"ชีวิต" มีแต่ ทำงาน ๆ ๆ แล้วก็เลี้ยงลูก มารู้สึกตัวอีกที...... ชีวิตก็เป็นแบบนี้แล้ว !!!!

     อย่างที่เกริ่นนำไปนั่นแหละค่ะ  คือ เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว  ต้องทำงานไปด้วย  เลี้ยงลูกไปด้วย     
โดยทำงานเป็นเสมียนบริษัทฯ รับเหมาก่อสร้างแถว ๆ พระราม ๓   ก็เอาลูกไปทำงานด้วย   และก็เลี้ยงลูกใต้โต๊ะทำงานมันนั่นแหละค่ะ




พอโตมาเราก็ให้เข้าเรียนอนุบาลโดยให้เรียนที่โรงเรียนเอกชน     อาจจะจ่ายแพงหน่อย
แต่ก็คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับลูกในอนาคต   เพราะเป็นการปูพื้นฐานในการเรียนให้แก่เค้าตั้งแต่ต้น       
อีกอย่างโรงเรียนก็ใกล้กับที่ทำงานเราด้วย     และความที่เค้าอยู่กับเราตลอด  ทำให้เรามีเวลาสอนให้เค้าอ่าน  
หรือ ผสมคำได้   คุณครูก็เลยให้ผ่านขึ้นไปเรียนอนุบาล ๒ เลย
   




                 
                 
และเมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ   ทำให้ต้องย้ายสถานที่ก่อสร้างแห่งใหม่   โดยย้ายไปอยู่แถวพระราม ๒  
ก็พอดีกับที่เค้าจบชั้นอนุบาลพอดี   ต้องขึ้น ป.๑  ต้องหาที่เรียนกันใหม่    โรงเรียนที่ใกล้กับที่ทำงานที่สุด ก็คือ โรงเรียนวัดยายร่ม   
อืม....  เราก็คิดว่า  เอาว่ะ  โรงเรียนวัดก็โรงเรียนวัด  ในใจก็รู้สึกผิดนะคะ   เพราะเราเองได้เรียนโรงเรียนเอกชนมาตลอด   
แต่จะให้ทำอย่างไรได้  ณ.ตอนนั้น  ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำให้ดีที่สุด





                   
แต่เค้าก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย   เค้าเรียนดี  ได้ทุน  ได้ไปประกวด โน้น นี่ สารพัด   ภูมิใจสุด ๆ กับสิ่งที่เค้าทำ         
โดยเราใช้ก็เวลาสอนลูกบนรถเมล์นั่นแหละ   และก็เวลาเดินเข้าซอยจากป้ายรถเมล์มาโรงเรียน   เดินจูงมือกัน  หัวเราะกันบ้าง  
ทะเลาะกันบ้าง  และเถียงกันบ้าง  ตามประสาแม่ – ลูก








                            
เมื่อจบ ป.๖  ก็ต้องหาที่เรียนใหม่อีก   คราวนี้ก็ต้องหาที่เรียนในพื้นที่แถวบ้าน  โรงเรียนที่คิดว่าดีที่สุด
ก็คือโรงเรียนทวีธาภิเศก  ก็ไปสมัครสอบ  ผลปรากฏว่าสอบเข้าได้  ได้ที่เรียนสมใจ  แรก ๆ ผลการเรียนก็เป็นที่น่าพอใจ  
ได้ที่ 1 ที่ 2  สลับกัน  จนมาขึ้น ม.2 เทอม 2  ผลการเรียนเริ่มตกลง    ด้วยความที่เค้าเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น   และแม่ก็ต้องทำงานเยอะ  
เพื่อนก็เลยเข้ามามีอิทธิพล   เราก็เริ่มมีปากเสียงกันบ้าง   มีทะเลาะกันบ้าง








                           
ช่วงนั้นยอมรับว่าเครียดมาก    เมื่อจบ ม.3  ก็เลยอยากให้ลูกเรียนสายอาชีพ  เพราะเราเองก็เรียนสายอาชีพ  
คิดว่ามันหางานง่าย    และอีกอย่างเราก็ไม่เคยผ่านชีวิตการเรียนในมหาวิทยาลัย    ก็เลยคิดว่าไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปบอก  ไปสอนลูก  
ก็เลยให้ลูกเรียนสายอาชีวะ    และโรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุด  ก็คือ  โรงเรียนช่างกลสยาม   เราก็เลยให้ลูกเรียนที่นั่น


                           
เมื่อไปสมัครเรียน   เราสองคนก็งง ๆ ว่า จะเลือกเรียนอะไรดี    เมื่อคุณครูดูผลการเรียนและให้ไปลอง
ทดสอบความรู้     จึงแนะนำให้เรียนสาขาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์    ลูกก็เลือกเรียนสาขานี้    โดยเราให้เรียนรอบเช้า  
เพื่อที่จะได้กลับบ้านไว  และไม่อันตราย  ผลปรากฏว่า  เราคิดผิด  ด้วยความที่โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านและเราต้องออกจากบ้าน
ไปทำงานก่อนลูก   ลูกก็เลยตื่นสาย   แถมกลับก็ดึก   เพราะต้องเข้าร่วมกิจกรรมในการเป็นรุ่นน้อง   แต่เราก็ยังคอยสอดส่อง
พฤติกรรมเค้าตลอดว่า  อยู่ที่ไหน  ทำอะไร  กับใคร
  


                                 
เค้าก็เป็นวัยรุ่นปกติตามประสาเด็กช่างทั่ว ๆ ไป   ไปเรียน  กินเหล้า  มีกิจกรรมโลดโผนบ้าง  แต่ก็ด้วยที่เราสนิทกัน  
และเราจะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด   และจากประสบการณ์การเรียนสายอาชีพ  ทำให้เรารู้ทันและรับมือกับลูกได้






                 
แต่อย่างว่าแหละ  เรียนช่างกลมันก็จะเสียว ๆ หน่อย  แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้  เค้าจบ ปวช. แล้ว ก็ ปวส.
เพื่อน ๆ ลูก  ก็กลายมาเป็นเพื่อนเรา    แรก ๆ ทุกคนก็จะ งง ๆ ที่  เอ๊ะ....  ทำไมไอ้นี่ต้องพาแม่ไปไหน – มาไหนด้วยตลอด  
แต่นานไปทุกคนก็จะชิน   แรก ๆ ก็ถามเค้าว่า  ไม่อายเหรอครับที่พาแม่ไป โน้น นี่ นั่น ด้วย  เค้าบอกว่า ไม่อายหรอก
คนอื่นน่าจะอายเค้ามากกว่า  ที่ไม่ยอมพาแม่ไปไหน – มาไหนด้วย




วันนี้เค้าได้ทำงานแล้ว  บวชเรียนแล้ว  และก็ถือศีล ๕  เลิกกินเหล้าแล้ว






ส่วนเราตอนนี้ก็ออกจากงาน  มาเป็นแม่บ้าน  ดูแลบ้าน  ดูแลคุณแม่  ชีวิตก็ happy ดีค่ะ



































แล้วเพื่อน ๆ ของลูก  ก็กลายมาเป็น เพื่อน ๆ ของเรา ( ซะงั้น )















                  
ต้องขอขอบคุณเค้านะคะ  ที่ไม่เคยทอดทิ้งแม่   ถ้ามีเวลาว่าง  เค้าก็จะพาเราไปเที่ยว  
เอาจริง ๆ แค่เค้าพาเราไปเดินห้าง  เราก็มี “ความสุข” แล้วล่ะ   จนทำให้เราคิดว่า  
เรามีเพื่อนเป็นลูก  หรือ  มีลูกเป็นเพื่อนกันแน่  


















ถ้ามีเวลาเราก็จะไปหาพระอาจารย์   ไปนั่งสมาธิบ้าง







        
  ก็บอกแล้วว่า  ตั้งแต่เรามีลูก   เราก็ทำแต่งาน  แล้วก็เลี้ยงลูกไปด้วย  ชีวิตมีแค่นี้จริง ๆ  
ไปไหน ก็ไปด้วยกันตลอด   พอมารู้สึกตัวอีกที    ชีวิตเราก็เป็นแบบนี้แล้ว   แต่กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้
เราสองคนก็ผ่านอะไร ๆ มาเยอะ   เสียน้ำตาด้วยกันมาก็มาก   ทะเลาะกันก็บ่อย  แต่ก็นะ ความเป็นแม่















             
ขอบคุณมาก ๆ นะครับผม   ที่ทำให้แม่ มีความสุข  และเป็นแม่ที่โชคดีคนนึงเลย   ที่มีโอกาส
ได้ทำอะไร ๆ แบบนี้กับลูก    มันสุดยอดมาก ๆ เลยครับผม    ขอบคุณจริง ๆ  ครับลูก














          
เราคิดว่า  คำว่า  "ครอบครัว"  นั้น  มันจะสมบูรณ์หรือขาดหายไป   มันไม่ได้มีผลอะไรกับการ
เลี้ยงลูกเลย    ปัญหาในการเลี้ยงลูกนั้น   มันเกิดขึ้นได้ทุกวัน  และทุกเวลา    และปัญหาที่เกิดขึ้นมันก็จะ
เปลี่ยนแปลงตลอด    แค่คุณมีสติ  ค่อย ๆ คิด  ค่อย ๆ แก้ไข  มันก็จะทำให้คุณผ่านพ้นปัญหาต่าง ๆ ไปได้
และไม่ใช่แต่เฉพาะคุณเท่านั้น    ลูกของคุณก็จะผ่านพ้นกับปัญหาที่จะผ่านเข้ามาในแต่ละช่วงชีวิตของเค้า
ด้วยเช่นกัน    



อ่อ.....   นาง มี แฟน นะคะ    ไม่ใช่  ไม่มี




******    ขอแก้ไขข้อความ  เนื่องจากมีเพื่อนสมาชิก  แนะนำให้เซ็นเซอร์ ชื่อ - นามสกุล  เพื่อความเป็นส่วนตัวค่ะ  *******
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่