สวัสดีครับ สืบเนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เดินทางไปธุระปะปังที่ญี่ปุ่นเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ มีเวลาได้ไปนั่นไปนี่ แล้วก็ไม่ขี้เกียจที่จะถ่ายรูปจนเกินไป แม้รูปทั้งหมดไม่ได้สวยอะไรนัก เพราะถ่ายด้วยกล้องโทรศัพท์เคลื่อนที่แสนธรรมดา แต่เมื่อกลับมาแล้วก็เลยคิดได้ว่า จะใช้เวลาเล็ก ๆ บอกเล่าการเดินทางและความประทับใจหนึ่งเดือนในโตเกียวในครั้งนี้ ได้เปลี่ยนความคิดของผมจากโตเกียวและญี่ปุ่นในครั้งก่อน ๆ โดยสิ้นเชิง ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของผม ที่ นั่นก็คือ การไม่เล่ารายละเอียดมากมายถึงขั้นเดินซ้าย เลี้ยวขวา หรือใช้งบประมาณอย่างไรเท่าไร แต่เป็นการเล่าสิ่งที่ได้ไปเห็นไปชิม พร้อมข้อมูลเบื้องต้นเล็ก ๆ ที่หากผู้อ่านกระทู้สนใจก็สามารถไปสืบค้นต่อแล้วนำมาบรรจุเป็นแผนการเดินทางในโอกาสต่อ ๆ ไปได้ครับ

อย่างที่ชื่อกระทู้บอก คือ เป็นกระทู้รีวิวิร้านอาหาร ดังนั้น เนื้อหาหลักจากนี้ จะว่าด้วยอาหารการกินล้วน ๆ และจะมีตอนสุดท้ายที่พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวนิดหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งคนไทยคุ้นและไม่คุ้นเคยมาอรรถาธิบายให้ฟังอย่างกระชับ ๆ ครับ

เริ่มต้นที่ร้านอาหารก่อน หนนี้ ผมเดินทางในฐานะแขกของรัฐบาลญี่ปุ่น ดังนั้น ตอนกรอกข้อมูลเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่านก็จะบังคับให้กรอกว่า official visit และเมื่อถึงโรงแรมที่พักซึ่งอารมณ์เหมือน service residence ซึ่งรวมอาหารเช้า ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงหนึ่งก้อนสำหรับหนึ่งเดือน ผมไม่บอกตัวเลข แต่เอาเป็นว่าไม่มากนัก ถ้าหากจะอยู่อย่างสบายต้องใส่เงินเองไปอีกหน่อยครับ และทันทีที่เสร็จขั้นตอนการพบผู้ดูแลผมตลอดหนึ่งเดือนที่นี่ ผมก็รีบบอกลาคุณลุงผู้ดูแล แล้วบึ่งไปยังร้านอาหารที่จองไว้ร้านแรก (หนนี้จองมา แล้วก็เปลี่ยนแผนไปมา จนเบ็ดเสร็จสามารถไปลองมิชลินได้รวม 7 ร้าน 9 ดาว โดยไม่มีร้านญี่ปุ่นเลยครับ)
Edition Koji Shimomura
สองดาวมิชลินไม่ใช่เรื่องแปลกและใหม่สำหรับผม และเอาจริง ๆ ที่โตเกียวก็มีร้านสองดาวน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย โดยเฉพาะอาหารตะวันตก หนนี้ผมไม่ได้กลับไปซ้ำทาเทรุ โยชิโนะ หรือปิแอร์ กันแยร์ แต่หาร้านใหม่เลยอย่าง เอดิชั่น โคจิ ชิโมมุระ ที่เพิ่งมา featuring กับร้านสองดาวบ้านเราอย่าง Mezzaluna เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาครับ

การจองร้านทำไม่ยากครับ ผมใช้เว็บ Tablecheck สะดวกและไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ต่างจากร้านสามดาวสองดาวหลายแห่งที่จองผ่านบางเว็บซึ่งยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายที่ตอนจ่ายเงินอาจมือสั่นได้ โชคดีวันนี้ผมกับแขกร่วมโต๊ะมาถึงร้านเป็นคู่แรก เลยได้ถ่ายภาพบรรยากาศ วันนี้ร้านมี 7 โต๊ะและเต็มทุกโต๊ะ ลูกค้ารวม 15 คน หญิง 12 ส่วนชายอีกคนที่ไม่ใช่เราน่าจะเป็นเซเลปของที่นี่ เพราะเห็นโต๊ะอื่นอู้อ้าพูดถึงกันอยู่

วันนี้จองมื้อเที่ยงแบบหกคอร์สง่าย ๆ ก่อนจะเริ่มพนักงานจะเอาน้ำมาราดลงบนผ้าเย็นเพื่อให้คลี่ออกเทคนิคมาตรฐานร้านญี่ปุ่นสไตล์ตะวันตก ล่าสุดเจอที่ Terra (อดีตร้าน)หนึ่งดาวมิชลินที่สิงคโปร์ ก่อนจะเริ่มบริการอะมุซบุชสามอย่าง เป็นมันทอดกลิ่นชีสเสียอย่าง เป็นขนมปังกรอบกับแซลมอนสับในซอสประมาณส้มและซิตรัสอีกอย่าง ปิดท้ายเป็นชีสบอลกับโปรชุตโต ตัว มันทอดอร่อยแต่ไม่ว้าว อันสองปลารสสัมผัสอร่อยมาก กินแล้วชุ่มฉ่ำ แต่ขนมปังกรอบใหญ่ไปกินแล้วไม่สมดุล ส่วนชีสบอลนั้นอร่อยลืมตาย โปรชุตโตคือฉ่ำและมันมากแต่ไม่เลี่ยนครับ

อาหารเรียกน้ำย่อยจานที่หนึ่ง เป็นปลาดิบสับหยาบ ปลาอะไรก็ฟังบริกรพูดไม่ค่อยจะทัน หอมกลิ่นมะนาวอ่อน ๆ ที่เด็ดคือการเลือกองุ่นทอปมาด้านบนและเข้ากันมาก ปิดท้ายด้วยคาเวียร์เพื่อให้เค็มตัดเปรี้ยว การรับประทานคือพร้อมกันคำเดียว มันชุ่มฉ่ำและเต็มรสในปากมากครับ

อาหารเรียกน้ำย่อยจานสอง อันนี้ผมโหวตด้วยคะแนนเต็ม หอยนางรมสดขนาดใหญ่สองตัว ข้างล่างเป็นครีมมะนาวให้กินตัดคาว ข้างบนเป็นเยลลี่มะนาวให้กินตัดเลี่ยน ทานพร้อมกันทั้งหอยและซอสกับเยลลี่ และข้างบนมีสาหร่ายมาอีก อร่อยมาก ไม่คาวเลย และการทำองค์ประกอบคือดีเพราะสมดุลมาก ๆ ในทุกคำครับ จานนี้ถ้ากินง่าย ๆ คือสี่คำ คำละครึ่งตัวครับ

ระหว่างรับประทานจะมีขนมปังมาบริการ ขนมปังจะมาทีละชิ้นเท่านั้น ไม่มีเนยหรือน้ำมันมะกอกให้แกล้มเพราะไม่จำเป็น ขนมปังรสชาติธรรมดาทั้งสองแบบ แต่สิ่งที่เอาอยู่คืออุณหภูมิการเสิร์ฟ ไม่เย็นชืด แต่ก็ไม่ร้อนจนร่วน ทำให้ทานอร่อยครับ

จานหลักหนึ่ง เป็นปลาจอห์น ดอรี่ คนละแบบกับปลาสวายดอรี่นะครับ พันมาด้วยเส้นอะไรสักอย่าง ซอสเป็นไลม์ซอส กลิ่นมะนาวโดดไปนิด และเอาจริง ๆ ไม่ต้องมีมาก็ได้ ผมว่าปลาเปล่า ๆ ก็อร่อยอยู่แล้ว ถ้าจะมีซอส เป็นครีมมี่แบบนี้ก็ได้ แต่ไม่ต้องรสเปรี้ยวนำครับ เพราะมันไม่อาจไปได้ดีกับปลาที่อร่อยมากอยู่แล้วเท่าไร แม้แต่บรอคโคลี่ข้าง ๆ ซอสก็ไม่สามารถเติมเต็มครับ

จานหลักสอง เป็ดอบ มาแบบมีเดียม(แรร์) อร่อยจริง ๆ คือปกติกินเป็ดเราจะคิดว่าต้องกินมีเดียมขึ้นไป แต่นี่ยังชมพูอยู่มาก หั่นแล้วมีน้ำแดง ๆ ไหลออก แล้วก็ไม่มีกลิ่นสาบแบบน่าเกลียด ส่วนหนังทำสุกพอดี ที่โหวตอีกอย่างคือการเลือกผักมากินคู่ กราบคนคิด บรัสเซลส์สเปราท์ ลีก หรือแม้แต่รากบัว มันไปด้วยกันหมดเลยกับเป็ด หั่นเป็ดหนึ่งคำแล้วการ์นิชกับผักอย่างละนิดละหน่อย ทั้งเนื้อสัมผัสและรสสมดุลสุด ๆ ครับ

หมดคาวยังมีหวานอีกสอง หวานแรก อันนี้แบบไม่มากินไม่ได้ ช็อกโกแลตกานาช ตัวกานาชว่าเทพแล้ว การดีคอมโพสทุก อย่างเจ๋งกว่าอีกครับ เริ่มตั้งแต่ตัวช็อกโกแลตเวลากินต้องราดน้ำมันมะกอก ฟังดูเหมือนไม่เข้า แต่มันใช่เลย เพราะมันรักษารสและทรงของช็อกโกแลตไว้ ผงช็อกโกแลตเย็นข้าง ๆ ก็เสริมรสให้เด่นไปอีก และที่เห็นในแก้วทรงสูงคือน้ำช็อกโกแลตใสแบบเย็น ยอมใจคนคิด เพราะมันอร่อยมาก จิบน้ำ แล้วทานช็อกโกแลตตาม แล้วกระดกน้ำตอนท้ายจนหมดแก้วอีกรอบ อร่อยโดยไม่เหลือคราบช็อกโกแลตทำให้พร้อมจะรับรสคอร์สต่อไปได้เลยครับ

หวานสอง วุ้นกาแฟและมูส รสชาติดีเพราะจานก่อนหน้าดีกว่า ถ้วยนี้ก็เลยธรรมดา มีดีที่เสิร์ฟในภาชนะ signature ของร้านครับ (ชอบก็ซื้อกลับบ้านได้) จานนี้ยังมาพร้อมพราลีนช็อกโกแลตในภาชนะผอบไม้ อันนี้เด็ดกว่าตัววุ้นมูสครับ

ปิดท้าย ชากาแฟ เติมได้แบบอททอมเลส ถ้าท่านอยากตาสว่าง จะดื่มกี่แก้วก็ได้ ไม่คิดเงินเพิ่ม ส่วนชามีชาอังกฤษธรรมดา กับชาสมุนไพรซึ่งบริกรเชียร์นักหนา อร่อยไหม คำแรกรู้สึกเลวร้ายจากกลิ่นมิ้นท์ตีกับมะกรูด แต่ดื่ม ๆ ไปก็รู้สึกผ่อนคลายและหอมดี เอาเป็นว่าแปลกแต่ชอบครับ

สุดท้าย เชฟน่ารักและเป็นกันเอง ออกมาทักทายพูดคุย ไปเอาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ทื่ท่านลงเต็มหน้ามาให้ดูด้วย เชฟโคจิชอบเมืองไทยมาก มาบ่อย เดี๋ยวจะมาอีกแต่มาเที่ยวไม่ได้มาทำครัวร่วมกับเชฟท่านไหน เห็นเชฟคุยว่าอีกสองสามวันก็จะมีสถานทูตไทยมาทานด้วย นับว่าโชคดีที่ชิงมาก่อนครับ ก่อนกลับก็เลยไปถ่ายรูปหน้าร้านโดยมีเชฟเป็นโต้โผจัดการเสร็จสรรพ
Verdict ถ้าเงินเหลือกินเหลือใช้ก็มา หรือเก็บเงินได้ก็ควรมา ประสบการณ์แบบนี้ควรลองสักครั้ง(หรือหลายครั้ง) แพงไหม ก็คนละ 7,700 เยนโดยประมาณ รวมน้ำอัดก๊าซอีกขวดราคา 900 เยน ++ แล้ว ส่วนคอร์สที่เห็นคนละ 6000++ ถูกกว่าสองดาวมิชลินเมืองไทยทุกร้านครับ อ้อ มาร้านนี้ได้โดยรถไฟใต้ดินลงสถานี รปปงหงิ อิทโจเมะ สายนันบกน่าจะสะดวกที่สุดครับ รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ครับ http://www.koji-shimomura.jp/
Japan 101 ++ เดินทาง ชิม ชม และมองโตเกียวและเกียวโตมุมใหม่ ๆ ไปด้วยกันครับ
อย่างที่ชื่อกระทู้บอก คือ เป็นกระทู้รีวิวิร้านอาหาร ดังนั้น เนื้อหาหลักจากนี้ จะว่าด้วยอาหารการกินล้วน ๆ และจะมีตอนสุดท้ายที่พูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวนิดหน่อย ซึ่งแน่นอนว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งคนไทยคุ้นและไม่คุ้นเคยมาอรรถาธิบายให้ฟังอย่างกระชับ ๆ ครับ
เริ่มต้นที่ร้านอาหารก่อน หนนี้ ผมเดินทางในฐานะแขกของรัฐบาลญี่ปุ่น ดังนั้น ตอนกรอกข้อมูลเข้าเมือง ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่านก็จะบังคับให้กรอกว่า official visit และเมื่อถึงโรงแรมที่พักซึ่งอารมณ์เหมือน service residence ซึ่งรวมอาหารเช้า ก็จะได้รับเบี้ยเลี้ยงหนึ่งก้อนสำหรับหนึ่งเดือน ผมไม่บอกตัวเลข แต่เอาเป็นว่าไม่มากนัก ถ้าหากจะอยู่อย่างสบายต้องใส่เงินเองไปอีกหน่อยครับ และทันทีที่เสร็จขั้นตอนการพบผู้ดูแลผมตลอดหนึ่งเดือนที่นี่ ผมก็รีบบอกลาคุณลุงผู้ดูแล แล้วบึ่งไปยังร้านอาหารที่จองไว้ร้านแรก (หนนี้จองมา แล้วก็เปลี่ยนแผนไปมา จนเบ็ดเสร็จสามารถไปลองมิชลินได้รวม 7 ร้าน 9 ดาว โดยไม่มีร้านญี่ปุ่นเลยครับ)
Edition Koji Shimomura
สองดาวมิชลินไม่ใช่เรื่องแปลกและใหม่สำหรับผม และเอาจริง ๆ ที่โตเกียวก็มีร้านสองดาวน่าตื่นตาตื่นใจมากมาย โดยเฉพาะอาหารตะวันตก หนนี้ผมไม่ได้กลับไปซ้ำทาเทรุ โยชิโนะ หรือปิแอร์ กันแยร์ แต่หาร้านใหม่เลยอย่าง เอดิชั่น โคจิ ชิโมมุระ ที่เพิ่งมา featuring กับร้านสองดาวบ้านเราอย่าง Mezzaluna เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาครับ
การจองร้านทำไม่ยากครับ ผมใช้เว็บ Tablecheck สะดวกและไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ต่างจากร้านสามดาวสองดาวหลายแห่งที่จองผ่านบางเว็บซึ่งยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายที่ตอนจ่ายเงินอาจมือสั่นได้ โชคดีวันนี้ผมกับแขกร่วมโต๊ะมาถึงร้านเป็นคู่แรก เลยได้ถ่ายภาพบรรยากาศ วันนี้ร้านมี 7 โต๊ะและเต็มทุกโต๊ะ ลูกค้ารวม 15 คน หญิง 12 ส่วนชายอีกคนที่ไม่ใช่เราน่าจะเป็นเซเลปของที่นี่ เพราะเห็นโต๊ะอื่นอู้อ้าพูดถึงกันอยู่
วันนี้จองมื้อเที่ยงแบบหกคอร์สง่าย ๆ ก่อนจะเริ่มพนักงานจะเอาน้ำมาราดลงบนผ้าเย็นเพื่อให้คลี่ออกเทคนิคมาตรฐานร้านญี่ปุ่นสไตล์ตะวันตก ล่าสุดเจอที่ Terra (อดีตร้าน)หนึ่งดาวมิชลินที่สิงคโปร์ ก่อนจะเริ่มบริการอะมุซบุชสามอย่าง เป็นมันทอดกลิ่นชีสเสียอย่าง เป็นขนมปังกรอบกับแซลมอนสับในซอสประมาณส้มและซิตรัสอีกอย่าง ปิดท้ายเป็นชีสบอลกับโปรชุตโต ตัว มันทอดอร่อยแต่ไม่ว้าว อันสองปลารสสัมผัสอร่อยมาก กินแล้วชุ่มฉ่ำ แต่ขนมปังกรอบใหญ่ไปกินแล้วไม่สมดุล ส่วนชีสบอลนั้นอร่อยลืมตาย โปรชุตโตคือฉ่ำและมันมากแต่ไม่เลี่ยนครับ
อาหารเรียกน้ำย่อยจานที่หนึ่ง เป็นปลาดิบสับหยาบ ปลาอะไรก็ฟังบริกรพูดไม่ค่อยจะทัน หอมกลิ่นมะนาวอ่อน ๆ ที่เด็ดคือการเลือกองุ่นทอปมาด้านบนและเข้ากันมาก ปิดท้ายด้วยคาเวียร์เพื่อให้เค็มตัดเปรี้ยว การรับประทานคือพร้อมกันคำเดียว มันชุ่มฉ่ำและเต็มรสในปากมากครับ
อาหารเรียกน้ำย่อยจานสอง อันนี้ผมโหวตด้วยคะแนนเต็ม หอยนางรมสดขนาดใหญ่สองตัว ข้างล่างเป็นครีมมะนาวให้กินตัดคาว ข้างบนเป็นเยลลี่มะนาวให้กินตัดเลี่ยน ทานพร้อมกันทั้งหอยและซอสกับเยลลี่ และข้างบนมีสาหร่ายมาอีก อร่อยมาก ไม่คาวเลย และการทำองค์ประกอบคือดีเพราะสมดุลมาก ๆ ในทุกคำครับ จานนี้ถ้ากินง่าย ๆ คือสี่คำ คำละครึ่งตัวครับ
ระหว่างรับประทานจะมีขนมปังมาบริการ ขนมปังจะมาทีละชิ้นเท่านั้น ไม่มีเนยหรือน้ำมันมะกอกให้แกล้มเพราะไม่จำเป็น ขนมปังรสชาติธรรมดาทั้งสองแบบ แต่สิ่งที่เอาอยู่คืออุณหภูมิการเสิร์ฟ ไม่เย็นชืด แต่ก็ไม่ร้อนจนร่วน ทำให้ทานอร่อยครับ
จานหลักหนึ่ง เป็นปลาจอห์น ดอรี่ คนละแบบกับปลาสวายดอรี่นะครับ พันมาด้วยเส้นอะไรสักอย่าง ซอสเป็นไลม์ซอส กลิ่นมะนาวโดดไปนิด และเอาจริง ๆ ไม่ต้องมีมาก็ได้ ผมว่าปลาเปล่า ๆ ก็อร่อยอยู่แล้ว ถ้าจะมีซอส เป็นครีมมี่แบบนี้ก็ได้ แต่ไม่ต้องรสเปรี้ยวนำครับ เพราะมันไม่อาจไปได้ดีกับปลาที่อร่อยมากอยู่แล้วเท่าไร แม้แต่บรอคโคลี่ข้าง ๆ ซอสก็ไม่สามารถเติมเต็มครับ
จานหลักสอง เป็ดอบ มาแบบมีเดียม(แรร์) อร่อยจริง ๆ คือปกติกินเป็ดเราจะคิดว่าต้องกินมีเดียมขึ้นไป แต่นี่ยังชมพูอยู่มาก หั่นแล้วมีน้ำแดง ๆ ไหลออก แล้วก็ไม่มีกลิ่นสาบแบบน่าเกลียด ส่วนหนังทำสุกพอดี ที่โหวตอีกอย่างคือการเลือกผักมากินคู่ กราบคนคิด บรัสเซลส์สเปราท์ ลีก หรือแม้แต่รากบัว มันไปด้วยกันหมดเลยกับเป็ด หั่นเป็ดหนึ่งคำแล้วการ์นิชกับผักอย่างละนิดละหน่อย ทั้งเนื้อสัมผัสและรสสมดุลสุด ๆ ครับ
หมดคาวยังมีหวานอีกสอง หวานแรก อันนี้แบบไม่มากินไม่ได้ ช็อกโกแลตกานาช ตัวกานาชว่าเทพแล้ว การดีคอมโพสทุก อย่างเจ๋งกว่าอีกครับ เริ่มตั้งแต่ตัวช็อกโกแลตเวลากินต้องราดน้ำมันมะกอก ฟังดูเหมือนไม่เข้า แต่มันใช่เลย เพราะมันรักษารสและทรงของช็อกโกแลตไว้ ผงช็อกโกแลตเย็นข้าง ๆ ก็เสริมรสให้เด่นไปอีก และที่เห็นในแก้วทรงสูงคือน้ำช็อกโกแลตใสแบบเย็น ยอมใจคนคิด เพราะมันอร่อยมาก จิบน้ำ แล้วทานช็อกโกแลตตาม แล้วกระดกน้ำตอนท้ายจนหมดแก้วอีกรอบ อร่อยโดยไม่เหลือคราบช็อกโกแลตทำให้พร้อมจะรับรสคอร์สต่อไปได้เลยครับ
หวานสอง วุ้นกาแฟและมูส รสชาติดีเพราะจานก่อนหน้าดีกว่า ถ้วยนี้ก็เลยธรรมดา มีดีที่เสิร์ฟในภาชนะ signature ของร้านครับ (ชอบก็ซื้อกลับบ้านได้) จานนี้ยังมาพร้อมพราลีนช็อกโกแลตในภาชนะผอบไม้ อันนี้เด็ดกว่าตัววุ้นมูสครับ
ปิดท้าย ชากาแฟ เติมได้แบบอททอมเลส ถ้าท่านอยากตาสว่าง จะดื่มกี่แก้วก็ได้ ไม่คิดเงินเพิ่ม ส่วนชามีชาอังกฤษธรรมดา กับชาสมุนไพรซึ่งบริกรเชียร์นักหนา อร่อยไหม คำแรกรู้สึกเลวร้ายจากกลิ่นมิ้นท์ตีกับมะกรูด แต่ดื่ม ๆ ไปก็รู้สึกผ่อนคลายและหอมดี เอาเป็นว่าแปลกแต่ชอบครับ
สุดท้าย เชฟน่ารักและเป็นกันเอง ออกมาทักทายพูดคุย ไปเอาหนังสือพิมพ์บางกอกโพสท์ทื่ท่านลงเต็มหน้ามาให้ดูด้วย เชฟโคจิชอบเมืองไทยมาก มาบ่อย เดี๋ยวจะมาอีกแต่มาเที่ยวไม่ได้มาทำครัวร่วมกับเชฟท่านไหน เห็นเชฟคุยว่าอีกสองสามวันก็จะมีสถานทูตไทยมาทานด้วย นับว่าโชคดีที่ชิงมาก่อนครับ ก่อนกลับก็เลยไปถ่ายรูปหน้าร้านโดยมีเชฟเป็นโต้โผจัดการเสร็จสรรพ
Verdict ถ้าเงินเหลือกินเหลือใช้ก็มา หรือเก็บเงินได้ก็ควรมา ประสบการณ์แบบนี้ควรลองสักครั้ง(หรือหลายครั้ง) แพงไหม ก็คนละ 7,700 เยนโดยประมาณ รวมน้ำอัดก๊าซอีกขวดราคา 900 เยน ++ แล้ว ส่วนคอร์สที่เห็นคนละ 6000++ ถูกกว่าสองดาวมิชลินเมืองไทยทุกร้านครับ อ้อ มาร้านนี้ได้โดยรถไฟใต้ดินลงสถานี รปปงหงิ อิทโจเมะ สายนันบกน่าจะสะดวกที่สุดครับ รายละเอียดเพิ่มเติมตามนี้ครับ http://www.koji-shimomura.jp/