12 ประเทศจากทั้งหมด 14 ประเทศ เพิ่มกำลังการผลิต เพื่อให้ตัวเลขความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันกลับสู่จำนวน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันที่ตกลงกันไว้ในเดือนพ.ย.2559 ก่อนหน้านี้ โอเปกมีมติขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน 1.2 ล้านบาร์เรล/วันจนถึงสิ้นปีนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน อย่างไรก็ดี สมาชิกโอเปกได้ให้ความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันมากถึง 152% ซึ่งหมายความว่าสมาชิกโอเปก
ได้ปรับลดกำลังการผลิตรวมกันมากกว่า 1.2 ล้านบาร์เรล/วันที่ได้ตกลงกันไว้
แถลงการณ์การประชุมครั้งล่าสุดของโอเปกระบุว่า "สมาชิกโอเปกได้ให้ความร่วมมือลดกำลังการผลิตน้ำมันแตะระดับ 152% ในเดือนพ.ค. ส่งผล
ให้ที่ประชุมมีมติในวันนี้ให้ลดตัวเลขความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันสู่ระดับ 100% โดยเริ่มต้นวันที่ 1 ก.ค." ทางด้านแหล่งข่าว
เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ที่ประชุมโอเปกมีมติเพิ่มกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่เดือนก.ค. การปรับเพิ่มกำลังการผลิต 1 ล้านบาร์เรล/วัน
จะสอดคล้องกับที่ซาอุดิอาระเบียเสนอก่อนหน้านี้ ขณะที่รัสเซียเสนอให้ปรับเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน
อย่างไรก็ดี เนื่องจากสมาชิกโอเปกบางประเทศไม่สามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เนื่องจากติดขัดจากปัจจัยในประเทศ ทำให้คาดว่าตัวเลขการ
เพิ่มการผลิตน้ำมันที่แท้จริงจะอยู่ในระดับเพียง 600,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งสอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และการเพิ่มกำลัง
การผลิตในระดับดังกล่าวจะไม่กดดันราคาน้ำมันให้ดิ่งลง
หุ้นบริษัทน้ำมันรายใหญ่ ทั้งเชฟรอน และเอ็กซอน โมบิล ต่างปิดทะยานขึ้นมากกว่า 2% หลังผลประชุมโอเปก
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคงติดตามสถานการณ์ความตึงเครียดทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐและคู่ค้ารายใหญ่ อย่างจีน และสหภาพยุโรป อย่าง
ใกล้ชิด ท่ามกลางความกังวลว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะลุกลามกลายเป็นปัจจัยถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ขณะที่มาตรการตอบโต้ของ
EU ในการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้ามูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์จากสหรัฐ เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันศุกร์นี้
โดยล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีจากรถยนต์ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป (EU) หาก EU ไม่ยกเลิกการเรียก
เก็บภาษีต่อรถยนต์สหรัฐ
"จากการที่สหภาพยุโรปได้เรียกเก็บภาษี และตั้งกำแพงการค้าต่อบริษัทของสหรัฐ หากสหภาพยุโรปยังไม่ยกเลิกการเรียกเก็บภาษี และกำแพงการค้า
เราก็จะเรียกเก็บภาษี 20% ต่อรถยนต์ทั้งหมดที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทวีตดังกล่าวของทรัมป์ส่งให้หุ้นบริษัทรถยนต์พากันปรับตัวลดลง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยวานนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI)
รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ อ่อนตัวลงสู่ระดับ 56.0 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน หลังจากแตะ 56.6
ในเดือนพ.ค.
ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหลังหลายบริษัทรายงานผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับตลาด โดยหุ้นเรดแฮตร่วงหนักกว่า 14% หลังบริษัทซอฟต์แวร์เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการรายไตรมาสที่น้อยกว่าคาด
หุ้นแบล็คเบอร์รี ร่วงเกือบ 9% โดยถึงแม้บริษัทรายงานกำไรไตรมาสแรกดีกว่าคาด แต่รายได้กลับออกมาน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ดี หุ้นคาร์แม็กซ์ บริษัทขายรถมือสอง พุ่ง 12.86% หลังจากที่บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกดีกว่าการคาดการณ์
ฝั่งยุโรป ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (22 มิ.ย.) หลังจากมีการเปิดเผยข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมในภาคธุรกิจของ
ยูโรโซนนั้นเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นจากที่ชะลอตัวมาหลายเดือน ประกอบกับได้แรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน ภายหลังราคาน้ำมันดิบพุ่งรับผลประชุม
โอเปกที่มีมติเพิ่มกำลังการผลิต แต่ไม่ระบุปริมาณชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะเพิ่มขึ้นไม่มากอย่างที่ตลาดกังวลก่อนหน้านี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 4.16 จุด หรือ 1.09% ปิดที่ 385.01 จุด อย่างไรก็ตาม ทั้งสัปดาห์ ดัชนีปรับตัวลง 1.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,387.38 จุด เพิ่มขึ้น 71.37 จุด หรือ 1.34%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,579.72 จุด เพิ่มขึ้น 67.81 จุด หรือ 0.54%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,682.27 จุด เพิ่มขึ้น 125.83 จุด หรือ 1.67%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนหลังจากที่ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการ
ฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.8 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 54.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า
กิจกรรมในภาคธุรกิจของยูโรโซนขยายตัวในอัตราที่เร็วขึ้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ดัชนี PMI รวมปรับตัวขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากภาค
บริการ โดยดัชนี PMI ภาคบริการยูโรโซน อยู่ที่ 55.0 ในเดือนมิ.ย. เพิ่มขึ้นจาก 53.8 ในเดือนพ.ค. แม้ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตลดลงมาอยู่ที่ 55.0
ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 55.5 ในเดือนพ.ค.ก็ตาม
นอกจากนี้ กิจกรรมในภาคบริการของเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสองประเทศใหญ่สุดในยูโรโซน ก็ออกมาดีกว่าการคาดการณ์ด้วย แม้กิจกรรม
ในภาคการผลิตจะชะลอตัวลงเช่นเดียวกัน
ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นของเยอรมนี เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.2 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ
2 เดือน จากระดับ 53.4 ในเดือนพ.ค. โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการ อยู่ที่ 53.9 ในเดือน
มิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 52.1 ในเดือนพ.ค. ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิต อยู่ที่ 55.9 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ
18 เดือน จากระดับ 56.9 ในเดือนพ.ค.
Credit : สำนักข่าวอินโฟวเควสท์
Technical Analysis
SET index TF Day: ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนไถลร่วงหลุดแนวรับ Neck line ที่ระดับ
1673 จุด ลงมา และทำให้เห็นรูปแบบกลับตัว “Complex Head & Shoulder” ชัดเจนยิ่งขึ้น และแม้ว่าระหว่างกลางสัปดาห์ จะได้เห็นการฟื้นตัว
Rebound ของดัชนีบ้าง แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว และยังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงวันศุกร์ ดัชนีก็ยังคงทำ New Low
ลงไปอีก ซึ่งเป็นการยืนยันรูปแบบแท่งเทียน “Bear Hug” (ไม่ใช่ Bullish Stick Sandwich อย่างที่คาดกัน) และแนวโน้มถัดระยะกลางจากนี้มองว่า
มีโอกาสที่ ดัชนีจะไถลลงไปทดสอบ แนวรับจิตวิทยา 1600 จุด
S50M18 TF Day: ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนไถลร่วงหลุดแนวรับ เส้น EMA200 วัน ที่ระดับ 1110 จุด ลงไปอย่างง่ายดาย (Breakdown) ทำให้ภาพของขาลงอ่อน ชัดเจนขึ้น แม้ว่ะหว่างกลางสัปดาห์ จะเห็นการฟื้นตัว Rebound ของดัชนีบ้าง
แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว และยังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นการยืนยัน “Distribution Phase”
ทั้งนี้ยังเริ่มเห็นสัญญาณ Dead Cross ที่กำลังจะตัด ถ้าหากดัชนียังไม่ฟื้นตัว ก็มีโอกาสที่จะเห็นดัชนีลงไปทดสอบแนวนับจิตวิทยา 1040 - 1050 จุด
ก็เป้นได้
S50M18 TF60 Min: เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนียังคงเผชิญกับแรงเทขายทำกำไรออกมาอย่างหนักหน่วง โดยการร่วงของดัชนี ได้เปิด Gap
ลงมาอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงระดับ “Island Reversal Bottom” พร้อมกับไม่ได้ทำ New Low แต่อย่างใด ซึ่งแนวโน้มวันนี้ หากดัชนีสามารถกลับ
ขึ้นไปยืนเหนือ 1080 ได้ ก็น่าจะทำให้สัญญาณระยะสั้นดีขึ้นเล็กน้อย โดยคาดว่าการฟื้นตัวของดัชนี (Pullback) น่าจะอยู่ระหว่าง 1090-1100 จุด
/หากดัชนีไม่สามารถฟื้นตัวใดๆได้เลย ก็อาจจะมี Panic ตามมาก็เป็นได้
Resistance : 1075 1080 1085 1090 / 1640 1644 1650
Support : 1066 1061 1055 1050 / 1626 1620 1616
*EOD End of day
ผิดพลาดประการใดโปรดชี้แนะ
สำหรับพี่ๆ น้องๆ ที่ เล่น Put,Call Option ครับ ผมอาจจะไม่ ถนัดด้านนี้
แต่ ในกระทู้นี้ รับรองว่ามี จอมขมังเวทย์ Option เยอะครับ เชิญแชร์ iDea เจ๋งๆ เด็ดๆ / หรือข้อสงสัย สอบถามกันตามสบายเลยครับ