
จากเฟชบุ้กของนาย พงศกร รอดชมพู ที่พูดถึงพนักงานบริษัท แถวสุขุมวิท ว่าเป็นไพร่สมัยใหม่
ตามความคิดผม คำว่าไพร่นี้ไม่ได้กระทบความรู้สึกอะไรเลย เพราะความเป็นไพร่ฟ้าประชาชนคนไทย ก็ความหมายเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษ ไม่ได้เป็นเซเลบ หรือบุคคลสังคมชั้นสูง
แต่การบอกว่า "ไม่ควรส่งเสียบุตรหลานให้มาทำอาชีพพนักงานบริษัทหรือข้าราชการ" นั้น เป็นความคิดที่แคบมาก
มองเห็นความดีงามด้านเดียว
บ่งบอกความเป็นทุนนิยม
สเตตัสนั้น สงสัยถูกลบไป แต่มีสเตตัสนี้ขึ้นแทน

ความหมายก็คือ ไม่อยากให้มาแย่งกันหางาน
แต่ควรเพิ่มทักษะ ในการเป็นผู้ประกอบการมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณพงศกรเคยคิดไหมว่า
หากคุณสร้างทุกคนขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ผลิต
ใครล่ะจะเป็นแรงงาน แล้วชนชั้นไหนล่ะ ที่เป็นฐานภาษีสำคัญให้กับประเทศ
ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ตอนที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง
แรงงานเป็นที่ต้องการเป็นอย่างสูง เพราะหลายคนผันตัวมาเป็น sme
ฉะนั้น คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่า พ่อแม่จะส่งเสียบุตรหลานให้มาเป็นพนักงานบริษัท
เพราะถ้าหากคุณทำเศรษฐกิจให้รุ่งเรืองแล้ว ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของกิจการกันทั้งนั้นแหละ
ถ้าเศรษฐกิจยังย่ำแย่อยู่แบบนี้ มันก็ไม่มีใครคิดจะลงทุน
ทุกวันนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่ได้แปลว่าไม่มีเงิน ไม่ได้แปลว่าไม่มีโอกาส
ไม่ได้แปลว่าไม่มีความต้องการในธุรกิจ
แต่มันคือการไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าใช้เงิน ไม่กล้ากู้เงิน ต่างหากเล่า
หากต้องการให้คนผ่านมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น
แค่ทำให้เศรษฐกิจดูดี สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
โดยรัฐบาลเอง ต้องสนับสนุนด้วยการสร้าง demand
ไม่ว่าจะในประเทศและนอกประเทศ
เมื่อโอกาสมี ย่อมมีผู้แสวงหาโอกาส
แต่ต่อให้คุณ สะกดจิตให้ทุกคนทั้งประเทศต้องการเป็นผู้ประกอบการ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เศรษฐกิจฝืดเคือง
ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งอยู่ดี
แสดงทัศนะแบบนี้ พรรคนี้อยู่ยากแล้ว - พงศกร รอดชมพู "เราไม่ควรส่งลูกหลานเรียนเพื่อมามีสภาพนี้"
จากเฟชบุ้กของนาย พงศกร รอดชมพู ที่พูดถึงพนักงานบริษัท แถวสุขุมวิท ว่าเป็นไพร่สมัยใหม่
ตามความคิดผม คำว่าไพร่นี้ไม่ได้กระทบความรู้สึกอะไรเลย เพราะความเป็นไพร่ฟ้าประชาชนคนไทย ก็ความหมายเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีสิทธิพิเศษ ไม่ได้เป็นเซเลบ หรือบุคคลสังคมชั้นสูง
แต่การบอกว่า "ไม่ควรส่งเสียบุตรหลานให้มาทำอาชีพพนักงานบริษัทหรือข้าราชการ" นั้น เป็นความคิดที่แคบมาก
มองเห็นความดีงามด้านเดียว
บ่งบอกความเป็นทุนนิยม
สเตตัสนั้น สงสัยถูกลบไป แต่มีสเตตัสนี้ขึ้นแทน
ความหมายก็คือ ไม่อยากให้มาแย่งกันหางาน
แต่ควรเพิ่มทักษะ ในการเป็นผู้ประกอบการมากกว่า
ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณพงศกรเคยคิดไหมว่า
หากคุณสร้างทุกคนขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ แล้วใครล่ะจะเป็นผู้ผลิต
ใครล่ะจะเป็นแรงงาน แล้วชนชั้นไหนล่ะ ที่เป็นฐานภาษีสำคัญให้กับประเทศ
ในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง ตอนที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง
แรงงานเป็นที่ต้องการเป็นอย่างสูง เพราะหลายคนผันตัวมาเป็น sme
ฉะนั้น คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่า พ่อแม่จะส่งเสียบุตรหลานให้มาเป็นพนักงานบริษัท
เพราะถ้าหากคุณทำเศรษฐกิจให้รุ่งเรืองแล้ว ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของกิจการกันทั้งนั้นแหละ
ถ้าเศรษฐกิจยังย่ำแย่อยู่แบบนี้ มันก็ไม่มีใครคิดจะลงทุน
ทุกวันนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ไม่ได้แปลว่าไม่มีเงิน ไม่ได้แปลว่าไม่มีโอกาส
ไม่ได้แปลว่าไม่มีความต้องการในธุรกิจ
แต่มันคือการไม่กล้าลงทุน ไม่กล้าใช้เงิน ไม่กล้ากู้เงิน ต่างหากเล่า
หากต้องการให้คนผ่านมาเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น
แค่ทำให้เศรษฐกิจดูดี สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
โดยรัฐบาลเอง ต้องสนับสนุนด้วยการสร้าง demand
ไม่ว่าจะในประเทศและนอกประเทศ
เมื่อโอกาสมี ย่อมมีผู้แสวงหาโอกาส
แต่ต่อให้คุณ สะกดจิตให้ทุกคนทั้งประเทศต้องการเป็นผู้ประกอบการ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เศรษฐกิจฝืดเคือง
ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งอยู่ดี